ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๘ * *
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถที่จะให้ปัญญาของพระองค์แก่ใครได้ หยิบยื่นให้ไม่ได้เลย แต่สามารถที่จะมีคำที่ทำให้คนอื่นได้ฟัง แล้วก็ไตร่ตรอง แล้วก็เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น การที่ใครก็ตามจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น ก็ต่อเมื่อฟังคำของพระองค์และไตร่ตรองแล้วเข้าใจ สำคัญที่สุดคือเข้าใจ
~ พระธรรม ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเข้าใจได้โดยการฟังเพียงครั้งเดียวและเผินๆ แต่เมื่อฟังแล้ว ทุกคำจะค่อยๆ เก็บไว้และไตร่ตรองเพิ่มขึ้น แล้วก็ทำให้ประมวลมาซึ่งความเข้าใจละเอียดยิ่งขึ้นด้วย
~ เมื่อพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว พระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ จริงใจต่อพระธรรมหรือเปล่า? ถ้าเป็นผู้ที่จริงใจต่อพระธรรม คือ ผู้ที่ศึกษาพระธรรมด้วยความจริงใจ เพื่อที่จะเข้าใจพระธรรมให้ถูกต้อง นี่คือ ความจริงใจในการศึกษาพระธรรม ศึกษาพระธรรมไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย ไม่ใช่เพื่อลาภ ไม่ใช่เพื่อสักการะ ไม่ใช่เพื่อสรรเสริญ แต่ว่าเพื่อให้เข้าใจพระธรรมให้ถูกต้อง ให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ถูกต้อง เพื่ออะไร เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อละความไม่รู้ ไม่ใช่เพียงเพื่อรู้หรือเก่ง หรือว่าเพื่อความสำคัญตน
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดง ๔๕ พรรษา เพื่อให้ผู้ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังได้เข้าใจความจริง เพื่อไปสู่ทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับคนนั้น คือ ไม่มีกิเลสใดๆ เลยทั้งสิ้น เป็นมิตรที่ประเสริฐสุด หวังดีไม่ใช่เพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่หวังให้คนนั้นดี ด้วยการเข้าใจธรรม เพราะเหตุว่า ดีเท่าไหร่ ก็ไม่บริสุทธิ์ ยังคงเป็นเราเป็นเขา แต่ถ้าจะบริสุทธิ์ ก็คือ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา
~ ไม่คบคนพาล เป็นธรรมหรือเปล่า? คนพาล เห็นถูกหรือเปล่า?
คนพาล เห็นผิดไหม เข้าใจผิดไหม? ถ้าคบกับความเห็นผิด ความเข้าใจผิด ไปเรื่อยๆ มีโอกาสที่จะเห็นถูกเข้าใจถูก ได้ไหม? ก็ไม่ได้ แล้วพาลจริงๆ ก็คือ อกุศลธรรมทั้งหมด
~ ไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลย เพราะมีธรรมตลอดเวลา แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ใช้คำว่า ธรรม ได้ เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลย เพราะมีธรรมตลอดเวลา แต่ไม่รู้จักธรรมจนกว่าจะฟังพระธรรมซึ่งแสดงถึงสิ่งที่มีจริงๆ แล้วค่อยๆ เข้าใจว่าเป็นธรรม
~ สิ่งที่ควรเจริญในชาตินี้คือปัญญา เพราะเหตุว่า สิ่งอื่นไม่สามารถที่จะติดตามไปได้ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีอยู่ ก็ติดตามไปไม่ได้ แต่ปัญญา ความเข้าใจพระธรรม จากชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่ง ก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น
~ กุศล ไม่ทำให้เดือดร้อน กุศลสงบ แต่ถ้าเป็นอกุศลแล้ว ขณะนั้นจะเดือดร้อน
~ ตรงต่อพระธรรมและมีความจริงใจต่อการศึกษาพระธรรม เพื่อเข้าใจพระธรรม และละคลายขัดเกลาอกุศลของตนเอง เพราะเหตุว่า ทุกคนที่ศึกษาพระธรรม ย่อมรู้ว่า ตนเองมีอกุศล ถ้าไม่มีอกุศล คงจะไม่ศึกษาพระธรรมแน่ แต่อกุศลที่คิดว่ารู้แล้ว ความจริงแล้วละเอียดมากกว่านั้นมากทีเดียว ซึ่งถ้าไม่พิจารณาโดยรอบคอบ ก็อาจจะไม่เห็นความละเอียด
~ มีคนเก็บกระเป๋าเงินได้ ส่งคืนเจ้าของ ดูเหมือนเป็นกุศลที่เล็กน้อยมาก แต่เป็นความดีซึ่งบางคนทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าสามารถที่จะเป็นที่ชื่นชมอนุโมทนา แม้ว่าคนนั้น (คนที่ได้ทราบ) จะไม่ได้บอกว่าดีใจด้วยนะที่เขาทำความดี แต่ผู้ที่ได้ทราบ ก็ยินดีด้วยในการกระทำความดีนั้น
~ สภาพธรรมที่ไม่ดี แม้ว่าจะเพียงเล็กน้อย ก็เป็นโทษ และไม่ว่าสภาพธรรมที่ไม่ดีนั้นจะเกิดกับใคร ก็ต้องเป็นโทษในขณะนั้น นี่แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราเข้าใจธรรมจริงๆ เข้าใจชีวิตจริงๆ เข้าใจเหตุผลจริงๆ เข้าใจปัญหาจริงๆ เราสามารถที่จะแก้ปัญหาได้ แล้วก็เริ่มแก้ที่ตัวของเราเอง
~ คนที่โกรธ หน้าเปลี่ยน แทนที่จะยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเดิม ก็อาจจะถมึงทึง มีสีหน้าซึ่งดูจริงๆ แล้วก็น่ากลัว ไม่น่ารัก ไม่น่าดูเลย แต่คนที่กำลังโกรธไม่ทราบ เขาก็ไม่เห็นโทษของความโกรธ แต่ว่าถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง จะรู้ได้ว่า ธรรมฝ่ายใดเป็นฝ่ายดี ธรรมฝ่ายใด เป็นฝ่ายไม่ดี และถ้าเรามีธรรมฝ่ายดีเพิ่มขึ้น เราก็จะสามารถ ลด คลายทางฝ่ายอกุศลได้
~ การเบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่นให้เดือดร้อน เป็นเพราะขาดเมตตา ถ้าขณะใดที่กุศลจิตเกิด ประกอบด้วยความเมตตา ขณะนั้น จะไม่มีการประหารหรือว่าเบียดเบียนสัตว์อื่นบุคคลอื่นให้เดือดร้อนเลย ถ้าขณะใดเกิดความไม่แช่มชื่นใจ เกิดความหงุดหงิดรำคาญใจ ต่อสัตว์อื่นบุคคลอื่น เป็นเพราะขาดความเมตตา ขณะนั้น เป็นอกุศลจิต เพราะเหตุว่า ไม่มีความเข้าใจ ไม่มีความเห็นใจในสัตว์อื่นในบุคคลอื่น
~ ชาติไหนที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรม ชาตินั้นประเสริฐสุด เพราะว่า ไม่ใช่ทุกชาติจะได้ฟัง ถ้าเกิดเป็นสัตว์ แมว นก หนู ก็ไม่มีโอกาสเลย ถ้าเกิดในประเทศที่ไม่มีคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่มีโอกาสอีก ถ้าไม่มีบุญที่สะสมไว้ในอดีตก็ไม่มีโอกาสได้ฟังแน่นอน เพราะเสียงก็มีตั้งหลายเสียง แต่เสียงที่จะให้เข้าใจพระธรรม ต้องเป็นเสียงซึ่งบุญที่ได้กระทำมาแล้วเป็นปัจจัยทำให้ได้ยิน
~ ถ้าความดีเกิดขึ้น ขณะนั้น ความไม่ดีคืออกุศลก็เกิดไม่ได้ สะสมกุศลไปชั่วขณะเล็กๆ น้อยๆ ที่กุศลเกิด หนทางเดียว ไม่มีทางอื่นเลย โดยเฉพาะเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา ก็เพิ่มการที่จะฟังธรรมเพื่อที่จะรู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เรา เพราะไม่มีคำอื่นที่จะทำให้เห็นว่าไม่ใช่เรา นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
~ จะเป็นบุคคลนี้เพียงชั่วขณะที่ยังอยู่ในโลกนี้ จากไป ก็ไม่มีทางที่จะรู้เลยว่าเคยเห็นอะไร เคยชอบอะไร เคยชังอะไร เคยดีชั่วอย่างไร เพราะฉะนั้น การได้ฟังพระธรรมก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้สามารถตั้งตนไว้ชอบ คือ เป็นผู้ตรง สำคัญที่สุดคือเป็นผู้ตรง กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล ถ้ามีปัญญาอย่างนี้ เห็นโทษของอกุศล ก็จะทำให้ตั้งมั่นในกุศลเพิ่มขึ้น
~ ทุกชีวิตที่เกิดมาแต่ละภพแต่ละชาติไม่แน่นอนเลย มีการเปลี่ยนแปลง บางครั้งก็เป็นกุศล บางครั้งก็เป็นช่วงเวลาของอกุศล ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้การสะสมของกุศลและอกุศลว่า ในกาลไหนจะเป็นปัจจัยให้อกุศลเกิดมาก และในกาลไหนจะเป็นปัจจัยให้กุศลประเภทใดเกิดมาก เพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรประมาทในการเจริญกุศล
~ ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรมและเห็นโทษของอกุศลธรรมจริงๆ แล้วก็จะรู้ได้ว่า ถ้ายังคงมีอกุศลมากมาย การที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) นี่ก็ยากแสนยากที่จะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น ในเรื่องของการฟังพระธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ ที่จะต้องฟังแล้วพิจารณาใคร่ครวญไตร่ตรองเพื่อประโยชน์อันแท้จริง
~ อธิษฐาน ไม่ใช่ขอ แต่เป็นความมั่นคงในกุศลธรรม เพราะรู้ว่า ถ้าขณะนั้น กุศลธรรมไม่เกิด อกุศลธรรมก็เกิดแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกโอกาสที่จะเป็นกุศลแต่ละประการแต่ละขณะที่จะเป็นไปได้ ทำทันที มิฉะนั้นแล้ว อกุศลก็เพิ่มขึ้น
~ เพราะเห็นโทษของอกุศลจริงๆ และเห็นความลึกซึ้งของพระธรรม จึงทำให้ไม่ประมาทแม้แต่เพียงกุศลเพียงเล็กน้อย อย่างเช่น คนทำผิด เรามีความเห็นใจหวังดีต่อเขา พูดตักเตือน ได้ประโยชน์กว่าไปโกรธเขาซึ่ง (การโกรธเขา) ทำให้เขาเสียใจและไม่ได้สามารถที่จะเข้าใจความจริงด้วย
~ เพียงอกุศลธรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็เป็นเครื่องเตือนให้ระลึกได้ว่า แม้อกุศลธรรมอื่นๆ ก็ยังมีอยู่มากด้วย จึงเป็นผู้ที่จะเห็นความน่ารังเกียจของอกุศลธรรม ซึ่งมีอยู่ในตนได้ เพราะเหตุว่า มักจะรังเกียจอกุศลธรรมที่มีอยู่ในบุคคลอื่น แต่ว่าผู้ที่ฉลาด จะต้องเป็นผู้ที่รังเกียจอกุศลธรรมที่มีอยู่ในตน
~ ถ้ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย สมควรไหมที่พุทธบริษัทจะกล่าวถึงพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้วให้เป็นที่เข้าใจถูกต้อง เพื่อที่จะรักษาพระธรรมวินัย?
~ อันตรายที่มองไม่เห็นยิ่งกว่าอันตรายอื่น ก็คือ ชาวพุทธที่เข้าใจว่าตัวเองนับถือพระพุทธศาสนา แต่ไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อไม่เข้าใจธรรม ก็คล้อยตามสิ่งที่ผิดทั้งหมด โดยไม่เห็นว่า นั่น เป็นภัยที่ช่วยกันทำลายพระพุทธศาสนา
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๗
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
พระธรรม ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเข้าใจได้โดยการฟังเพียงครั้งเดียวและเผินๆ แต่เมื่อฟังแล้ว ทุกคำจะค่อยๆ เก็บไว้และไตร่ตรองเพิ่มขึ้น แล้วก็ทำให้ประมวลมาซึ่งความเข้าใจละเอียดยิ่งขึ้นด้วย น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ