พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ตรัสรู้ไม่เหมือนกัน หรืออย่างไร
ประเด็นจาก คุณปรีชา ชูวัฒนกูล
สมาชิก Line OpenChat ชมรมบ้านธัมมะ มศพ.
จากที่เคยศึกษาจากลิงก์เหล่านี้
ยืนยันว่าในโลกธาตุหนึ่งจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2 พระองค์ไม่ได้
ยืนยันว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตตามอายุของโลกธาตุของพระพุทธศาสนามีมาแล้ว 28 โลกธาตุจึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 28 พระองค์ รวมทั้งพระโคตมพุทธเจ้าองค์ที่ 28 องค์ปัจจุบัน และมีการทำนายว่า โลกธาตุของพระโคตมพุทธเจ้ามีอายุ 5000 ปี และมีการทำนายว่าโลกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ 29 เมื่ออายุของพุทธศาสนาขององค์ที่ 28 สิ้นสุดหลังจาก 5000 ปี
ที่ผมอ่านพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละองค์ตรัสรู้ไม่เหมือนกัน ตัวอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่อพระวิปัสสีพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าในอดีตองค์ที่ 22 ตรัสรู้วงจรลูกโซ่ปฏิจจสมุปบาท การเวียนตายเวียนเกิดของมนุษยชาติทำให้คนที่เกิดมามีตัวทุกข์จากการชราและมรณะ พระวิปัสสีพุทธเจ้าหลุดพ้นจากการเวียนตายเวียนเกิดด้วยการรู้การเกิดขึ้นและการเสื่อมไปของอุปาทานขันธ์ 5 แล้วปล่อยวาง ในไม่ช้าก็สามารถละอาวสะทั้งหลายได้ ตาม พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ทีฆนิกาย มหาวรรค ๑. มหาปทานสูตรว่าด้วยพระประวัติของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ เรื่องเกี่ยวกับปุพเพนิวาส
เรียนถามอาจารย์ว่าผมตีความหมายในพระไตรปิฎกแบบนี้ถูกต้องหรือไม่ ผมไม่มีความรู้ในภาษาบาลี ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สัมมาสัมพุทธบุคคล บุคคลผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เป็นไฉน?
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมตรัสรู้ซึ่งสัจจะทั้งหลายด้วยตนเอง ในธรรม
ทั้งหลายที่ตนไม่ได้สดับมาแล้วในกาลก่อน บรรลุความเป็นพระสัพพัญญู
(รู้ทุกอย่าง) ในธรรมนั้น และถึงความเป็นผู้ชำนาญในธรรมที่เป็นกำลังทั้งหลาย
บุคคลนี้เรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธะ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ไม่มีบุคคลใดเปรียบได้เลย ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ โดยไม่มีใครเป็นครูเป็นอาจารย์ พระบารมีทั้งหมดที่ได้ทรงบำเพ็ญมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่เป็นพระโพธิสัตว์ ก็เพื่อตรัสรู้สิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง และเพื่อทรงอนุเคราะห์เกื้อกูลสัตว์โลกให้ได้เข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ตามพระองค์ด้วย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ แม้ว่ามีความต่างกันในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพระชนมายุ บ้าง พระพุทธบิดาพระพุทธมารดา บ้าง ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้ บ้าง เป็นต้น แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง เหมือนกัน และ ทรงประกาศความจริง แสดงความจริงเกื้อกูลแก่สัตว์โลก เหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างกันเลย
สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ คือ สิ่งที่มีจริง ไม่ว่าจะโดยนัยของขันธ์ ธาตุ อายตนะ ปฏิจจสมุปาท อริยสัจจ์ ๔ ทั้งหมด คือ สิ่งที่มีจริง เป็นสัจจะ ความจริง ที่ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น เมื่อทรงตรัสรู้อริยสัจจ์ ก็ชื่อว่าตรัสรู้ปฏิจจสมุปบาท ด้วย เพราะเป็นการตรัสรู้สภาพธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง ทั้งหมด เมื่อประมวลแล้ว ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม กับ รูปธรรม ไม่มีสิ่งใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ เพราะเหตุว่าพระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง
สิ่งที่จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลจริงๆ คือ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย เมื่อยังไม่ศึกษา ยังไม่เข้าใจ ก็ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อเริ่มฟังเริ่มศึกษาคำของพระองค์ มีความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะรู้จักพระองค์ ตามกำลังปัญญาของตน ที่ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริง จากคำจริงที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว และยิ่งเห็นประโยชน์ที่จะฟังที่จะศึกษาต่อไป
อนึ่ง แม้ไม่มีความรู้ภาษาบาลี ก็ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมเข้าใจได้ เข้าใจธรรมในภาษาของตนๆ และที่สำคัญ พระไตรปิฎก แปลเป็นภาษาไทยครบทุกส่วน และมีอรรถกถา อธิบายในบทพยัญชนะต่างๆ ซึ่งจะให้ความกระจ่างอย่างยิ่ง แม้ไม่มีความรู้ภาษาบาลี ก็เข้าใจได้ ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
เรียน อาจารย์คำปั่น
คุณปรีชา ขอความเข้าใจเพิ่มเติมในประเด็นต่อไปนี้ค่ะ
กราบขอบพระคุณค่ะ
ผมไปอ่านคำอธิบายว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง 28 พระองค์ตรัสรู้ "สิ่งที่มีจริง" เหมือนกันหมดทุกพระองค์ โดยไม่ได้อธิบายว่า มนุษย์วิญญูชนคนทั่วไปเช่นเดียวกับอาจารย์คำปั่นใช้อวัยวะสัมผัสอะไร หู ตา จมูก ลิ้น กายและใจ สัมผัสจึงรู้ว่าสิ่งที่มีจริงนั้นเป็นอะไรและกล่าวมาลอยๆ ไม่ได้บอกพระสูตรอะไรอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มไหน ผมจะได้ศึกษาพุทธศาสนาต่อครับ
และที่สำคัญการรู้ว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริงแล้วให้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวันกับคนที่รู้อะไรบ้างครับ
เรียน ความคิดเห็นที่ ๕ ครับ
คำว่า "สิ่งที่มีจริง" เป็นคำที่กล่าวในภาษาไทย ซึ่งตรงกับคำว่า ธมฺม (ธรรม) ในภาษาบาลี นั่นเอง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ใครจะกล้าปฏิเสธว่าไม่มีจริง เพราะเหตุว่า มีจริงๆ ทรงไว้ซึ่งความจริงอย่างนั้น ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ล้วนกล่าวถึงธรรม คือ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด อย่างเช่น พระสูตร ดังต่อไปนี้
อนิจจาทิธรรมสูตร และ ชาติอาทิธรรมสูตร
ปฐม - ทุติยชีวกัมพวนสูตร - สมาธิสูตร
ปุริสสูตร
ทุติยสันทิฏฐิกสูตร
ฯลฯ
การศึกษาเรื่องของสิ่งที่มีจริงๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นั้น เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันอย่างยิ่ง ทำให้ความเข้าใจถูกเห็นถูกเจริญขึ้น จนสามารถระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง จากที่ไม่เคยเข้าใจ เลย แล้วเข้าใจ นั่นก็เป็นประโยชน์แล้ว ไม่มีโทษใดๆ เลย เมื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง สภาพธรรม ย่อมปรากฏตามความเป็นจริงกับปัญญา เมื่อปัญญาเจริญขึ้น สมบูรณ์ขึ้นก็ทำให้เบื่อหน่าย คลายกำหนัด ขัดเกลาละคลายกิเลส เพราะรู้ตรงตามความเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละหนึ่งๆ เท่านั้น หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ไม่ได้เลย ไม่ควรแก่การยินดีติดข้อง และผลสูงสุดของการรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง คือ พ้นจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย พระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ที่ได้รับประโยชน์จากการรู้สิ่งที่มีจริงๆ ตามความเป็นจริง
ความเข้าใจถูกเห็นถูก จะค่อยๆ เกิดขึ้น ค่อยๆ เจริญขึ้น เมื่อฟังพระธรรม ด้วยความเคารพ ไตร่ตรอง ในเหตุในผลตรงตามความเป็นจริง ตั้งจิตไว้ชอบ ว่า ศึกษา เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ครับ
ขอเชิญคลิกฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ
ทั้ง๓ปิฎก ไม่พ้นสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
... ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ ...
อาจารย์คำปั่นให้คำตอบที่ละเอียดและมีการอ้างอิงพระไตรปิฎกเสมอครับ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ