มั่นคงว่าไม่มีเรา_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๔

 
khampan.a
วันที่  18 ธ.ค. 2564
หมายเลข  41742
อ่าน  1,117

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



" มั่นคงว่าไม่มีเรา "

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๔





~ เคารพ นับถือ สักการะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุด ต่อเมื่อเข้าใจคำที่พระองค์ตรัส

~ เริ่มรู้ความจริงว่า คำว่า “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” มีความลึกซึ้งแค่ไหน ขณะที่ฟังธรรม เป็นขณะที่ต่างกับเวลาอื่นทั้งหมด เป็นขณะที่หายากที่สุด ตั้งแต่เช้ามาคิดเรื่องอื่นหมด ไม่เคยคิดถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและคำของพระองค์ เพราะฉะนั้น ขณะนี้เป็นขณะที่หายากที่สุดในสังสารวัฏฏ์ เพราะเป็นขณะที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ

~ ถ้ามีคนบอกว่า เขารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เขาไม่เข้าใจคำที่พระองค์ตรัสเลย เขารู้จักพระองค์หรือเปล่า? เพราะฉะนั้น จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อฟังคำที่กล่าวถึงคุณของพระองค์ เพื่อให้รู้จักพระองค์ เพื่อที่จะได้รู้ว่า คำทุกคำของพระองค์มีค่าอย่างยิ่ง พระองค์ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ทุกคำต้องเข้าใจจริงๆ ยิ่งขึ้น จึงสามารถที่จะรู้คุณของพระองค์ได้

~ การที่จะรู้คุณ เข้าใจคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ ทีละเล็กทีละน้อย ต้องเริ่มจากการเข้าใจทุกคำทีละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ พระโพธิสัตว์ เสด็จทางไกลมากจากความไม่รู้ทุกชาติ มาสู่การรู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ต้องรู้คุณอย่างยิ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาแล้วที่จะเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ พระองค์เดินทางไกลมากจากความไม่รู้ในสังสารวัฏฏ์นานเท่าไหร่ จนกระทั่งสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

~ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อรู้ว่าทุกคำ พระองค์ตรัสถึงสิ่งที่กำลังมี ให้เริ่มเข้าใจถูก จนกว่าจะถึงความจริงของสิ่งนั้น

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดของสิ่งที่กำลังมี เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระองค์ ต้องเป็นคำจริงทุกคำที่กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ มีคำไหนของพระองค์บ้างที่ไม่ตรัสถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่ไม่เคยมีใครเข้าใจมาก่อน จนกว่าจะรู้ความจริงตามที่ได้ฟังคำจริงที่พระองค์ได้ตรัสรู้จริงๆ ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความจริงว่าความจริงเปลี่ยนไม่ได้ เพราะเป็นความจริงถึงที่สุด

~ ต้องไม่ลืมว่า ขณะนี้เป็นขณะที่ประเสริฐที่สุดที่จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วทรงแสดง

~ สิ่งที่มี เมื่อกี้นี้ดับหมดแล้ว ใช่ไหม? สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ใครทำให้เกิด? เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะเกิด ไม่มีใครไปทำให้เกิด แต่เกิดเพราะมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิด ใช่ไหม?

~ สิ่งที่มีจริง เกิด ไม่มีใครทำ แล้วก็ดับไม่เหลือเลย เป็นธรรม คือ สิ่งที่มีจริงที่เปลี่ยนไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม? ไม่มีใครทำให้ธรรมเกิด ไม่มีใครทำให้ธรรมดับ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

~ สิ่งที่มีจริง ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้น และไม่ใช่ใครด้วย เพราะฉะนั้น ธรรมคือ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก จึงไม่มีเรา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงที่เป็นสิ่งที่เราคิดว่ายังมีอยู่

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาเพื่อตรัสรู้ความจริงและตรัสวาจาจริงถึงสิ่งที่มีจริงให้คนอื่นได้รู้ความจริงด้วย

~ จะรู้ว่า เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น เมื่อมั่นคงว่า ไม่มีเรา แต่มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเกิด

~ ต้องรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงดำเนินมาถึงการรู้แจ้งสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้และทรงแสดงคำจริงให้เราเริ่มรู้ว่าไม่มีเราแน่นอน

~ จากการฟัง ต้องมั่นคงว่าไม่มีเรา จึงสามารถที่จะฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่เรา ยิ่งขึ้น ถ้าไม่ฟังต่อไป จะเข้าใจไหมว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด

~ ต้องมั่นคงจริงๆ ว่า ไม่มีเรา สิ่งที่มี เกิดแล้วก็ดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์

~ สภาพธรรมที่มีจริง เป็นธรรม มีจริง ใครเปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏแต่ละหนึ่งเร็วมาก รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ทำให้จำว่าเป็นอะไร แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แต่ละหนึ่งละเอียดอย่างยิ่ง เมื่อตรัสรู้แล้ว ทุกคำเป็นคำจริงที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ พระองค์ทรงแสดงให้รู้ลักษณะที่แท้จริงของสิ่งที่มีแต่ละหนึ่ง

~ ตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ในชาติไหน โลกไหน ธรรม เป็นธรรม

~ ความจริงถึงที่สุด ที่จริงแท้ ไม่เปลี่ยนเลย คือ มีสภาพธรรมสองอย่าง อย่างหนึ่งเกิดขึ้น รู้ อีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เป็นแข็ง เป็นอ่อน เป็นกลิ่น เป็นรส แต่ไม่รู้อะไร

~ ได้ยินเกิดขึ้นรู้เสียงที่กำลังได้ยินลิ่นปรากฏเมื่อมีสภาพที่รู้กลิ่นนั้นเกิดขึ้นแล้วรู้กลิ่นนั้น ทั้งหมดไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพรู้แต่ละอย่างละเอียดมาก มีสภาพธรรมหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นรู้เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ ตั้งแต่เกิดจนตาย ต้องมีสภาพรู้เกิดขึ้น จึงกล่าวว่าคนเกิด สัตว์เกิด

~ สภาพรู้ เป็นคนหรือเปล่า เป็นนกหรือเปล่า เป็นงูหรือเปล่า? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาเพื่อรู้ความจริง ว่า สภาพรู้ ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ แต่เกิดขึ้นรู้

~ หวาน ไม่ใช่น้ำตาล ไม่ใช่ขนม แต่หวานเกิดเป็นหวานเท่านั้น ถ้าไม่มีธาตุรู้เกิดขึ้นรู้หวาน หวานก็ไม่ปรากฏว่าเป็นหวาน

~ เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เป็นธาตุรู้หรือเป็นเราเห็น? เป็นธาตุรู้ ไม่ใช่เราเห็น แต่เป็นธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น ถ้าไม่ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส จะรู้ไหมว่า ไม่มีเรา แต่มีธาตุรู้

~ การฟังเข้าใจขึ้น เป็นปัจจัยให้ค่อยๆ ถึงลักษณะที่กำลังปรากฏด้วยความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย เป็นการอบรมให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น คมขึ้น จนกว่าสามารถที่จะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมได้

~ จำทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงทุกชาติว่าเป็นเรา และจำสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทุกชาตินานมาก แน่นหนามาก ยากที่จะละคลายได้ ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตรงนั้นจริงๆ ไม่สามารถที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นเกิดดับ เพราะฉะนั้น ความเข้าใจว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ต้องมั่นคง ความเข้าใจและความจำที่มั่นคง ภาษาบาลีใช้คำว่า "ถิรสญฺญา" (ถิรสัญญา) จำมั่นคงว่าไม่มีเรา จึงสามารถรู้ตรงลักษณะที่กำลังปรากฏแต่ละหนึ่งตามความเป็นจริงว่าเป็นสิ่งนั้น ไม่ใช่เรา

~ ธรรม เป็นอนัตตา จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏหรือยังไม่เข้าใจ บังคับบัญชาไม่ได้

~ คำของคนอื่น ไม่ได้กล่าวถึงความจริงถึงที่สุดว่าไม่มีเรา เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏได้

~ ไม่ว่าใคร ถ้าพูดถึงความจริงของสิ่งที่มีจริง คำนั้น เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วทั้งหมด

~ ถ้ามีใครบอกว่าให้ไปปฏิบัติอย่างนั้น จะได้รู้ธรรม ผิดหรือถูก? ผิด เพราะปัญญารู้ว่าผิด จึงไม่ทำสิ่งที่ผิด


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
natthayapinthong339
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Sea
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
petsin.90
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
san.ree2990
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
swanjariya
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลของคุณสุคินและทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Dusita
วันที่ 18 ธ.ค. 2564

กราบ อนุโมทนา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Jans
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
มังกรทอง
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

เริ่มรู้ความจริงว่า คำว่า “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” มีความลึกซึ้งแค่ไหน ขณะที่ฟังธรรม เป็นขณะที่ต่างกับเวลาอื่นทั้งหมด เป็นขณะที่หายากที่สุด ตั้งแต่เช้ามาคิดเรื่องอื่นหมด ไม่เคยคิดถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและคำของพระองค์ เพราะฉะนั้น ขณะนี้เป็นขณะที่หายากที่สุดในสังสารวัฏฏ์ เพราะเป็นขณะที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ

น้อมกราบอนุโมนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
tim7755tim
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

กราบอนุโมทนากุศลในเหตุค่ะท่านอาจาร

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
สิริพรรณ
วันที่ 19 ธ.ค. 2564

พระโพธิสัตว์ เสด็จทางไกลมากจากความไม่รู้ทุกชาติ มาสู่การรู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ต้องรู้คุณอย่างยิ่ง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาแล้วที่จะเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ พระองค์เดินทางไกลมากจากความไม่รู้ในสังสารวัฏฏ์นานเท่าไหร่ จนกระทั่งสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

คำท่านอาจารย์เตือนใจให้ไม่ลืมความจริงว่า ความไกลที่สาวกต้องเดินทางเทียบไม่ได้เลยกับความไกลที่พระพุทธองค์เสด็จมาเพื่อช่วยสัตว์โลกที่มืดบอด เพราะพระองค์ตรัสรู้ความจริงด้วยพระองค์เอง ส่วนสาวกคือผู้ฟังคำของพระพุทธองค์ที่ทรงแสดง จึงควรเคารพในทุกคำด้วยความเห็นพระคุณและอดทนแม้จะยังอีกแสนไกล

น้อมกราบบูชาพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ธีรพันธ์
วันที่ 20 ธ.ค. 2564

การประดิษฐานพระธรรมสู่อินเดียแดนพุทธภูมิ

กราบอนุโมทนาสาธุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
jaturong
วันที่ 20 ธ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
เข้าใจ
วันที่ 20 ธ.ค. 2564

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 31 ธ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ