ฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๔

 
khampan.a
วันที่  25 ธ.ค. 2564
หมายเลข  41794
อ่าน  1,500

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



" ฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๔





~ ต้องฟังดีๆ ทุกคำ เปลี่ยนไม่ได้เลย “สัพเพ สังขารา อนิจจา” หมายความว่าอะไร? หมายถึง สังขาร (สภาพธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง) ทั้งหลาย ทั้งปวง ทั้งหมด คือ สภาพธรรมที่เกิด ต้องดับ ไม่เที่ยง (อนิจจา) “สัพเพ สังขารา ทุกขา” หมายความว่า ธรรมทั้งหมดทั้งปวงที่เป็นสังขาร เกิดขึ้น ต้องดับ เป็นทุกข์ ส่วนข้อความต่อไปต้องฟังดีๆ ไม่ใช่ “สัพเพ สังขารา” แต่เป็น “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” ต้องฟังดีๆ ทุกคำ เข้าใจทุกคำ เปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่า “สัพเพ สังขารา อนิจจา” “สัพเพ สังขารา ทุกขา” แต่สุดท้าย “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” รวมนิพพานด้วย สภาพธรรมที่ไม่เกิด คือ นิพพาน เที่ยง เป็นสุข เป็นอนัตตา

~ ทุกคนคุ้นเคย รู้จักกับคำว่า เป็นสุข เป็นทุกข์ แต่ภาวะ (ความเป็น) ที่เป็นทุกข์ ไม่มีใครรู้จัก ขณะนี้กำลังเห็น เป็นทุกข์หรือเป็นสุข? เพราะฉะนั้น คนที่จะรู้ว่า ขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เป็นทุกข์ ต้องเป็นคนที่รู้จักเห็น

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะเห็น ขณะนี้เกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้น ภาวะที่เป็นทุกข์ แม้ความรู้สึกเป็นสุข ก็เป็นทุกข์ เพราะว่า เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย

~ ทุกคนรู้จักทุกข์หรือยัง? ยังไม่รู้จัก เพราะฉะนั้น จึงต้องฟังเพื่อที่จะรู้ว่าทุกข์นี่แหละเป็นภาวะของสภาพธรรม เป็นอริยสัจจธรรมที่ ๑ เราฟังธรรมเพื่อที่จะรู้ความจริงว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง จึงทรงแสดงอริยสัจจะที่ ๑ คือ ทุกขอริยสัจจะ หมายความว่าอย่างไร?หมายความว่า สิ่งที่กำลังมีทุกขณะ ไม่มีใครรู้จักความจริง ว่า สภาพธรรมที่กำลังมีนี่แหละ เป็นทุกข์

~ ต้องเข้าใจภาวะที่เป็นทุกข์ ไม่ใช่ความรู้สึกที่เป็นทุกข์

~ ภาวะที่เป็นทุกข์ อยู่ไกลหรืออยู่ใกล้? อยู่ใกล้ที่สุด ทุกขณะเดี๋ยวนี้เอง ก็ไม่รู้ ต้องไปหาทุกข์ที่ไหนไหม? อยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจ รู้ว่า ความไม่รู้ มีมากแค่ไหน เกิดมาทุกวันจนตาย ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ว่า เป็นทุกข์ เพราะเกิดดับ

~ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ใกล้ที่สุดกับความไม่รู้ แต่ไกลมากจากความเข้าใจถูกในความจริงของสิ่งนี้

~ ไม่ลืมว่า ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปทำอะไรเลย ไม่ต้องไปหาที่ไหน เพราะกำลังมี แต่ไม่รู้ จึงฟังเพื่อค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

~ นิพพานอยู่ไกลหรืออยู่ใกล้? อยู่ใกล้ได้ไหม? เพราะฉะนั้น คนที่คิดว่านิพพานอยู่ไกล เขาไปหานิพพานที่อื่น แต่นิพพานอยู่ใกล้ กิเลสที่ดับแล้วไม่เกิดอีกเลย นั่นคือ นิพพาน ที่เรียกว่า กิเลสนิพพาน [ดับกิเลส]

~ ธรรมที่ไม่เกิดเลย เพราะไม่มีปัจจัยที่จะเกิด นั่นคือ นิพพาน ขณะนี้ ไม่สามารถเข้าใจภาวะของนิพพานได้ เพราะยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีปรากฏในขณะนี้ เพราะฉะนั้น คิดถึงนิพพานเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะยังไม่รู้ว่าความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

~ ทุกอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ให้เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เพราะไม่เคยเข้าใจ สิ่งที่จะเข้าใจ ใกล้มาก ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ ทุกขณะ

~ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้น ฟังจนกว่าจะรู้ความจริง เป็นอริยสัจจธรรม เพราะฉะนั้น ฟัง รู้ว่า สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ยังไม่เข้าใจ ก็ค่อยๆ เข้าใจความจริงว่า สิ่งนี้เกิดแล้วดับจริงไหม?

~ ฟังธรรมเพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่จะต้องเข้าใจ อยู่ไม่ไกลเลย แต่ว่า เพราะไม่เข้าใจ จึงไกลต่อการที่จะรู้ความจริง

~ ต้องไม่ลืมว่า ทุกคำเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เกิดจริงๆ ดับจริงๆ เปลี่ยนไม่ได้ แต่รู้ได้

~ ต้องไม่ลืม ทุกครั้งที่ฟังธรรม เพื่อเข้าใจสิ่งที่มี ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ นั่นสามารถที่จะทำให้ถึงการเข้าใจสิ่งที่มี เพราะกำลังฟังเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ

~ ถ้าไม่เห็นว่า โลก หมายความถึงสิ่งที่เกิดดับ ทั้งหมด เป็นทุกข์ ก็จะไม่หน่ายในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

~ เดี๋ยวนี้ สภาพธรรมที่ปรากฏเกิดดับ ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น จะไม่ยินดีติดข้อง จะหันหน้าไปทางอื่นได้หรือ? เพราะฉะนั้น ต้องฟังจนกว่าจะเข้าใจ จนกว่าความเข้าใจสามารถรู้ขณะนี้ได้ว่า กำลังเกิดดับ

~ ตราบใดสภาพธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ปรากฏว่าเป็นแต่ละหนึ่งที่เกิดดับ แต่รวมกัน ก็ทำให้ยึดถือในนิมิต (เครื่องหมายของสภาพธรรม,รูปร่างสัณฐาน) ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมั่นคง

~ ต้องเริ่มต้นตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เข้าใจถูกต้อง แยกสิ่งที่รวมกัน เป็นธรรม สิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ จนกว่าจะสามารถประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรมนั้นๆ

~ ถ้าไม่เคยฟังมาก่อนเลย จะรู้ไหม ว่า มีสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับ ไม่กลับมาอีก จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด

~ ต้องรู้ว่า กำลังมีสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ แต่ไม่เข้าใจความจริง จึงฟังเพื่อให้เข้าใจขึ้นๆ เข้าใจขึ้น เพื่อรู้จักธรรมตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

~ ไม่ลืมว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา เพื่อเข้าใจความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด

~ ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากได้ยินแล้ว เติมนิสัยซึ่งไม่เคยมี คือ ต้องพิจารณาไตร่ตรองความลึกซึ้ง จนเข้าใจขึ้น

~ ทุกขณะที่ไม่รู้ความจริงนานมาแล้วในสังสารวัฏฏ์ สะสมมา ก็ทำให้ลืมเข้าใจสิ่งที่กำลังมีขณะนี้และคิดถึงอย่างอื่นด้วยความติดข้อง เพราะฉะนั้น จึงเข้าใจอย่างมั่นคงว่า ฟังแล้ว ไตร่ตรองแล้วเข้าใจ เป็นหนทางเดียวที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็จะเข้าใจความรู้ขั้นปริยัติ ต้องฟัง ต้องพิจารณา ต้องไตร่ตรอง ต้องมั่นคง เมื่อไหร่ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ที่จะรู้ว่านั่นเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

~ ถ้าเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เพราะฟังแล้วสามารถที่จะรู้ว่า ธรรม ไม่ได้อยู่ไกลเลย แต่อยู่ตรงนี้ และเริ่มรู้ตรงลักษณะ นั่นคือ ปฏิปัตติ ถึงเฉพาะลักษณะทีละหนึ่งด้วยความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น

~ ขณะที่กำลังเข้าใจตรงลักษณะของสภาพธรรม เป็นเราหรือเปล่า? ไม่ใช่เรา เป็นธรรม

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่า ธรรมที่ระลึกได้ ไม่ลืม นั่นคือ สติ

~ สติ เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่จิต แต่เป็นสภาพที่ระลึกเป็นไปในความดีทั้งหมด

~ ขณะที่คุณอาคิล คุณอาช่า ช่วยคนอื่น ขณะนั้นไม่รู้ ว่า ไม่ใช่คุณอาคิลกับคุณอาช่า แต่เป็นธรรมที่ระลึกเป็นไปที่จะช่วย เป็นสติ สติ ทำให้ช่วยคนอื่น แต่ว่า ไม่เข้าใจเลยว่าไม่ใช่เรา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ความจริงว่า เป็นธรรม แต่ละหนึ่งไม่ใช่เรา

~ ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลย เราก็มีสติที่ระลึกในทางที่เป็นกุศล ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ช่วยเหลือคนอื่น แต่ไม่รู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง

~ ถ้าไม่ใช่กุศล ไม่ใช่การระลึกเป็นไปในสิ่งที่ดีงามในการที่จะช่วยคนอื่นหรือทำความดี ขณะนั้นมีจริงๆ ธรรมนั้นที่ทำให้คิดอย่างนั้น แต่ธรรมที่คิดอย่างนั้น ไม่ใช่สติ เพราะไม่ได้เป็นไปในการทำสิ่งที่ดี

~ ต้องไม่ลืม ต้องมั่นคง ว่า สติต้องเป็นไปในการระลึกได้ที่จะทำกุศลหรือเป็นกุศล

~ สติ เข้าใจธรรมว่าไม่ใช่เราหรือเปล่า? ก็เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ถ้าไม่รู้อย่างนี้ ไม่สามารถที่จะละความเป็นเรา ความเป็นตัวตนได้ สติ ไม่ใช่ปัญญา สติระลึกเป็นไปในกุศลเท่านั้น อะไรก็ได้ ที่เป็นกุศล แต่ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม สภาพที่เข้าใจ ไม่ใช่สติ แต่เป็นการที่สามารถเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มี

~ สติเกิดโดยไม่มีปัญญาเกิดด้วยได้ไหม? ได้ แต่ปัญญาเกิดโดยไม่มีสติเกิดด้วยได้ไหม? ไม่ได้

~ ถ้าไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม รู้จักธรรมหรือเปล่า? เพียงรู้เรื่องเป็นปริยัติเท่านั้น แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจนสามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้ ถ้าไม่ฟังธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แม้เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ก็ไม่มีทางรู้จักธรรมได้

~ ถ้าไม่มีปัญญา ไม่รู้ว่าความโกรธไม่ใช่เรา เป็นธรรมที่เกิดตามเหตุตามปัจจัย ใช่ไหม? ความโกรธ เป็นธรรมเกิดแล้วดับ ใช่ไหม?

~ ความไม่รู้มีมากเท่าไหร่ เวลาที่อกุศลเกิดขึ้น แม้สิ่งนั้นไม่มีแล้ว ก็ยังโกรธ แม้สิ่งนั้นไม่มีแล้ว ดับแล้ว ไม่กลับมาอีก ก็ยังชอบ

~ เดี๋ยวนี้ ฟังเข้าใจว่า ไม่มีเรา แต่ยังโกรธ ยังชอบ เพราะฉะนั้น แสดงว่าความไม่รู้มีมาก คนที่เข้าใจผิด คิดว่าง่าย ทำอย่างอื่น คิดว่าหมดกิเลสแล้ว

~ สัจจบารมีสำคัญมากในการที่จะต้องมีตั้งแต่ต้น ตรงต่อความเป็นจริงในขั้นฟังด้วย เพราะฉะนั้น ฟังจนกว่าจะไม่ลืมว่า ขณะนี้เป็นธรรม

~ ก่อนที่จะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็น ก็มีจริง ได้ยิน ก็มีจริงเหมือนเดิม แต่เมื่อได้ฟังความจริงของสิ่งที่มีจริง เข้าใจจริงๆ สิ่งที่เคยไม่รู้ ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

~ เมื่อมีการรู้ความจริง ความเข้าใจ ก็อารักขาไม่ให้ไปในทางที่ผิด รักษาคุ้มครองไม่ให้หลงผิด

~ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล แต่เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น หนทางที่จะเข้าใจความจริง คือ ฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและรู้ว่าเป็นคำของผู้ที่ได้ตรัสรู้หนทางที่จะทำให้ประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับ ไม่ใช่เรา

~ ทุกครั้งที่ฟังธรรม ให้รู้ว่าเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ซึ่งไม่เคยเข้าใจเลย

~ เป็นผู้ที่ตรง ฟังธรรม เพื่อเข้าใจว่าเป็นธรรม นั่นก็เป็นสัจจบารมี

~ หนทางไกลมากที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีจนตรัสรู้ความจริงทรงประกาศความจริงทั่วชมพูทวีป เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะรักษาคำของพระองค์ให้ดำรงอยู่ เมื่อมีผู้ที่สามารถเข้าใจธรรมได้ เช่น คุณอาคิล คุณอาช่า คุณระวิ คุณมานิต คุณมธุ มีความเข้าใจ เริ่มแล้วเท่าไหร่ ก็พูดตามความเป็นจริงเท่าที่เข้าใจเพราะมีคนอีกมากที่ไม่เริ่มต้นที่จะเข้าใจ แต่ด้วยความเคารพสูงสุดที่ต้องเข้าใจจริงๆ มิฉะนั้น ก็จะพูดคำที่ไม่ถูกต้อง

~ ต้องมีความตรงต่อทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง ต้องอาศัยสัจจบารมีความตรง และก็ต้องมีขันติบารมีที่จะศึกษาจนกระทั่งเข้าใจจริงๆ

~ ธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน ใช้หลายคำ ใช้คำว่า จิต ก็ได้ ใช้คำว่า มโน ก็ได้ ใช้คำว่า มนัส ก็ได้ ใช้คำว่า หทย (หทัย) ก็ได้




...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Jans
วันที่ 25 ธ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 25 ธ.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
natthayapinthong339
วันที่ 25 ธ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Sea
วันที่ 25 ธ.ค. 2564

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
petsin.90
วันที่ 25 ธ.ค. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
มังกรทอง
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะเห็น ขณะนี้เกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้น ภาวะที่เป็นทุกข์ แม้ความรู้สึกเป็นสุข ก็เป็นทุกข์ เพราะว่า เกิดแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
napachant
วันที่ 26 ธ.ค. 2564

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 27 ธ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Lai
วันที่ 27 ธ.ค. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
สิริพรรณ
วันที่ 9 ก.พ. 2565

กราบขอบพระคุณยินดีในกุศลธรรมทานค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ