ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๑
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๑ * *
~ แต่ละคำทั้งหมดของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มาจากการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะอนุเคราะห์สัตว์โลกโดยไม่เลือกหน้าเลย ไม่ว่าในกาลที่พระองค์ยังไม่ปรินิพพาน หรือแม้ปรินิพพานแล้ว ก็ไม่มีใครเป็นศาสดาแทนพระองค์ เพราะว่าพระธรรมที่ได้ตรัสไว้ดีแล้วเป็นศาสดา เพราะฉะนั้น เพราะรู้คุณของพระธรรมที่ยังมีให้เราได้ยินได้ฟัง ให้เราได้ศึกษา ทุกคนจึงได้ฟังต่อไป เรียนต่อไป ค่อย ๆ เข้าใจต่อไป
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ หวังดี เกื้อกูล เป็นประโยชน์ ให้คนฟังได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น กัลยาณมิตรสูงสุด ก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำจริง ไม่ได้หวังให้ใครเข้าใจผิด ทรงแสดงธรรมโดยนัยต่างๆ มากมาย หลากหลาย โดยประการทั้งปวง ที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ ผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ก็จะไม่ละเลยในการฟังพระธรรม เพราะรู้ว่าหนทางเดียวที่จะรู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ ฟังแล้วก็มีความเข้าใจว่า ทั้งหมดจากการที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ ซึ่งลึกซึ้งละเอียดอย่างยิ่ง ถ้าเราไม่ได้ฟังพระธรรม ก็พูดคำที่ไม่รู้จักตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคำอะไรทั้งสิ้น
~ พุทธบริษัท ขณะนี้เหลือเพียง ๓ (เพราะภิกษุณี ไม่มีแล้ว) คือ ภิกษุ อุบาสก และ อุบาสิกา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ควรที่จะได้ฟังได้ศึกษาพระธรรม แม้แต่การเป็นอุบาสกอุบาสิกา ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะต้องเป็นผู้ที่เข้าไปนั่งใกล้พระรัตนตรัย มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เข้าใกล้พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
~ ต้องอาศัยการสะสมอบรมเจริญไปทีละเล็กทีละน้อย แต่ลองคิดถึงว่า ถ้าไม่ฟังเลย จะเป็นอย่างไร จะคงยังมีความเห็นผิดอยู่ และไม่มีหนทางที่จะละความเห็นผิดถ้าไม่อาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วโดยละเอียด
~ การศึกษาพระธรรมทั้งหมด ก็จะละคลายความไม่รู้ และก็ละคลายอกุศลทั้งหลายซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้ จนกระทั่งสามารถที่จะนอกจากละชั่ว แล้วก็บำเพ็ญความดี ก็ยังชำระจิตให้บริสุทธิ์จากการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ด้วย
~ ความโกรธเป็นโทษเป็นภัย เป็นอันตรายของตนเอง คนที่ถูกโกรธไม่เดือดร้อนอะไรเลย เพราะฉะนั้น กิเลสของตนเองที่เกิดกำลังทำร้ายตนเอง และจะสะสมเป็นอุปนิสัยที่จะทำให้เป็นผู้ที่โกรธต่อไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็อาจจะผูกโกรธเอาไว้นานด้วย และอาจจะถึงขั้นที่ไม่ยอมให้อภัย ถ้ารู้โทษของอกุศลอย่างนี้จริงๆ ขณะนั้นเมื่อเห็นโทษแล้ว สติที่ระลึกได้ก็จะทำให้ขณะนั้นปราศจากความโกรธ หรืออาจจะเกิดความเมตตาแทนที่จะโกรธก็ได้
~ กิเลส ประมาณไม่ได้ หลับตานึกเท่าไหร่ ก็คิดถึงจักรวาลก็แล้วกัน ว่ามากอย่างนั้น แล้วจะดับหมด ได้อย่างไร? และถ้าไม่เริ่มวันนี้ เดี๋ยวนี้!! แล้วเมื่อไหร่ จะมีปัจจัยที่จะเริ่ม เพราะว่าอะไร? ก็สะสมอกุศลต่อไป มากมายมหาศาล เพิ่มกว่าที่จะละวันนี้เสียด้วยซ้ำ เพราะเหตุว่า มีเพิ่มเข้ามาอีก ด้วยเหตุนี้ ธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีค่าที่ประมาณไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า เมื่อได้ยิน ได้ฟังแล้ว เป็นเหตุให้เกิดความเห็นถูกต้อง และเป็นประโยชน์จริงๆ เพราะเริ่มเห็นอกุศล โดยเฉพาะของตนเอง
~ ถ้าใครก็ตาม ที่มั่นคงในคุณความดีแล้วจากโลกนี้ไป ก็ไม่เดือดร้อน เพราะระหว่างที่มีชีวิตอยู่ ได้ทำความดี นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งต้องพิจารณา ด้วยความตรง เกิดมาแล้ว ทำดี สะสมความดี แต่ว่า ดีเท่าไหร่ ก็ยังไม่พอ เพราะเหตุว่า ยังไม่เข้าใจธรรม โดยละเอียด โดยลึกซึ้งซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเพียงแค่ "คำเดียว" นิดๆ หน่อยๆ เราก็พอเห็นประโยชน์ แต่ถ้ามากกว่านั้น ลึกซึ้งกว่านั้น ประโยชน์จะมากสักแค่ไหน?
~ ใครที่เป็นเพื่อนที่ดีหวังดี ไม่เคยหวังร้าย ไม่เอาสิ่งที่ไม่ดีแม้สักนิดเดียวไปให้ใคร คนนั้นเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด เป็นกัลยาณมิตร ซึ่งกัลยาณมิตรสูงสุดคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หาใครเปรียบไม่ได้เลย เราได้ยินได้ฟังทุกคำจากพระมหากรุณา ทรงเป็นกัลยาณมิตร น่าสงสารเหลือเกินสำหรับคนที่ไม่ได้เข้าใจความจริง แต่ถ้าเขาได้ฟัง เขามีโอกาสที่จะไตร่ตรองจนกระทั่งเขาเข้าใจขึ้น นี่คือ พระมหากรุณา นี่คือ ผู้ที่หวังดีที่สุด เป็นมิตรที่ดีที่สุด เป็นกัลยาณมิตรที่ประเสริฐสุด ไม่มีใครเทียบได้
~ ปัญญาจะนำไปในกิจทั้งปวงที่ดี ปัญญา ไม่ทำให้ฆ่าใครโกรธใครเกลียดใคร เพราะปัญญารู้ว่า ขณะที่โกรธ เกลียด นั้น อกุศลเกิดแล้วที่ตัวเอง บุคคลที่เราโกรธ เขาก็สบายดี เพราะฉะนั้น อกุศลที่เกิดกับเรานี่แหละที่จะให้ผลกับเรา เป็นโทษกับเรา เพราะฉะนั้น เมื่อรู้อย่างนี้ ก็มีความเป็นมิตรมากกว่าที่จะโกรธ
~ กุศลทั้งหมด ควรเจริญ เพื่อที่จะขัดเกลาละคลายอกุศลธรรมให้เบาบาง มิฉะนั้นแล้ว ความรักตัว ความเห็นแก่ตัว ความเห็นผิดว่ามีตัวตนจะเพิ่มพูนขึ้น ทำให้ท่านนึกถึงแต่ตัวเองตลอดเวลา ไม่คำนึงถึงการที่จะสงเคราะห์บุคคลอื่น
~ ค่อยๆ อดทนไปทีละเล็กทีละน้อย ทีหลังก็จะเป็นผู้ที่มีความอดทนเพิ่มขึ้น แล้วอดทน ดีไหม แต่ถ้าอดทนได้ ดีไหม? ต้องคิดถึงประโยชน์ก่อนที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด เราต้องพิจารณาประโยชน์ของสิ่งนั้น เมื่อเห็นว่าเป็นประโยชน์ ก็จะทำให้เราค่อยๆ เพิ่มความอดทนขึ้น
~ การศึกษาพระธรรมทั้งหมด ก็จะละคลายความไม่รู้ และก็ละคลายอกุศลทั้งหลายซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้ จนกระทั่งสามารถที่จะนอกจากละชั่วแล้วก็บำเพ็ญความดี แล้วก็ยังชำระจิตให้บริสุทธิ์จากการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ด้วย
~ ทุกคนฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจในเหตุในผล อกุศลเป็นอกุศล เป็นโทษ กุศลเป็นกุศล ไม่เป็นโทษ ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วก็น้อมไปที่จะละอกุศล และเจริญกุศลยิ่งขึ้น ไม่ใช่ยังเป็นผู้ที่แข็งกระด้างว่ายาก ไม่ว่าพระธรรมจะว่าอย่างไร แต่ใจยังต้องการที่จะเป็นอกุศลต่อไปอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากการฟังพระธรรม
~ อกุศลไม่ใช่ให้โทษแก่คนอื่น แต่ให้โทษกับตนเอง ตัวใครก็ตัวใคร จิตใครก็จิตใคร อกุศลของใครก็อกุศลของคนนั้น กุศลของใครก็กุศลของคนนั้น เพราะฉะนั้น กำลังเป็นอกุศล ให้โทษกับใคร? ให้โทษกับบุคคลนั้น แล้วดีไหมมีโทษเพิ่มขึ้น? ไม่ดี ถ้าปัญญาไม่รู้อย่างนี้ ก็ไม่มีทางขัดเกลาอกุศลได้เลย
~ เรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ที่จะละคลายกิเลสเป็นเรื่องที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปจริงๆ แม้แต่ในขั้นของความเข้าใจ ถ้าจะตามฟังพระธรรมอยู่เรื่อยๆ พิจารณาธรรมอยู่เรื่อยๆ ก็จะเห็นได้ว่า ความเข้าใจเพิ่มขึ้นจากตอนต้นนี้มาก แต่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย โดยที่ไม่มีกำหนดรู้ได้ว่า เพิ่มขึ้นมากในตอนไหน แต่จะต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเรื่อยๆ
~ ผู้ที่มีความหวังดีจริงๆ จะไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษกับใครเลยทั้งสิ้น แต่มีแต่ให้ประโยชน์
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๐
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
พยายามระลึกรู้อยู่เสมอว่าทุกสิ่งที่เกิดเหตุหรือปัจจัยนี้เป็นเพียงชั่วคราวแต่ก็ระลึกยากที่จะทันแต่จะรู้สึกเสมอว่าไม่มีตัวตนมีแค่เกิดขึ้นดับไปในทุกขณะจิตที่เห็นเกิดกราบอนุโมทนาค่ะท่านอาจารย์
ผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ก็จะไม่ละเลยในการฟังพระธรรม เพราะรู้ว่าหนทางเดียวที่จะรู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ ฟังแล้วก็มีความเข้าใจว่า ทั้งหมดจากการที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ ซึ่งลึกซึ้งละเอียดอย่างยิ่ง ถ้าเราไม่ได้ฟังพระธรรม ก็พูดคำที่ไม่รู้จักตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคำอะไรทั้งสิ้น
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ปัญญาจะนำไปในกิจทั้งปวงที่ดี ปัญญา ไม่ทำให้ฆ่าใครโกรธใครเกลียดใคร เพราะปัญญารู้ว่า ขณะที่โกรธ เกลียด นั้น อกุศลเกิดแล้วที่ตัวเอง บุคคลที่เราโกรธ เขาก็สบายดี เพราะฉะนั้น อกุศลที่เกิดกับเรานี่แหละที่จะให้ผลกับเรา เป็นโทษกับเรา เพราะฉะนั้น เมื่อรู้อย่างนี้ ก็มีความเป็นมิตรมากกว่าที่จะโกรธ
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
กัลยาณมิตรสูงสุดคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หาใครเปรียบไม่ได้เลย เราได้ยินได้ฟังทุกคำจากพระมหากรุณา ทรงเป็นกัลยาณมิตร
นี่คือ พระมหากรุณา นี่คือ ผู้ที่หวังดีที่สุด เป็นมิตรที่ดีที่สุด เป็นกัลยาณมิตรที่ประเสริฐสุด ไม่มีใครเทียบได้
ผู้ที่มีความหวังดีจริงๆ จะไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษกับใครเลยทั้งสิ้น แต่มีแต่ให้ประโยชน์
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
กราบขอบพระคุณยินดีในกุศล กับ อ.คำปั่นด้วยค่ะ
ทุกคนฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจในเหตุในผล อกุศลเป็นอกุศล เป็นโทษ กุศลเป็นกุศล ไม่เป็นโทษ ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วก็น้อมไปที่จะละอกุศล และเจริญกุศลยิ่งขึ้น ไม่ใช่ยังเป็นผู้ที่แข็งกระด้างว่ายาก ไม่ว่าพระธรรมจะว่าอย่างไร แต่ใจยังต้องการที่จะเป็นอกุศลต่อไปอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากการฟังพระธรรม น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
การศึกษาพระธรรมทั้งหมด ก็จะละคลายความไม่รู้ และก็ละคลายอกุศลทั้งหลายซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้ จนกระทั่งสามารถที่จะนอกจากละชั่ว แล้วก็บำเพ็ญความดี ก็ยังชำระจิตให้บริสุทธิ์จากการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ด้วย น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ