วันมาฆบูชา - โอวาทปาฏิโมกข์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วันมาฆบูชา วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ พระจันทร์เต็มดวง เป็นวันอุโบสถพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดง "โอวาทปาฏิโมกข์" ใจความมีว่า
ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตรัสพระนิพพานว่าเป็นยอดผู้ทำร้ายผู้อื่น ไม่จัดว่าเป็นบรรชิต ผู้เบียดเบียนสัตว์อื่น ไม่ชื่อว่าสมณะ
การไม่ทำบาป ทั้งปวง ๑ การทำกุศลให้ถึงพร้อม ๑ ความยังจิตให้ผ่องแผ้ว ๑ ๓ อย่างนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
การไม่ว่าร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ การสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ ๑ ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑ ประกอบความเพียรในอธิจิต ๑
๖ อย่างนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
จาก ฑีฆนิกาย มหาวรรค มหาปทานสูตร
คัดลอกจากหนังสือ คุยกันวันพุธ โดย คณะสหายธรรม
ขออนุโมทนา
วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ (มาฆบูชา) เกิดมีจตุรงคสันนิบาต ซึ่งประกอบด้วย
๑. วันนั้นเป็นวันมาฆปูรณมี คือ วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือนมาฆะ จึง เรียกว่า มาฆบูชา
๒. พระภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
๓. พระภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ที่ได้บรรลุพร้อมอภิญญา ๖
๔. พระภิกษุ เหล่านั้นทั้งหมด ได้รับการอุปสมบท จากพระพุทธเจ้าโดยตรง (เอหิภิกฺขุอุปสมฺปทา) ทรงเทศนา "โอวาทปาติโมกข์"
ในวันที่ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 หรือฤกษ์เดียวกับวันมาฆบูชา พระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารครับ
ขออนุโมทนา
วันมาฆบูชาท่านพระสารีบุตรได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
อะไรคือการไม่ทำบาปทั้งปวง อะไรคือการทำกุศลให้ถึงพร้อม และอะไรคือความยังจิตให้ผ่องแผ้ว ธรรมะใดจึงเป็นอุปการะ
เรียน ท่านวิทยากร ด้วยความเคารพข้าพเจ้าลองค้นหาความหมายโดยละเอียดของ คำว่า "ศีลสังวร" ได้ข้อมูลมาดังนี้
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
[243] สังวร ๕ (ความสำรวม, ความระวังปิดกั้นบาปอกุศล — restraint) สังวรศีล (ศีลสังวร, ความสำรวมเป็นศีล — virtue as restraint)
ได้แก่ สังวร ๕ อย่าง คือ
๑. ปาฏิโมกขสังวร (สำรวมในปาฏิโมกข์ คือ รักษาสิกขาบทเคร่งครัดตามที่ทรงบัญญัติไว้ในพระปาติโมกข์— restraint by the monastic code of discipline)
๒. สติสังวร (สำรวมด้วยสติ คือ สำรวมอินทรีย์มีจักษุ เป็นต้น ระวังรักษามิให้บาปอกุศลเข้าครอบงำ เมื่อเห็นรูป เป็นต้น— restraint by mind—fulness) = อินทรียสังวร
๓. ญาณสังวร (สำรวมด้วยญาณ คือ ตัดกระแสกิเลสมีตัณหาเป็นต้นเสียได้ด้วยใช้ปัญญาพิจารณา มิให้เข้ามาครอบงำจิต ตลอดถึงรู้จักพิจารณาเสพปัจจัยสี่— restraint by knowledge) = ปัจจัยปัจจเวกขณ์
๔. ขันติสังวร (สำรวมด้วยขันติ คือ อดทนต่อหนาว ร้อน หิว กระหาย ถ้อยคำแรงร้าย และทุกขเวทนาต่างๆ ได้ ไม่แสดงความวิการ — restraint by patience)
๕. วิริยสังวร (สำรวมด้วยความเพียร คือ พยายามขับไล่ บรรเทา กำจัดอกุศลวิตกที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไปเป็นต้น ตลอดจนละมิจฉาชีพ เพียรแสวงหาปัจจัยสี่เลี้ยงชีวิตด้วยสัมมาชีพ ที่เรียกว่าอาชีวปาริสุทธิ— restraint by energy) = อาชีวปาริสุทธิ.
ในคัมภีร์บางแห่งที่อธิบายคำว่าวินัย แบ่งวินัยเป็น ๒ คือ สังวรวินัย กับปหานวินัยและจำแนกสังวรวินัยเป็น ๕ มีแปลกจากนี้เฉพาะข้อที่ ๑ เป็น สีลสังวร. (ดู สุตฺต.อ. 1/9 ; สงฺคณี.อ. 505; SnA.8; DhsA.351)
วิสุทฺธิ. 1/8;
ปฏิสํ.อ. 16 ;
วิภงฺค.อ. 429
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พิมพ์ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖
จึงขอความกรุณา ช่วยตรวจทาน และเทียบเคียงให้ด้วยค่ะเพื่อความเข้าใจที่ละเอียด ถูกต้อง ประกอบการพิจารณาต่อไปหากมีข้อความคลาดเคลื่อนประการใด ขออภัยด้วยค่ะ
ขอขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนา
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 04188 ความคิดเห็นที่ 10 โดย wichai_a
อะไรคือการไม่ทำบาปทั้งปวง อะไรคือการทำกุศลให้ถึงพร้อม และอะไรคือความยังจิตให้ผ่องแผ้ว ธรรมะใดจึงเป็นอุปการะ
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงสอนให้ละบาป (คือ ละอกุศลธรรมทั้งปวง) ด้วยศีลสังวรยังกุศล (คือ เจริญกุศลธรรมทั้งปวง) ด้วยสมถะ และวิปัสสนายังจิตใจให้ผ่องแผ้ว ด้วยอรหัตตผล
ขออนุโมทนาค่ะ