ชนกกรรมเป็นปัจจัยแก่อารมณ์ในมรณาสันนวิถี
กราบขออาจารย์วิทยากรช่วยอธิบาย
อารมณ์ในมรณาสันนวิถี จะเป็นอารมณ์ใดนั้น ขึ้นกับชนกกรรมใช่หรือไม่ อย่างไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนจุติจิตจะเกิด ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลยว่า ขวนะ ๕ ขณะสุดท้าย จะเป็นกุศล หรือจะเป็นอกุศล จะเป็นการรู้อารมณ์ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ ไม่มีใครสามารถรู้ได้เลย เพราะเป็นธรรมที่เกิดตามเหตุตามปัจจัยทั้งหมด
อารมณ์ เป็นสิ่งที่จิตรู้ สำหรับในชวนจิต ๕ ขณะสุดท้าย ก่อนจุติ นั้น แล้วแต่กำลังของกรรม ว่ากรรมใด จะให้ผลนำเกิด แล้วขณะนั้นจิตเศร้าหมอง หรือ ผ่องใส ถ้าเป็นกำลังของกุศลกรรม ก็ทำกุศลจิตเกิด จิตใจผ่องใส น้อมไปในทางฝ่ายกุศล ก่อนจุติ เมื่อจุติแล้ว ก็เกิดในสุคติภูมิ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นกำลังของอกุศลกรรม ก็ทำให้อกุศลจิตเกิดก่อนตาย จิตใจเศร้าหมอง เป็นอกุศล แม้จะเห็นสิ่งที่ดี แต่ความน้อมไปที่จะเกิดอกุศล อกุศลก็เกิดขึ้นเป็นไปได้ อกุศลจิตเกิดก่อนตาย เมื่อจุติแล้ว ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
ขอเชิญอ่านคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ดังนี้
"ท่านผู้ฟังจะได้ยินคำใหม่หรือศัพท์ใหม่สำหรับบางท่าน แต่บางท่านอาจจะชินหูแล้วสำหรับท่านที่ได้ศึกษาพระอภิธรรม คือคำว่า “มรณาสันนวิถี”
วิถีจิต หมายถึงจิตที่รู้อารมณ์ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ
ถ้าแบ่งจิตออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ วิถีมุตตจิต คือจิตที่ไม่ใช่วิถี ไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ประเภทหนึ่ง และวิถีจิต คือ จิตที่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นวิถีจิต
เพราะฉะนั้นวิถีมุตตจิต คือ ขณะที่เป็นปฏิสนธิจิต ๑ ขณะที่เป็นภวังคจิต ๑ ขณะที่เป็นจุติจิต ๑ เท่านั้นที่เป็นวิถีมุตตจิต
เพราะฉะนั้นนอกจากนี้แล้ว ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทวาร เป็นวิถีจิตทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นมรณาสันนวิถี หมายความถึง วิถีจิตที่รู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทวารก่อนจุติ ชื่อว่า “มรณาสันนวิถี” คือ วิถีจิตสุดท้ายก่อนจุติจิตจะเกิด
ธรรมดาของชวนวิถีจิตจะเกิดซ้ำถึง ๗ ขณะ ขณะที่เห็น ขณะที่ได้ยิน ปกติชวนวิถีจิตจะเกิด ๗ ขณะ แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศล หรือจะเป็นอกุศล แต่ว่าในขณะที่กำลังสลบ ชวนวิถีจะเกิดซ้ำกัน ๖ ขณะ เป็นสภาพของจิตซึ่งไม่ได้ประกอบด้วยสัมปชัญญะอย่างทั่วๆ ไปที่ใช้กันอยู่ ว่าไม่ใช่ขณะที่สมบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ และก่อนจุติจริงๆ ชวนวิถีจะเกิดเพียง ๕ ขณะ เพราะเหตุว่ามีกำลังอ่อนลง ใกล้ที่จะถึงการดับจากภพนี้ ชาตินี้ ความเป็นบุคคลนี้
เพราะฉะนั้นก่อนจุติจิตจะเกิดไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลยว่า ชวนวิถีสุดท้ายจะเป็นกุศลหรือจะเป็นอกุศล จะเป็นการรู้อารมณ์ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ เพราะเหตุว่าแม้ในขณะนี้เอง ทางจักขุทวารวิถีจิตที่เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาดับไปแล้ว มีภวังคจิตเกิดคั่น แล้วมโนทวารวิถีจิตก็เกิดต่อ หรือว่าทางหูที่กำลังได้ยินเสียงในขณะนี้ โสตทวารวิถีจิตเกิดขึ้นได้ยินเสียง ดับไปหมดแล้ว มีภวังคจิตเกิดคั่น แล้วมีมโนทวารวิถีจิตเกิดต่อ
เพราะฉะนั้นจุติจิตจะเกิดหลังการสิ้นสุดวิถีหนึ่งวิถีใดย่อมได้ คือ หลังจักขุทวารวิถีจิตดับไปหมดแล้ว จุติจิตเกิดก็ได้ หรือหลังจากที่จักขุทวารวิถีจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏดับไปหมดแล้ว แล้วภวังคจิตยังไม่เกิด จุติจิตเกิดก็ได้ หรือจะเป็นในขณะที่กำลังได้ยินเสียงในขณะนี้ โสตทวารวิถีจิตเกิดขึ้นได้ยินเสียงทางโสตทวาร ดับไปหมดแล้ว ภวังคจิตเกิด แล้วจุติจิตเกิดก็ได้ หรือว่าเมื่อได้ยินเสียงแล้ว โสตทวารวิถีจิตเกิดดับไปหมดแล้ว ภวังคจิตยังไม่เกิด จุติจิตเกิดก็ได้ หรือว่าบางท่านในขณะนี้กำลังคิดนึกเรื่องหนึ่งเรื่องใด แล้วมโนทวารวิถีจิตดับหมดแล้ว จุติจิตเกิดก็ได้
นี่แสดงให้เห็นว่า จุติจิตซึ่งกระทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ จะเกิดในขณะไหนได้ทั้งสิ้น หลังจากวิถีจิตทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจก็ได้ หรือหลังจากภวังคจิตก็ได้
เพราะฉะนั้นชวนะสุดท้ายก่อนจุติจิตจะเกิดเป็นมรณาสันนวิถี ซึ่งเลือกไม่ได้ เหมือนในขณะนี้เอง ถ้าเป็นทางตาที่เห็น จักขุทวารวิถีดับหมด แล้วจุติจิตเกิด ขณะนั้นมีกรรมนิมิตอารมณ์ ถ้าขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ แล้วมีท่านผู้หนึ่งจุติจิตเกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ คือ สิ้นชีวิตลง หลังจากที่จักขุทวารวิถีดับไปแล้ว ขณะนั้นมีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นกรรมนิมิตอารมณ์สำหรับปฏิสนธิจิตในชาติต่อไป ถ้าในขณะที่โสตทวารวิถีจิตเกิดขึ้น ได้ยินเสียงดับไปแล้วหมด ชวนะสุดท้ายที่กำลังได้ยินในขณะนี้ จะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ตาม ในขณะนั้นมีเสียงเป็นกรรมนิมิตอารมณ์
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...