ความจริง ก็คือ เดี๋ยวนี้_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
" ความจริง ก็คือ เดี๋ยวนี้ "
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕
~ ขณะนี้ มีจิต (สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) ซึ่งรู้ยากที่สุด ได้ยินชื่อจิต ไม่ว่าจะชื่ออะไรก็ตาม ต้องเข้าใจจิตนั้นจริงๆ เพราะชื่อนั้น เป็นชื่อเฉพาะจิต ชนิดหนึ่ง
~ ก่อนอื่น ต้องเข้าใจมั่นคงว่า จิตเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นทำกิจรู้ แต่หลากหลายมาก ตามเจตสิก (สภาพที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) ที่เกิดร่วมด้วย
~ จิตเกิดขึ้น ไม่ทำกิจการงานได้ไหม? ไม่ได้ เพราะฉะนั้น จิตเห็น ทำกิจอะไร? ทำกิจเห็น ต้องไม่ลืม อริยสัจจะ สิ่งที่มี ไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งหมด
~ ฟังเรื่องจิตเห็น เพื่อให้รู้ว่าจิตเห็น เป็นจิต ไม่มีใครเลย ไม่มีเรา ไม่มีอะไรทั้งหมด นอกจากจิตเกิดขึ้นเห็น ทำกิจเห็น
~ ถ้าเข้าใจจริงๆ จะไม่ลืม ทุกครั้งที่เห็น จะรู้ ได้ยิน รู้ เพราะฉะนั้น เพื่อรู้จริงๆ ทุกขณะ ที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส เป็นต้น ว่า ไม่ใช่เรา สำคัญที่สุด คือ เข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา จนกระทั่งสามารถมั่นคง ประจักษ์แจ้งได้ ไม่ใช่ให้ได้ยินแล้วจำได้หมดว่าจิตมีเท่าไหร่ทำกิจอะไร แต่เดี๋ยวนี้ให้รู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะเป็นจิตที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของจิตนั้น
~ เวลาเห็น ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น เดี๋ยวนี้กำลังมีจิตเห็นกับมีสิ่งที่ถูกเห็น ศึกษาธรรมคือศึกษาเดี๋ยวนี้ซึ่งเป็นธรรมเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจถูกต้อง
~ เห็นสิ่งที่น่าพอใจบางครั้ง เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจบางครั้ง หรือว่า ทุกครั้งเห็นแต่สิ่งที่น่าพอใจ หรือ ทุกครั้งเห็นแต่สิ่งที่ไม่น่าพอใจ? ไม่มีใครทำสักอย่างเดียว เพราะไม่มีใครทั้งสิ้น แต่มีสิ่งที่เกิดเพราะมีปัจจัยที่จะต้องเกิด
~ บางครั้งจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจ บางครั้งจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ต่างกันไหม? บังคับให้จิตเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เป็นจิตที่เห็นสิ่งที่น่าพอใจ ได้ไหม? ไม่ได้, เพราะฉะนั้น จิตเห็น ต้องเกิดขึ้นเห็น แต่เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจ เป็นผลของกรรมที่ดี จิตเกิดขึ้นแล้วเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจแล้ว เปลี่ยนไม่ได้ เป็นผลของกรรมที่เป็นอกุศลกรรมที่ทำให้จิตนั้นต้องเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เป็นผลของกรรม
~ ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ จะมีประโยชน์ไหม? เพราะฉะนั้น ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ นี่เป็นพระพุทธประสงค์ ให้เข้าใจความจริง และความจริง ก็คือ เดี๋ยวนี้
~ จิตทั้งหมด ไม่ว่าจิตอะไรเมื่อไหร่ จิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือจิตของนก ของปู ของปลา ของคน ก็เป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้ ใช่ไหม?
~ พิสูจน์ความเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยตัวเอง มีสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ต้องไม่ลืม เป็นสิ่งที่มีจริง ที่เกิดขึ้นรู้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรารู้ ไม่ใช่ใครรู้ แต่เป็นสภาพที่มีจริง ที่เกิดขึ้นรู้ทั้งหมด ต้องรู้
~ จิตเป็นสภาพรู้ เกิดขึ้นต้องรู้ แต่จิตรู้สิ่งต่างๆ ทำหน้าที่ต่างๆ เช่น จิตเห็น ไม่ได้ทำหน้าที่ได้ยิน จิตเห็น เกิดขึ้นต้องทำกิจเห็น
~ จิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตของพระอรหันต์ จิตของสาวก จิตของคนธรรมดา จิตของนก จิตของเทวดา ทั้งหมดหลากหลายมาก แต่เรากำลังพูดถึงกิจหน้าที่ของจิต ซึ่งต้องมี เพราะเกิดแล้วต้องมีหน้าที่ ที่จะต้องทำ ต่างๆ กัน
~ ตอนเกิดมีจิตไหมครับ? มี เพราะฉะนั้น กิจที่หนึ่งของชาตินี้ คือ จิตที่ชื่อว่า ปฏิสันธิจิต ปฏิ-เฉพาะ สันธิ (สนธิ) คือ การสืบต่อ จิตที่เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนทันที ไม่มีระหว่างคั่นทำกิจเกิดขึ้นในโลกนี้ เป็นกิจที่หนึ่ง
~ ปฏิสนธิจิต มีกี่ขณะ? หนึ่งขณะ เพราะฉะนั้น ต้องมีปฏิสนธิจิต หนึ่ง ดับแล้ว มีจิตเกิดต่อหรือเปล่า? มี ซึ่งไม่ใช่ปฏิสนธิจิต แต่เป็นจิตประเภทเดียวกัน เหมือนกันเลย เพราะเป็นผลของกรรมเดียวกัน ที่ทำให้ปฏิสนธิจิต เมื่อดับแล้ว ก็มีจิตสืบต่อดำรงภพชาติ ชื่อว่า ภวังคจิต
~ จิตเกิดขึ้น ไม่ทำกิจได้ไหม? ไม่ได้, ต้องไม่ลืม จิตเกิดขึ้นต้องทำกิจใดกิจหนึ่ง ขณะหลับสนิทไม่มีอะไรปรากฏเลย จิตขณะนั้น เกิดขึ้นหรือเปล่า? จิตนั้นทำกิจอะไร? ทำภวังคกิจ
~ ต้องไม่ลืมเลย ไม่ว่าจะหลับหรือจะตื่น ทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นทำกิจ เมื่อเป็นจิต เมื่อเป็นธาตุรู้
~ เดี๋ยวนี้จิตก็ทำกิจ ไม่ว่าจะหลับหรือจะตื่น หรือเมื่อไหร่ก็ตาม ที่คิดว่าเป็นเรา แต่ความจริงเป็นจิตเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่
~ ถ้ามีแต่ภวังคจิต โลกนี้จะปรากฏไหม? ไม่ปรากฏ
~ เดี๋ยวนี้ทุกคนกำลังเห็น แต่ต้องมีจิตเกิดก่อนจิตเห็น จิตที่เกิดก่อนจิตเห็น แต่ไม่เห็น ชื่อว่าจักขุทวาราวัชชนจิต หมายความว่า จิตนี้รู้ว่ามีสิ่งที่กระทบตา
~ จิต เป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ แต่ละหนึ่ง
~ จิตเห็น รู้แจ้งในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น จิตที่ทำหน้าที่ก่อนเห็น รู้แจ้งเฉพาะสิ่งที่ปรากฏกับจิตนั้นเท่านั้น รู้แจ้งว่ามีอารมณ์กระทบ แต่ยังไม่เห็นอารมณ์นั้น เป็นหนึ่งขณะ เป็นกิจหนึ่ง ทำให้รู้ว่าจิตที่เกิดก่อนจิตเห็น ไม่ใช่จิตที่เห็น
~ จิตทุกจิตต้องรู้แจ้ง เพราะฉะนั้น การรู้แจ้งของจิตแต่ละจิต ต้องต่างกัน เพราะฉะนั้น เห็น รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ส่วนอาวัชชนจิตซึ่งเกิดก่อนจิตเห็น ก็รู้แจ้งว่ามีสิ่งที่กระทบทางนั้น แต่ไม่เห็น นี่คือสามารถที่จะรู้ได้ว่ารู้แจ้ง ต้องรู้แจ้งจริงๆ ว่า จิตนี้ ไม่ใช่จิตเห็น ต่างกัน
~ มีกิจหนึ่ง ซึ่งยังไม่เกิดก็จริง แต่ต้องเกิดแน่ คือ จุติกิจ หมายความว่า เมื่อจิตนั้นเกิดขึ้นทำหน้าที่ให้พ้นความเป็นบุคคลนี้ คือ ตาย ไม่เป็นบุคคลนี้อีกได้เลย
~ จักขุวิญญาณกุศลวิบาก เป็นผลของกุศลกรรม จักขุวิญญาณ อกุศลวิบาก เป็นผลของอกุศลกรรม แต่ปัญจทวาราวัชชนจิต ไม่ใช่วิบาก เพราะสามารถจะรู้อารมณ์ได้ทั้งอารมณ์ที่ดีและไม่ดี เพราะฉะนั้น อาวัชชนจิต เป็นกิริยาจิต ไม่ใช่เป็นกุศลจิต อกุศลจิต กุศลวิบาก อกุศลวิบาก
~ จิต ถ้ากล่าวโดยนัยของการเกิด เป็นกุศล ๑ อกุศล ๑ เป็นวิบาก ซึ่งเป็นผลของกรรม ๑ และจิตที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่วิบาก แต่เกิดขึ้นทำหน้าที่ เป็นกิริยา ๑ รวมเป็น ๔ ประเภท
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แสดงความจริงทุกคำ ว่า ไม่มีเรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ นี่เป็นเหตุที่จะต้องฟังทุกคำ เข้าใจทุกคำ มิฉะนั้นแล้ว ก็จะละความเห็นผิดว่าเป็นเรา ทั้งๆ ที่ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ได้เลย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี จนกระทั่งถึงกาล (เวลา) ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมที่พระองค์ตรัสรู้แล้วทั่วชมพูทวีป เพื่อให้มีคนที่สามารถเข้าใจความจริงได้ ซึ่งต้องฟัง ต้องไตร่ตรองจนละเอียด จนเข้าใจตัวจริงของธรรมเดี๋ยวนี้ได้
~ เมื่อจิตที่เป็นผลของกรรมทำกิจปฏิสนธิ ซึ่งเป็นวิบาก จะเกิดเป็นอะไร เป็นผลของกรรมแล้วแต่ว่าเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม แล้ว ยังจะต้องมีวิบาก ซึ่งเป็นผลของกรรม คือ ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เลือกไม่ได้เลย เพราะต้องเกิดเมื่อกรรมพร้อมที่จะให้ผล ให้เห็น ให้ได้ยิน เป็นต้น
~ ต้องไม่ลืมว่า จิตเกิดขึ้นเป็นกุศล ๑ แน่นอน เป็นอกุศล ๑ แน่นอน ซึ่งเป็นเหตุที่จะให้เกิดผล กล่าวคือ อกุศลเหตุหรืออกุศลกรรม เป็นเหตุให้เกิดอกุศลวิบาก ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็ให้เห็น ให้ได้ยิน ให้ได้กลิ่น ให้ลิ้มรส ให้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่เป็นสิ่งที่ดีที่น่าพอใจ โดยกรรมทำให้จิตนั้นเกิดขึ้น เป็นผลที่ต้องรู้สิ่งนั้นที่ดี เพราะเป็นผลของกุศลกรรม ไม่มีใครเลย
~ คุณพ่อ คุณแม่ของคุณอาคิล อาจจะป่วยไข้ ไม่มีใครทำ เพราะมีเหตุที่ได้กระทำแล้ว ทำให้เกิดขึ้น และไม่ใช่แต่เฉพาะคุณพ่อคุณแม่ของคุณอาคิลเท่านั้น ทุกอย่างหมดทั่วโลก ไม่ว่าโลกไหน ก็มีจิตซึ่งเกิดขึ้นเป็นเหตุ ทำให้เกิดวิบากซึ่งเป็นผล เพราะฉะนั้น ก็มีกุศล ๑ อกุศล ๑ วิบากซึ่งเป็นผล ๑ และจิตที่ไม่ใช่กุศล อกุศล วิบาก แต่เป็นกิริยา อีก ๑ เช่น อาวัชชนจิต
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ถ้าเข้าใจจริงๆ จะไม่ลืม ทุกครั้งที่เห็น จะรู้ ได้ยิน รู้ เพราะฉะนั้น เพื่อรู้จริงๆ ทุกขณะ ที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส เป็นต้น ว่า ไม่ใช่เรา สำคัญที่สุด คือ เข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา จนกระทั่งสามารถมั่นคง ประจักษ์แจ้งได้ ไม่ใช่ให้ได้ยินแล้วจำได้หมดว่าจิตมีเท่าไหร่ทำกิจอะไร แต่เดี๋ยวนี้ให้รู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะเป็นจิตที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของจิตนั้น
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคินและทุกท่าน
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน
ยินดียิ่งในกุศลจิตของ อ.คำปั่น
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่าน ค่ะ
ทุกสิ่งที่เกิดเดี๋ยวนี้เป็นเหตุปัจจัยเป็นอกุศลหรือกุศลหรือกรรมดีกรรมไม่ดีที่ทำไว้มาส่งผลให้เห็นได้ยินได้กลิ่นแล้วควรทำจิตอย่างไรค้ะท่านอาจารย์
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์
ที่ต้องรู้เดี๋ยวนี้ รู้อย่างไรค่ะท่านอาจารย์
กราบอนุโมทนากุศลค่ะ
เรียน ความคิดเห็นที่ ๖ ครับ
ไม่มีใครทำอะไรได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่เมื่อได้อาศัยการฟังพระธรรมบ่อยๆ เนื่องๆ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ก็จะเกื้อกูลให้ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ในขณะนี้ตรงตามความเป็นจริงได้ ปัญญา ทำกิจของปัญญา ไม่ใช่เรา ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...