ความจริง ก็คือ เดี๋ยวนี้_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๕

 
khampan.a
วันที่  8 ม.ค. 2565
หมายเลข  41894
อ่าน  766

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


" ความจริง ก็คือ เดี๋ยวนี้ "

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕





~ ขณะนี้ มีจิต (สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) ซึ่งรู้ยากที่สุด ได้ยินชื่อจิต ไม่ว่าจะชื่ออะไรก็ตาม ต้องเข้าใจจิตนั้นจริงๆ เพราะชื่อนั้น เป็นชื่อเฉพาะจิต ชนิดหนึ่ง

~ ก่อนอื่น ต้องเข้าใจมั่นคงว่า จิตเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นทำกิจรู้ แต่หลากหลายมาก ตามเจตสิก (สภาพที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) ที่เกิดร่วมด้วย

~ จิตเกิดขึ้น ไม่ทำกิจการงานได้ไหม? ไม่ได้ เพราะฉะนั้น จิตเห็น ทำกิจอะไร? ทำกิจเห็น ต้องไม่ลืม อริยสัจจะ สิ่งที่มี ไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งหมด

~ ฟังเรื่องจิตเห็น เพื่อให้รู้ว่าจิตเห็น เป็นจิต ไม่มีใครเลย ไม่มีเรา ไม่มีอะไรทั้งหมด นอกจากจิตเกิดขึ้นเห็น ทำกิจเห็น

~ ถ้าเข้าใจจริงๆ จะไม่ลืม ทุกครั้งที่เห็น จะรู้ ได้ยิน รู้ เพราะฉะนั้น เพื่อรู้จริงๆ ทุกขณะ ที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส เป็นต้น ว่า ไม่ใช่เรา สำคัญที่สุด คือ เข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา จนกระทั่งสามารถมั่นคง ประจักษ์แจ้งได้ ไม่ใช่ให้ได้ยินแล้วจำได้หมดว่าจิตมีเท่าไหร่ทำกิจอะไร แต่เดี๋ยวนี้ให้รู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะเป็นจิตที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของจิตนั้น

~ เวลาเห็น ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น เดี๋ยวนี้กำลังมีจิตเห็นกับมีสิ่งที่ถูกเห็น ศึกษาธรรมคือศึกษาเดี๋ยวนี้ซึ่งเป็นธรรมเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจถูกต้อง

~ เห็นสิ่งที่น่าพอใจบางครั้ง เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจบางครั้ง หรือว่า ทุกครั้งเห็นแต่สิ่งที่น่าพอใจ หรือ ทุกครั้งเห็นแต่สิ่งที่ไม่น่าพอใจ? ไม่มีใครทำสักอย่างเดียว เพราะไม่มีใครทั้งสิ้น แต่มีสิ่งที่เกิดเพราะมีปัจจัยที่จะต้องเกิด

~ บางครั้งจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจ บางครั้งจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ต่างกันไหม? บังคับให้จิตเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เป็นจิตที่เห็นสิ่งที่น่าพอใจ ได้ไหม? ไม่ได้, เพราะฉะนั้น จิตเห็น ต้องเกิดขึ้นเห็น แต่เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่น่าพอใจ เป็นผลของกรรมที่ดี จิตเกิดขึ้นแล้วเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจแล้ว เปลี่ยนไม่ได้ เป็นผลของกรรมที่เป็นอกุศลกรรมที่ทำให้จิตนั้นต้องเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เป็นผลของกรรม

~ ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ จะมีประโยชน์ไหม? เพราะฉะนั้น ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ นี่เป็นพระพุทธประสงค์ ให้เข้าใจความจริง และความจริง ก็คือ เดี๋ยวนี้

~ จิตทั้งหมด ไม่ว่าจิตอะไรเมื่อไหร่ จิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือจิตของนก ของปู ของปลา ของคน ก็เป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้ ใช่ไหม?

~ พิสูจน์ความเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยตัวเอง มีสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ต้องไม่ลืม เป็นสิ่งที่มีจริง ที่เกิดขึ้นรู้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรารู้ ไม่ใช่ใครรู้ แต่เป็นสภาพที่มีจริง ที่เกิดขึ้นรู้ทั้งหมด ต้องรู้

~ จิตเป็นสภาพรู้ เกิดขึ้นต้องรู้ แต่จิตรู้สิ่งต่างๆ ทำหน้าที่ต่างๆ เช่น จิตเห็น ไม่ได้ทำหน้าที่ได้ยิน จิตเห็น เกิดขึ้นต้องทำกิจเห็น

~ จิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตของพระอรหันต์ จิตของสาวก จิตของคนธรรมดา จิตของนก จิตของเทวดา ทั้งหมดหลากหลายมาก แต่เรากำลังพูดถึงกิจหน้าที่ของจิต ซึ่งต้องมี เพราะเกิดแล้วต้องมีหน้าที่ ที่จะต้องทำ ต่างๆ กัน

~ ตอนเกิดมีจิตไหมครับ? มี เพราะฉะนั้น กิจที่หนึ่งของชาตินี้ คือ จิตที่ชื่อว่า ปฏิสันธิจิต ปฏิ-เฉพาะ สันธิ (สนธิ) คือ การสืบต่อ จิตที่เกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนทันที ไม่มีระหว่างคั่นทำกิจเกิดขึ้นในโลกนี้ เป็นกิจที่หนึ่ง

~ ปฏิสนธิจิต มีกี่ขณะ? หนึ่งขณะ เพราะฉะนั้น ต้องมีปฏิสนธิจิต หนึ่ง ดับแล้ว มีจิตเกิดต่อหรือเปล่า? มี ซึ่งไม่ใช่ปฏิสนธิจิต แต่เป็นจิตประเภทเดียวกัน เหมือนกันเลย เพราะเป็นผลของกรรมเดียวกัน ที่ทำให้ปฏิสนธิจิต เมื่อดับแล้ว ก็มีจิตสืบต่อดำรงภพชาติ ชื่อว่า ภวังคจิต

~ จิตเกิดขึ้น ไม่ทำกิจได้ไหม? ไม่ได้, ต้องไม่ลืม จิตเกิดขึ้นต้องทำกิจใดกิจหนึ่ง ขณะหลับสนิทไม่มีอะไรปรากฏเลย จิตขณะนั้น เกิดขึ้นหรือเปล่า? จิตนั้นทำกิจอะไร? ทำภวังคกิจ

~ ต้องไม่ลืมเลย ไม่ว่าจะหลับหรือจะตื่น ทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นทำกิจ เมื่อเป็นจิต เมื่อเป็นธาตุรู้

~ เดี๋ยวนี้จิตก็ทำกิจ ไม่ว่าจะหลับหรือจะตื่น หรือเมื่อไหร่ก็ตาม ที่คิดว่าเป็นเรา แต่ความจริงเป็นจิตเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่

~ ถ้ามีแต่ภวังคจิต โลกนี้จะปรากฏไหม? ไม่ปรากฏ

~ เดี๋ยวนี้ทุกคนกำลังเห็น แต่ต้องมีจิตเกิดก่อนจิตเห็น จิตที่เกิดก่อนจิตเห็น แต่ไม่เห็น ชื่อว่าจักขุทวาราวัชชนจิต หมายความว่า จิตนี้รู้ว่ามีสิ่งที่กระทบตา

~ จิต เป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ แต่ละหนึ่ง

~ จิตเห็น รู้แจ้งในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น จิตที่ทำหน้าที่ก่อนเห็น รู้แจ้งเฉพาะสิ่งที่ปรากฏกับจิตนั้นเท่านั้น รู้แจ้งว่ามีอารมณ์กระทบ แต่ยังไม่เห็นอารมณ์นั้น เป็นหนึ่งขณะ เป็นกิจหนึ่ง ทำให้รู้ว่าจิตที่เกิดก่อนจิตเห็น ไม่ใช่จิตที่เห็น

~ จิตทุกจิตต้องรู้แจ้ง เพราะฉะนั้น การรู้แจ้งของจิตแต่ละจิต ต้องต่างกัน เพราะฉะนั้น เห็น รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ส่วนอาวัชชนจิตซึ่งเกิดก่อนจิตเห็น ก็รู้แจ้งว่ามีสิ่งที่กระทบทางนั้น แต่ไม่เห็น นี่คือสามารถที่จะรู้ได้ว่ารู้แจ้ง ต้องรู้แจ้งจริงๆ ว่า จิตนี้ ไม่ใช่จิตเห็น ต่างกัน

~ มีกิจหนึ่ง ซึ่งยังไม่เกิดก็จริง แต่ต้องเกิดแน่ คือ จุติกิจ หมายความว่า เมื่อจิตนั้นเกิดขึ้นทำหน้าที่ให้พ้นความเป็นบุคคลนี้ คือ ตาย ไม่เป็นบุคคลนี้อีกได้เลย

~ จักขุวิญญาณกุศลวิบาก เป็นผลของกุศลกรรม จักขุวิญญาณ อกุศลวิบาก เป็นผลของอกุศลกรรม แต่ปัญจทวาราวัชชนจิต ไม่ใช่วิบาก เพราะสามารถจะรู้อารมณ์ได้ทั้งอารมณ์ที่ดีและไม่ดี เพราะฉะนั้น อาวัชชนจิต เป็นกิริยาจิต ไม่ใช่เป็นกุศลจิต อกุศลจิต กุศลวิบาก อกุศลวิบาก

~ จิต ถ้ากล่าวโดยนัยของการเกิด เป็นกุศล ๑ อกุศล ๑ เป็นวิบาก ซึ่งเป็นผลของกรรม ๑ และจิตที่ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่วิบาก แต่เกิดขึ้นทำหน้าที่ เป็นกิริยา ๑ รวมเป็น ๔ ประเภท

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แสดงความจริงทุกคำ ว่า ไม่มีเรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ นี่เป็นเหตุที่จะต้องฟังทุกคำ เข้าใจทุกคำ มิฉะนั้นแล้ว ก็จะละความเห็นผิดว่าเป็นเรา ทั้งๆ ที่ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ได้เลย

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี จนกระทั่งถึงกาล (เวลา) ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมที่พระองค์ตรัสรู้แล้วทั่วชมพูทวีป เพื่อให้มีคนที่สามารถเข้าใจความจริงได้ ซึ่งต้องฟัง ต้องไตร่ตรองจนละเอียด จนเข้าใจตัวจริงของธรรมเดี๋ยวนี้ได้

~ เมื่อจิตที่เป็นผลของกรรมทำกิจปฏิสนธิ ซึ่งเป็นวิบาก จะเกิดเป็นอะไร เป็นผลของกรรมแล้วแต่ว่าเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม แล้ว ยังจะต้องมีวิบาก ซึ่งเป็นผลของกรรม คือ ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เลือกไม่ได้เลย เพราะต้องเกิดเมื่อกรรมพร้อมที่จะให้ผล ให้เห็น ให้ได้ยิน เป็นต้น


~ ต้องไม่ลืมว่า จิตเกิดขึ้นเป็นกุศล ๑ แน่นอน เป็นอกุศล ๑ แน่นอน ซึ่งเป็นเหตุที่จะให้เกิดผล กล่าวคือ อกุศลเหตุหรืออกุศลกรรม เป็นเหตุให้เกิดอกุศลวิบาก ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ก็ให้เห็น ให้ได้ยิน ให้ได้กลิ่น ให้ลิ้มรส ให้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่เป็นสิ่งที่ดีที่น่าพอใจ โดยกรรมทำให้จิตนั้นเกิดขึ้น เป็นผลที่ต้องรู้สิ่งนั้นที่ดี เพราะเป็นผลของกุศลกรรม ไม่มีใครเลย

~ คุณพ่อ คุณแม่ของคุณอาคิล อาจจะป่วยไข้ ไม่มีใครทำ เพราะมีเหตุที่ได้กระทำแล้ว ทำให้เกิดขึ้น และไม่ใช่แต่เฉพาะคุณพ่อคุณแม่ของคุณอาคิลเท่านั้น ทุกอย่างหมดทั่วโลก ไม่ว่าโลกไหน ก็มีจิตซึ่งเกิดขึ้นเป็นเหตุ ทำให้เกิดวิบากซึ่งเป็นผล เพราะฉะนั้น ก็มีกุศล ๑ อกุศล ๑ วิบากซึ่งเป็นผล ๑ และจิตที่ไม่ใช่กุศล อกุศล วิบาก แต่เป็นกิริยา อีก ๑ เช่น อาวัชชนจิต


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
petsin.90
วันที่ 8 ม.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
มังกรทอง
วันที่ 8 ม.ค. 2565

ถ้าเข้าใจจริงๆ จะไม่ลืม ทุกครั้งที่เห็น จะรู้ ได้ยิน รู้ เพราะฉะนั้น เพื่อรู้จริงๆ ทุกขณะ ที่เห็น ที่ได้ยิน ที่ได้กลิ่น ที่ลิ้มรส เป็นต้น ว่า ไม่ใช่เรา สำคัญที่สุด คือ เข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา จนกระทั่งสามารถมั่นคง ประจักษ์แจ้งได้ ไม่ใช่ให้ได้ยินแล้วจำได้หมดว่าจิตมีเท่าไหร่ทำกิจอะไร แต่เดี๋ยวนี้ให้รู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะเป็นจิตที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของจิตนั้น

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
swanjariya
วันที่ 8 ม.ค. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลของคุณสุคินและทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 9 ม.ค. 2565

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน

ยินดียิ่งในกุศลจิตของ อ.คำปั่น

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
tim7755tim
วันที่ 9 ม.ค. 2565

ทุกสิ่งที่เกิดเดี๋ยวนี้เป็นเหตุปัจจัยเป็นอกุศลหรือกุศลหรือกรรมดีกรรมไม่ดีที่ทำไว้มาส่งผลให้เห็นได้ยินได้กลิ่นแล้วควรทำจิตอย่างไรค้ะท่านอาจารย์

กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
tim7755tim
วันที่ 9 ม.ค. 2565

ที่ต้องรู้เดี๋ยวนี้ รู้อย่างไรค่ะท่านอาจารย์

กราบอนุโมทนากุศลค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 9 ม.ค. 2565

เรียน ความคิดเห็นที่ ๖ ครับ

ไม่มีใครทำอะไรได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่เมื่อได้อาศัยการฟังพระธรรมบ่อยๆ เนื่องๆ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ก็จะเกื้อกูลให้ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ในขณะนี้ตรงตามความเป็นจริงได้ ปัญญา ทำกิจของปัญญา ไม่ใช่เรา ครับ

...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaturong
วันที่ 10 ม.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ