ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด_สนทนาธรรมไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
" ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด "
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๕
~ เรากำลังศึกษาสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ สิ่งที่เราจะศึกษาอยู่ไม่ไกลเลย เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปหาที่ไหน แต่ไกลที่สุดที่จะเข้าใจความจริง
~ ถ้าเราศึกษาสิ่งที่อยู่ไกลแสนไกลนอกจากตรงนี้ แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่มีตรงนี้ จะชื่อว่ามีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูกมีปัญญารู้ความจริง ได้ไหม?
~ เดี๋ยวนี้ แน่ใจหรือยัง ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทุกอย่าง ทรงแสดงความจริง ให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ให้มั่นใจว่า การศึกษาธรรม ไม่ใช่ศึกษาเพื่อไปเข้าใจอะไรอื่นแสนไกล นอกจากสิ่งที่มี แต่ให้รู้ว่า มืดสนิท แม้สิ่งที่ใกล้ที่สุดก็ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ พูดถึงเห็น ต้องเข้าใจเห็นที่กำลังเห็น ไม่ใช่ไปคิดเรื่องอื่น เพราะฉะนั้น จากการที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มรู้เริ่มเข้าใจว่า เห็นคืออะไร? ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อะไรเลย นอกจากธาตุรู้ที่เกิดขึ้นเห็น
~ ต่อไปนี้ เราจะเรียกธาตุรู้ ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏว่า จิต
~ ก่อนจิตเห็น มีจิตไหม? จะเป็นจิตอะไรก็ได้ ไม่ใช่เลย ต้องเป็นไปตามปัจจัย จะมีจิตอื่นเกิดก่อนจิตเห็นไม่ได้ นอกจากจิตที่เกิดขึ้นทำหน้าที่รู้ว่ามีสิ่งที่เป็นอารมณ์กระทบตา
~ จิตที่เกิดก่อนจิตเห็น เป็นกุศลหรือเป็นอกุศลหรือเป็นวิบากหรือเป็นอะไร? จิตที่เกิดก่อนจิตเห็น คือ จักขุทวาราวัชชนจิต เป็นกิริยา เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมที่ลึกซึ้ง ประมาทไม่ได้เลย เพราะถ้าประมาท ยังคงเป็นเรา ถ้าไม่รู้ความจริงว่านั่นคืออะไร
~ การฟังพระธรรม ต้องเคารพจริงๆ ว่า เราไม่รู้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงพระมหากรุณาให้เราได้เข้าใจถูกว่า ทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ไม่ใช่เรา กว่าจะเข้าใจมั่นคงจริงๆ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดและมั่นคง
~ ขณะที่เกิดขณะแรก เป็นผลของกรรม เป็นวิบาก ต่อจากนั้นก็เป็นกรรมเดียวกันนั่นแหละ ทำให้ผลของกรรมเกิดขึ้นต่อไปอีก แต่ไม่ได้ทำกิจปฏิสนธิ แต่ทำภวังคกิจ (ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ไว้)
~ ถ้าฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่มีประโยชน์เลย เพราะจะไม่สามารถเข้าใจได้ว่าไม่มีเรา แต่เป็นธรรมที่ละเอียดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
~ ฟังธรรม เพื่อเข้าใจมั่นคงจริงๆ ในเหตุในผลในความเป็นจริง ไม่ใช่จำ มิฉะนั้น ทุกอย่างเป็นเราหมด ซึ่งความจริงไม่ใช่เราได้เลย ไม่มีเราแน่นอน แต่มีธรรมที่เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น กิริยาจิตต้องเป็นกิริยาจิต กุศลจิตต้องเป็นกุศลจิต สลับกันเปลี่ยนไม่ได้
~ พระอรหันต์ มีปัญจทวาราชวัชชนจิต ไหม? มี, ปัญจทวาราชวัชชนจิตของคุณอาช่า กับ ปัญจทวาราชวัชชนจิตของพระอรหันต์ ต่างกันหรือเหมือนกัน? ยังมีอนุสัยกิเลส (กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิต) สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดับกิเลส ยังไม่ใช่พระอริยบุคคล
~ จิตของพระอรหันต์ มีวิบากจิต กับ กิริยาจิต
~ นก มีปัญจทวาราชวัชชนจิตไหม? มี, กิริยาจิตของนกกับกิริยาจิตของคนที่ไม่ใช่พระอริยบุคคล เหมือนกันไหม? เหมือนกัน นั่นถูกต้อง มีอนุสัยกิเลสเหมือนกัน เพราะยังไม่ใช่พระอริยบุคคล
~ ภวังค์ทั้งหมด ไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เลยทั้งสิ้น
~ ต้องไม่ลืมว่า ทางรู้อารมณ์หลากหลายเป็น ๖ ทาง ทางตา ๑ ทางหู ๑ ทางจมูก ๑ ทางลิ้น ๑ ทางกาย ๑ ๕ ทาง เป็น ปัญจทวาร และ ทางใจ อีก ๑ ทาง
~ อารมณ์ที่กระทบตา เป็นปัจจัยให้เกิดจิตที่เป็นจักขุทวาราวัชชนะ รู้อารมณ์ว่าอารมณ์กระทบแต่ไม่เห็น
~ ทางหู มีเสียงกระทบ จิตได้ยินยังเกิดไม่ได้ มีจิตที่รู้ว่าเสียงกระทบหู ขณะนั้น เป็นโสตทวาราวัชชนะ โสตทวาราวัชชนะ รู้อารมณ์ คือ เสียงไหม? รู้อารมณ์ โสตทวาราวัชชนะ ได้ยินเสียงไหม? ไม่ได้ยิน
~ อะไร เป็นทวารของจิตเห็น? จักขุทวาร เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืมว่า จักขุทวาร หมายถึงรูป คือ จักขุปสาทรูป ถ้าไม่มี ก็เห็นไม่ได้
~ เมื่ออารมณ์กระทบทวาร (จักขุปสาทะ) จิตแรก ยังไม่เห็น แต่ว่าเริ่มเกิดรู้ว่าอารมณ์กระทบ นั่นเป็นจักขุทวาราวัชชนะ เพราะฉะนั้น ความต่างของจักขุทวาร กับ จักขุทวารราวัชชนะ ก็คือ จักขุทวาร เป็นรูป ส่วนจักขุทวาราวัชชนจิต เป็นวิถีจิตแรก ไม่ใช่ภวังค์อีกต่อไป
~ ไม่มีจักขุทวาราวัชชนจิต จักขุวิญญาณ (เห็น) เกิดได้ไหม? ไม่ได้
~ การศึกษาธรรม ไม่ใช่ให้จำ ไม่ใช่ให้ไปคิดไปคิดมาเอง แต่ต้องรู้จริงๆ
~ หทยวัตถุเป็นที่เกิด (ของจิตส่วนใหญ่) ไม่ใช่ทวาร ให้รู้ว่า หทยวัตถุ เป็นที่เกิดของจิตเท่านั้น แต่ไม่ได้เป็นทางที่จะให้รู้อารมณ์ใดๆ เลยทั้งสิ้น
~ ต้องเข้าใจให้ถูกต้องในความต่างที่ละเอียดมาก ทวาร ๖ กับ วัตถุ ซึ่งเป็นที่เกิดของจิต ก็มี ๖ แต่ไม่ใช่อย่างเดียวกัน นี่เป็นชีวิตทุกชาติตั้งแต่เกิดจนตาย เรากำลังจะเรียนเรื่องพื้นฐานของชีวิตต้องมี ๖ ทางอย่างนี้ ไม่ว่าชาติไหน แต่สิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่รู้ หลากหลายมาก เพราะฉะนั้น เรื่องของจิต เรื่องของอารมณ์ เรื่องของวัตถุที่เกิดของจิต ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง
~ ไม่ว่าจะอยู่ที่มนุษย์ ออกไปนอกโลก ไปที่โลกพระจันทร์หรือว่าเกิดบนสวรรค์ หรือในนรก ที่มีรูป ต้องมีจิตที่เกิดที่รูป จะเกิดที่อื่นนอกจากเกิดที่รูปไม่ได้
~ ไม่มีรูป จิตเกิดได้ไหม? เฉพาะในภูมิที่มีรูปเท่านั้นที่จิตต้องเกิดที่รูป แต่ภูมิใดที่ไม่มีรูปเลย จิตก็เกิดได้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สภาพธรรมทั้งหมด ในภูมิที่มีรูป ในภูมิที่ไม่มีรูป ในภูมิที่มีแต่รูปไม่มีนามธรรมเลยทั้งหมด ไม่ว่าที่ใด พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงและทรงแสดงความจริงนั้นตามลำดับ
~ ตั้งแต่เกิดมาจนตาย จะไม่พ้นจากสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ที่เรากำลังพูดถึงให้เข้าใจความจริงว่าไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด
~ ไม่ใช่ให้จำ แต่ให้เข้าใจละเอียดขึ้นๆ จนกระทั่งเข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เราและไม่มีเรา มิฉะนั้น จะไม่สามารถประจักษ์แจ้งจนกระทั่งเข้าใจในความหมายของคำว่า อริยสัจจะ ความจริงที่เปลี่ยนไม่ได้เลย
~ ลิง มีวัตถุรูปไหม? มี, มีกี่วัตถุ? ๖ วัตถุ
~ ไม่มีลิง ไม่มีคน แต่มีที่เกิดของจิต มีทวาร มีอะไรๆ ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่ของใคร
~ จิตเห็นเกิดที่ไหน? เกิดที่จักขุวัตถุ
~ จิตได้ยิน เกิดที่ไหน? เกิดที่โสตวัตถุ
~ ปัญจทวาราวัชชนจิต เกิดที่ไหน? เกิดที่หทัยวัตถุ
~ ภวังค์เกิดที่ไหน? เกิดที่หทยวัตถุ
~ จิต ที่เกิดที่จักขุวัตถุ มีกี่ประเภท อะไรบ้าง? จักขุวิญญาณ (จิตเห็น) กุศลวิบาก ๑ และ อกุศลวิบาก ๑
~ ภวังคจิต เกิดที่จักขุวัตถุได้ไหม? ไม่ได้
~ เวลาที่กล่าวถึงจักขุวัตถุ หมายความถึงที่เกิดของจิต เวลาที่กล่าวถึง จักขุทวาร หมายความถึง ทางรู้อารมณ์
~ จักขุทวารหรือจักขุปสาทะ เป็นทวารของจิตทุกจิตที่รู้รูปที่ยังไม่ดับ
~ ต้องมั่นคง ต้องทบทวน ต้องเข้าใจ มิฉะนั้น จะคลาดเคลื่อนในความเป็นจิตแต่ละชนิด
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...