ไม่ต้องไปหาความจริงที่ไหนเลยทั้งสิ้น_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
" ไม่ต้องไปหาความจริงที่ไหนเลยทั้งสิ้น "
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๕
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเข้าใจ เพราะว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทุกคำเพื่อให้เข้าใจ ไม่ใช่ให้จำ เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระองค์ เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่รู้ได้เดี๋ยวนี้
~ ต้องไม่ลืมว่า เดี๋ยวนี้มีธรรม คือ สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏตั้งแต่เกิดจนตาย เดี๋ยวนี้มีเห็น ไม่รู้ว่าเป็นอะไร คิดว่าเราเห็น เดี๋ยวนี้ มีได้ยิน ไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่คิดว่าเป็นเราได้ยิน เพราะฉะนั้น ความหมายของคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง คือ รู้สิ่งที่มีตามปกติในชีวิตประจำวัน ตามความเป็นจริง
~ ไม่ต้องไปหาความจริงที่ไหนเลยทั้งสิ้น เพราะเดี๋ยวนี้เป็นความจริงที่เห็น กำลังคิดก็จริง กำลังจำก็จริง เป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เพราะฉะนั้น ต้องพิจารณาว่า เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่เรา เพราะเห็นกำลังเห็น ไม่มีใครในขณะที่เห็นกำลังเห็น ต้องมั่นคงว่า ธรรมแต่ละหนึ่ง เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เปลี่ยนไม่ได้
~ ต้องมั่นคงว่า ไม่มีเรา เพราะฉะนั้น เห็นเดี๋ยวนี้ เป็นเห็น ไม่ใช่เราเห็น แต่เห็นเกิดขึ้นเห็น เป็นเห็นเท่านั้น ทุกอย่างที่มีจริง มีลักษณะที่เป็นอย่างนั้น แต่ไม่รู้ จึงเป็นเราเห็น เราคิด เราจำ ทั้งหมดเป็นเราตั้งแต่เกิดจนตาย นี่คือ ไม่ได้รู้ความจริง
~ จะรู้จักพระพุทธเจ้าเมื่อเข้าใจคำที่พระองค์กำลังพูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ทุกคำเหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสจากพระโอษฐ์ที่กำลังได้ยินทุกคำ เพราะฉะนั้น ต้องพิจารณาตั้งแต่เกิด และขณะทุกขณะตั้งแต่เกิดจนตาย จึงจะรู้ว่าความจริงของธรรมแต่ละหนึ่ง เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ใช่เรา ต้องมั่นคงว่าไม่ใช่เรา แล้วเป็นอะไร? เป็นธรรม ตั้งแต่เกิดจนตาย
~ กำลังมีเห็นจริงๆ เห็นเกิดขึ้น รู้สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ไม่ใช่เรา สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจความจริงของเห็นจริงๆ ว่ามีจริงๆ ความจริงของเห็น คือ มีสภาพที่รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เมื่อเห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งนั้น
~ เห็นไม่มีรูปร่างเลย ไม่สูงไม่เตี้ย ไม่หอมไม่เหม็น ไม่หวานไม่เค็ม แต่เกิดขึ้น เพียงรู้ ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด
~ ขณะได้ยิน ไม่ใช่เห็น แต่รู้เสียงที่กำลังถูกได้ยิน เพราะฉะนั้น มีสภาพรู้เกิดขึ้นรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่มีสภาพรู้เกิดขณะแรก จะมีเห็นเดี๋ยวนี้ จะมีได้ยินเดี๋ยวนี้ได้ไหม? แต่ตั้งแต่เกิดจนตาย มีสภาพรู้หลายอย่างเปลี่ยนแปลงจากขณะหนึ่งไปอีกขณะหนึ่งตลอดเวลา
~ ถ้าไม่มีสภาพรู้อะไรเกิดขึ้น ก็จะไม่มีชีวิตที่จะเห็น จะได้ยินเลย เพราะฉะนั้น เริ่มรู้จักลักษณะที่เป็นสภาพรู้ ต้องมี ตั้งแต่ขณะแรก และหลังจากนั้น ก็มี คือ เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง
~ เดี๋ยวนี้เห็นเกิดเองไม่ได้ ต้องมีสิ่งที่อาศัยกันและกันทำให้เห็นเกิดขึ้น ต้องไม่ลืมว่าทุกอย่างที่เกิด ไม่ว่าอะไรที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เกิด ต้องมีสิ่งที่อาศัยปรุงแต่งทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น จะเกิดเองตามลำพังไม่ได้
~ ไม่เคยขาดจิตเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย
~ ต้องไม่ลืมว่าทุกอย่างที่มี เกิดแล้วต้องมีปัจจัย แม้แต่จิตแรกที่เกิด ที่ใช้คำว่าเกิด (ปฏิสนธิ) ก็เป็นจิตที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
~ จิตแรกที่เกิด เป็นผลของการกระทำที่ได้กระทำแล้วหนึ่งกรรม หนึ่งการกระทำซึ่งเรียกว่ากรรม มีการกระทำบางครั้งดี บางครั้งชั่ว เป็นเหตุที่จะทำให้ผลเกิดขึ้น เป็นจิตขณะแรกที่เกิด กรรมดี ก็มี กรรมไม่ดี ก็มี เลือกให้กรรมดี ทำให้เกิดก็ไม่ได้ แล้วแต่กรรมใดพร้อมที่จะทำให้เกิด จึงสามารถที่จะเกิด เป็นขณะแรกได้
~ มีการกระทำมากมาย ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว เพราะฉะนั้น กรรมหนึ่งเท่านั้นที่ได้ทำแล้ว ทำให้ชาตินี้เกิดขึ้นขณะแรกเป็นคนนี้
~ ปฏิสนธิจิต ซึ่งเป็นจิตขณะแรก ก็ประมวลมาซึ่งกรรมอื่นที่สามารถจะให้ผลในชาตินั้นหลากหลายด้วย
~ การที่สภาพธรรมที่เป็นจิตแต่ละหนึ่งจะเกิดขึ้น ต้องอาศัยปัจจัยหลายปัจจัย ปัจจัย คือ ที่อาศัยที่ทำให้เกิดขึ้น
~ ต้องไม่ลืมว่าจิตทุกจิต ทันทีที่ดับ เป็นปัจจัยให้จิตต่อไปเกิดขึ้น เปลี่ยนไม่ได้เลย นั่นคือ อนันตรปัจจัย (ความเป็นปัจจัย โดยไม่มีระหว่างคั่น, ไม่มีธรรมอย่างอื่นคั่น)
~ จุดประสงค์ของการศึกษาธรรม กี่ชาติ ก็เพื่อให้รู้ความจริงว่า ไม่มีเรา ซึ่งยากมาก เพราะฉะนั้น โอกาสอะไรที่เราจะให้เขาเห็นความไม่สามารถที่จะเป็นเราได้ เขาก็จะได้ปลูกฝังความมั่นคงว่าไม่มีเรา แล้วก็ฟังต่อไป จนเข้าใจขึ้นๆ
~ จะต้องมีความเข้าใจจริงๆ เพื่อที่จะได้มั่นคงว่าไม่มีเรา ถ้าฟังเรื่องต่างๆ แล้วไม่สามารถที่จะไตร่ตรองความจริงของแม้แต่หนึ่งขณะได้ ไม่มีอะไรที่จะไปละความเป็นเราได้เลย
~ กรรมหนึ่ง เป็นปัจจัยให้จิตและเจตสิกเกิดขึ้นทำกิจปฏิสนธิแล้วดับ ปฏิสนธิจิตดับแล้วอะไรเกิดต่อ? ภวังคจิต จิตที่เป็นภวังค์ เห็นอะไร ได้ยินอะไร คิดอะไรหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น กรรมทำกิจให้ปฏิสนธิจิตเกิด ไม่พอ หลังจากปฏิสนธิจิตดับแล้ว ก็ทำให้จิตอื่นที่เป็นผลของกรรมเกิดต่อทำหน้าที่ภวังค์ (ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ไว้)
~ กรรมให้ผล ทำให้จิตเห็น เกิด ถ้าเป็นจิตเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ก็เป็นผลของกุศลกรรม ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็เป็นผลของอกุศลกรรม
~ มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย เป็นวิบาก (ผลของกรรม) ที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน
~ กำลังรู้รสอร่อย ขณะนั้นเป็นจิตที่เป็นผลของกุศล จึงเป็นกุศลวิบากจิต
~ ชีวิตส่วนหนึ่งเป็นผลของกรรม อีกส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นกิเลส และกุศล อกุศล
~ ไม่ว่าจะเป็นพระอรหันต์หรือคนธรรมดา เปลี่ยนจิตไม่ได้ เปลี่ยนผลของกรรมไม่ได้ แต่ว่าสำหรับคนธรรมดา มีกระแสภวังค์แล้วก็คั่นด้วยกุศลและอกุศล ส่วนหนึ่ง คือ ผลของกรรม อีกส่วนหนึ่ง ก็เป็นอกุศลหรือกุศล แต่สำหรับพระอรหันต์ ชีวิตก็ต้องเป็นไป แต่เมื่อเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว หลังจากนั้นไม่มีกุศลและอกุศลอีกเลยเมื่อเป็นพระอรหันต์ คิดนึกก็ไม่เป็นกุศลและกุศล เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ มีแต่วิบากกับกิริยา
~ ทั้งหมดเป็นธรรม ไม่ใช่ใครเลย ไม่ว่าจะเป็นกรรม ผลของกรรม กุศล อกุศล กิริยา
~ สำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ มีผลของกรรมแน่นอน เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้วก่อนเป็นพระอรหันต์ แต่เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มีกรรมเลย เพราะฉะนั้น ไม่มีกุศลและอกุศล มีแต่วิบากและกิริยา
~ เปลี่ยนกิริยาจิตให้เป็นกุศลได้ไหม? ไม่ได้ นี่คือ ธรรม สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ทุกวันมีสิ่งที่มีจริงปรากฏ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าไม่ใช่เรา เป็นธรรมต่างๆ
~ เห็นเป็นธรรม สงสัยเป็นธรรม คิดเป็นธรรม เป็นธรรมทั้งหมดเดี๋ยวนี้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมจนกว่าจะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ค่อยๆ เข้าใจลักษณะที่มีจริงๆ แล้วก็ค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา ถ้าไม่มีความเข้าใจ เดี๋ยวนี้เป็นเรา ก็ไม่รู้
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์
การที่เห็น ที่ได้ยิน เป็นผลของกรรมที่เคยกระทำแล้วส่งผล เพราะฉะนั้น ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา มีเพียงธรรมที่ปฏิบัติหน้าที่ทีละหนึ่ง เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะท่านอาจารย์
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคินและผู้ร่วมสนทนาธรรมทุกๆ ท่าน
จะต้องมีความเข้าใจจริงๆ เพื่อที่จะได้มั่นคงว่าไม่มีเรา ถ้าฟังเรื่องต่างๆ แล้วไม่สามารถที่จะไตร่ตรองความจริงของแม้แต่หนึ่งขณะได้ ไม่มีอะไรที่จะไปละความเป็นเราได้เลย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่ง วันนี้มีปิติที่ได้ฟังพระธรรม ซาบซึ้งในความเมตตาของท่านอาจารย์ พอเข้าใจขึ้นก็ยิ่งเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเห็นพระคุณของท่านอาจารย์เช่นกัน และจะค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกต่อไปค่ะ