ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๖
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๖ * *
~ พึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการฟังพระธรรม ด้วยความเคารพ ที่ไม่เผิน แต่ละคำ ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ อย่างมั่นคง ก็จะถึงความลึกซึ้งของแต่ละคำซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ทุกอย่าง ที่กำลังปรากฏ โดยละเอียดยิ่ง เพื่อที่จะให้ผู้ที่ได้ฟัง มีโอกาสได้เข้าใจถูก ได้เห็นถูก ในสิ่งซึ่งแม้มีจริงตลอดทุกภพชาติแต่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงนั้นด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้ การเป็นสาวก คือ การเป็นผู้ฟังพระธรรมแล้วก็ไม่ประมาท ในความลึกซึ้งของพระธรรมด้วย
~ มีโอกาสที่จะทำสิ่งที่ดีได้ ถ้าขณะนั้นมีความเข้าใจถูกต้อง ว่า อะไร ดี สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ไม่โลภไม่ติดข้องมากมายมหาศาล หรือว่า ไม่โกรธ ไม่ขุ่นเคืองหรือแม้ขุ่นใจซึ่งเป็นความละเอียด แล้วก็ไม่มีความไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ นี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทำให้มีความเข้าใจที่ละเอียดมั่นคง ลึกซึ้ง เป็นประโยชน์ และถูกต้องตลอดไป
~ ถูกคือถูก ผิดคือผิด ถ้าเป็นคนที่หวังดี มีความเป็นเพื่อน เราจะให้สิ่งที่ผิดไหม? ถึงใครจะคิดว่าเราจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ แต่ถ้าได้ฟังคำที่วันหนึ่งเขารู้ว่าคำนั้นถูกต้อง เป็นคำที่มีประโยชน์ ก็ย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้นั้น
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ทำไมทรงแสดงธรรม? เพื่อให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เพราะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผิดตรงไหน ไม่มีคำไหนผิดเลย เพราะฉะนั้น ก็ใคร่ครวญไตร่ตรองทุกคำที่ได้ฟัง เพราะเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
~ ถ้าไม่มีการได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ไม่สามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย เพราะว่า การที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่การเห็นพระพุทธรูปหรือว่าอ่านพระไตรปิฎก แต่ว่า ต้องเป็นความเข้าใจสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ๔๕ พรรษาซึ่งแม้ว่าเวลาจะผ่านมา ก็ยังมีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ ลึกซึ้ง ต้องเริ่มด้วยการที่ว่าขณะที่กำลังฟังคำเดียวเข้าใจจริงๆ หรือยัง ขอให้เข้าใจอย่างมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา ทุกอย่างที่เข้าใจผิดว่าเป็นเรา นั้น แท้ที่จริงแล้ว เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
~ อาศัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พึ่งคำสอนของพระองค์ เพื่อจะรู้ว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก
~ ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเข้าใจหรือ? และคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เหมือนกับคำของคนอื่นเลยทั้งสิ้น เพราะทุกคำของพระองค์ เกิดจากพระปัญญาที่ลึกซึ้ง
~ เรารู้ไหมว่า จากการฟังพระธรรมวันนี้ ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจไป ก็จะถึงวันนั้น ที่พอฟังแล้วก็สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม
~ สำนึกตัวเองว่ายังไม่รู้อะไรเลย จึงตั้งต้นที่การฟังพระธรรม ในแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงด้วยความละเอียดรอบคอบจริงๆ ไม่ประมาทแม้ในการฟังพระธรรม คิดธรรมเอาเองตามใจชอบแล้วจะถูกต้องได้อย่างไร
~ ทำความดี ไม่กล้าหรือ? กลัวอะไร? ใครจะคิดอย่างไร เรื่องของเขา แต่เราควรทำดี เพราะเหตุว่า เป็นสิ่งที่ดี เพราะความไม่ดี ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
~ ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นได้เลย ใครทำเห็นในขณะนี้ให้เกิดขึ้นได้บ้าง ใครทำได้ยินในขณะนี้ให้เกิดขึ้นได้บ้าง ใครทำโกรธให้เกิดขึ้นได้บ้าง ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แม้แต่ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกในขณะนี้ ก็ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ คือ การอบรมจากการมีโอกาสได้ฟังคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
~ ใครทำให้เกิดทุกข์? ไม่มีเลย อย่าไปโทษคนอื่น นอกจากกิเลสของตนเอง อยากแล้ว ไม่ได้ในสิ่งที่อยาก ก็โกรธ ใครทำให้เกิดเป็นปลา เกิดเป็นสุนัขสวยๆ ราคาแพงๆ เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นการเกิดด้วยผลของอกุศลกรรม
~ อกุศลทุกประเภท ก็สามารถค่อยๆ เกิดมากขึ้นสะสมไปจนกระทั่งทำร้ายได้ แต่ลืมว่า ความไม่ดีทั้งหมด ก่อนอื่น ไม่ได้ทำร้ายใครเลยทั้งสิ้น แต่ทำร้ายจิตที่ขณะนั้นมีสภาพธรรมที่ไม่ดีเกิดขึ้น
~ ชอบ (ติดข้อง) เพราะไม่รู้ ก็จะนำมาซึ่งความติดข้องพอใจ เมื่อไม่ได้สิ่งที่น่าพอใจก็ขุ่นเคืองใจ โกรธแค้น จนถึงกับฆ่ากันก็มี ความขุ่นใจสามารถที่จะทำร้ายคนอื่นถึงเพียงนั้นได้ เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า เพราะความไม่รู้ ก็นำมาซึ่งสิ่งที่ทำร้าย แต่ก่อนที่จะทำร้ายคนอื่น สิ่งนั้นทำร้ายจิตใจของคนนั้นแล้ว
~ จิตขณะนี้ของแต่ละคน ใครรู้ ตามความเป็นจริง? เพราะว่า สะสม ซับซ้อน มากมาย แล้วแต่ว่า มีปัจจัยเกิดเมื่อไหร่ ก็รู้เมื่อนั้นว่า สภาพธรรมนั้น มี จึงได้เกิดขึ้น เป็นไป ยังไม่ได้ดับทางฝ่ายอกุศลไปเลย ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นผู้ที่มีอกุศลอย่างมากมาย นับไม่ถ้วน ประมาณไม่ได้ ชาตินี้ เยอะไหม? อกุศล ใครรู้ดี? นอกจากตัวเอง แล้วชาติก่อนๆ ล่ะ เท่าไหร่?
~ ที่พึ่งจริงๆ ก็คือปัญญา ความเห็นถูก ซึ่งขณะใดเกิดขึ้น ขณะนั้นไม่มีอกุศลใดๆ เกิดได้เลย และถ้ามีปัญญามาก อกุศลที่สะสมมาทั้งหมดก็สามารถดับไม่เกิดอีกเลย ดีหรือเปล่า พึ่งได้หรือเปล่า หรือจะพึ่งอกุศล ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย อกุศลไม่ใช่ที่พึ่ง
~ ความไม่รู้มหาศาลมากมายแค่ไหน แล้วก็ไม่ใช่เฉพาะวันนี้ด้วย แสนโกฏิกัปป์ประมาณไม่ได้เลย แล้วจะไม่มากมายมหาศาลได้อย่างไร แล้วถ้าจะให้หมดไปเร็ว ลองคิดดู จะเป็นไปได้อย่างไร แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทำไม่ได้ ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ คิดดูก็แล้วกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ประกอบด้วยพระปัญญา เห็นคุณของปัญญาที่จะทำให้คนอื่นได้เข้าใจ แทนที่จะตรัสรู้เพียงพระองค์เดียว บำเพ็ญบารมีมากมายมหาศาลเกินใครที่จะทำได้หมด เพื่อให้เราได้ฟังคำจริงของพระองค์
~ ธรรม (สิ่งที่มีจริง) ที่เป็นอกุศล สะสมบ่อยๆ ไปไหนดี? มีทางไปอยู่แล้ว ใครก็ไปดึงกลับมาไม่ได้ เพราะจะเป็นอย่างนั้น จะยังไม่ให้อภัย ยังไม่เมตตา ยังไม่ลืมเรื่องเก่าๆ เก็บไว้ทำไม ใช่ไหม? มีประโยชน์อะไร? เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ถ้าเข้าใจจริงๆ ประโยชน์ทุกขั้น เป็นคนดีขึ้น เพราะเข้าใจธรรม
~ ตลอดชีวิต อะไรประเสริฐที่สุด? เข้าใจพระธรรม เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะทุกสิ่งที่คิดว่าสำคัญหรือว่าดี ที่ชอบมากๆ ก็หมดแล้ว แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย และโอกาสที่จะได้เข้าใจพระธรรม ไม่นาน ใช้คำว่า ไม่นาน เพราะชีวิตมนุษย์ ไม่นาน แล้วก็มนุษย์แต่ละคน ก็ไม่มีการที่จะรู้ล่วงหน้าเลยว่าจะจากความเป็นบุคคลนี้เมื่อไหร่ ลองคิดถึงโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมอีกไม่นาน ก็จะทำให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาทแล้วก็เห็นประโยชน์ของการสะสมความเห็นถูก
~ สัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นของของตน ความโกรธของท่านจะให้ผลแก่ตัวท่าน ความโกรธของเขา เขาก็ได้รับผลไป ทำไมถึงจะต้องไปโกรธเขาด้วยล่ะ ในเมื่อเขาก็ได้รับผลของความโกรธของเขาอยู่แล้ว
~ สัตว์ที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้ ที่ยังเห็นๆ กันอยู่ ยังเหลืออยู่ในโลกนี้ด้วยกัน ยังไม่ได้ไปที่อื่น ก็ควรที่จะเมตตาเอ็นดูกัน ชั่วระหว่างที่ยังเหลืออยู่ด้วยกันในโลกนี้ เพราะคนที่ตายไปแล้วก็จากไปๆ อยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ส่วนที่ยังเหลืออยู่ด้วยกัน ก็ควรจะเอ็นดูกัน
~ อีกไม่นาน ก็อยู่คนละโลกกับเขาแล้ว ไม่ทราบว่าจะช้าหรือเร็ว เพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรจะไปผูกโกรธเอาไว้เลย
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๕
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง และยินดียิ่งในกุศลจิตของ อ.คำปั่น
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านค่ะ...
มีโอกาสที่จะทำสิ่งที่ดีได้ ถ้าขณะนั้นมีความเข้าใจถูกต้อง ว่า อะไร ดี สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ไม่โลภไม่ติดข้องมากมายมหาศาล หรือว่า ไม่โกรธ ไม่ขุ่นเคืองหรือแม้ขุ่นใจซึ่งเป็นความละเอียด แล้วก็ไม่มีความไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ นี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
สัตว์ที่ยังเหลืออยู่ในโลกนี้ ที่ยังเห็นๆ กันอยู่ ยังเหลืออยู่ในโลกนี้ด้วยกัน ยังไม่ได้ไปที่อื่น ก็ควรที่จะเมตตาเอ็นดูกัน ชั่วระหว่างที่ยังเหลืออยู่ด้วยกันในโลกนี้ เพราะคนที่ตายไปแล้วก็จากไปๆ อยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นส่วนที่ยังเหลืออยู่ด้วยกัน ก็ควรจะเอ็นดูกัน
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ถ้าไม่มีการได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ไม่สามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย เพราะว่า การที่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่การเห็นพระพุทธรูปหรือว่าอ่านพระไตรปิฎก แต่ว่า ต้องเป็นความเข้าใจสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ๔๕ พรรษาซึ่งแม้ว่าเวลาจะผ่านมา ก็ยังมีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ