เวลาที่มีความโกรธเกิดขึ้น ก็อย่าไปทำอย่างอื่นเลย ให้ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป
ถอดคำบรรยายธรรม
...ขอให้สติระลึกลักษณะของนามและรูปนะคะ แม้แต่เพียงชั่วขณะนิดๆ หน่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ ทุกๆ วัน...
ผู้ฟัง : เมื่อกี้นี้ท่านอาจารย์อธิบายว่า เมื่อเวลาเกิดความโกรธขึ้น หรือว่ามีโทสะขึ้น ก็อย่าได้หาวิธีการอย่างอื่นเลยที่จะระงับโทสะนั้น ให้เจริญสติเถิด การเจริญสตินั้นน่ะ ถ้าจะเพียงแต่ระลึกว่า ลักษณะนี้ก็เป็นแต่เพียงธรรมารมณ์ซึ่งเกิดขึ้นทางใจเท่านั้นพอไหมครับ
สุ. ท่านผู้ฟังกล่าวว่า เวลาที่มีความโกรธเกิดขึ้นนะคะ ก็อย่าไปทำอย่างอื่นเลย ให้ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปนี่ค่ะ สำหรับผู้ที่เข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน และเป็นผู้ที่รู้กิจของการเจริญสติ
แต่ว่าจะห้ามใครก็ห้ามไม่ได้ ใช่ไหมคะ ความรู้ความเข้าใจของแต่ละบุคคลนั้นก็มีหลายขั้น ถ้าบุคคลนั้นไม่เข้าใจเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน ก็พยายามที่จะทำให้จิตสงบ แทนที่จะให้เป็นอกุศล ก็ให้จิตเป็นกุศล ให้สงบเสีย สำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน ก็มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้แต่ละบุคคลนี่ค่ะ มีกาย มีวาจา มีความดำริ มีการตรึกไปต่างๆ กันตามการสะสมของแต่ละบุคคล
แล้วแต่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผู้นั้น ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นแต่เพียงนามธรรมที่สะสมมา ทำให้รูปธรรมเป็นอย่างนั้น กระทำกิจอย่างนั้น หรือว่านามธรรมชนิดนั้นเกิดขึ้น
แต่สำหรับผู้ที่เข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐานนี่นะคะ ท่านก็มีกิจที่จะเจริญสติ ใช่ไหมคะ เนืองๆ บ่อยๆ เรื่อยไป ตลอดชีวิต ตลอดชาตินี้ ชาติต่อไป จนกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม นี่เป็นกิจของผู้เจริญสติ
แต่ว่าท่านจะเจริญสติได้มากน้อยสักเท่าไหร่ในวันหนึ่งๆ ก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ใช่ไหมคะ ทั้งๆ ที่เข้าใจเรื่องของการเจริญสติแล้ว แต่ว่าหลงลืมสติก็ยังมีมาก
หรือว่าในขณะที่กำลังที่สติระลึกรู้ลักษณะของนามรูป เพียงชั่วครู่นะคะ ความจดจ้องก็อาจจะแทรกเข้ามา หรือว่าการที่จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ก็อาจจะเกิดขึ้น เพราะคิดว่าถ้าทำอย่างนั้นแล้ว ก็จะรู้อริยสัจจ์เร็วขึ้น ใช่ไหมคะ
ความเห็นผิดนี่ค่ะ ก็มีโอกาสที่จะแทรกเข้ามาบังได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมีความเข้าใจตรงถูกต้องจริงๆ ว่า การที่จะละอกุศลธรรม ความโกรธที่กำลังเกิดปรากฏอย่างแรงกล้านั้นได้เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาดไม่เกิดอีกเลย) มีหนทางเดียวคือ มรรคมีองค์ ๘ สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมในขณะนั้น นี่ค่ะคือผู้ที่เจริญสติด้วยความที่ มีความรู้ชัดว่าวิธีอื่นไม่สามารถที่จะละกิเลสได้เป็นสมุจเฉท
แต่ถ้ายังขวนขวายหาช่องทางอื่นอยู่ ในขณะนั้นก็เป็นตัวตน เป็นสักกายทิฏฐิ ไม่ใช่เป็นการเจริญสติ
ถ้าเป็นการเจริญสติแล้วล่ะก็ สติระลึกตรงลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏในขณะนั้น
กว่าปัญญาจะประจักษ์แน่นอนมั่นคงนะคะ ว่าไม่มีอะไรเลยที่จะละกิเลสได้เป็นสมุจเฉท นอกจากสติระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น
แม้ว่าในขณะนั้นจะระลึกนะคะ แต่ว่ายังไม่รู้ชัด แต่การระลึกนิดเดียวนั่นน่ะค่ะบ่อยๆ ก็จะทำให้การรู้ชัดเร็วขึ้น แทนที่จะไม่ระลึก แล้วก็ใช้วิธีอื่น
และในขณะที่กำลังระลึกรู้ลักษณะของจิตใจที่หยาบกระด้าง เป็นลักษณะของความโกรธนะคะ ก็รู้ว่าลักษณะนั้นเป็นสภาพของนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม ทีแรกก็อาจจะเกิดความคิดแทรกซ้อนขึ้นมา ใช่ไหมคะ ว่าที่กำลังโกรธนี่ค่ะเป็นนามธรรม
แต่ว่าผู้เจริญสติก็ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด สำเหนียกรู้ว่า ความคิดไม่ใช่สภาพของความหยาบกระด้างของจิต คนละลักษณะ
เพราะฉะนั้น เรื่องของการเจริญสติจึงต้องเป็นเรื่องที่ เจริญมากๆ ไม่ใช่เจริญนิดเดียว เพราะว่าความคิดกับลักษณะที่หยาบกระด้างก็จะต้องแยก แล้วก็รู้ชัดว่าไม่ใช่สภาพธรรมประเภทเดียวกันนะคะ ความคิดก็เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ความหยาบกระด้างของจิตก็เป็นนามธรรมอีกชนิดหนึ่ง
แล้วสติก็ระลึกรู้ลักษณะของนามของรูปที่เป็นปกติ ขณะไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ ขอให้สติเกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น เพื่อวันหนึ่งปัญญาจะได้รู้ชัด
ถ้าไม่ระลึกขณะนิดขณะหน่อยอย่างนี้นะคะ ปัญญาก็รู้ชัดไม่ได้ ไม่มีวันที่ปัญญาจะรู้ชัดเลย
แล้วท่านที่รู้ชัดนี่ค่ะ ท่านก็ประจักษ์แล้วว่า การที่ท่านจะรู้ชัดได้ก็เพราะสติเกิดขึ้น ระลึกเนืองๆ บ่อยๆ
เพราะฉะนั้น ก็ขอให้สติระลึกลักษณะของนามและรูปนะคะ แม้แต่เพียงชั่วขณะนิดๆ หน่อยๆ เล็กๆ น้อยๆ ทุกๆ วัน
กราบเท้าบูชาคุณ
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
🙇♀️🙇♀️🙇♀️
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
🙇♀️🙇♀️🙇♀️