ไม่ใช่เราที่เข้าใจ_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันอาทิตย์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
" ไม่ใช่เราที่เข้าใจ "
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
~ รู้จักจิตไหม? เป็นการเตือนให้เคารพอย่างยิ่งในความลึกซึ้งของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะเพียงคำว่าตรัสรู้ คนไม่รู้จักว่าตรัสรู้อะไร
~ เดี๋ยวนี้มีจิต ไม่มีใครรู้จักจิตเลย ถ้าใครบอกว่าเขารู้จักจิต ไม่จริง เพราะเขาไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าจิตคืออะไร คนที่ไปเที่ยวหาจิตในที่ต่างๆ ไม่รู้จักจิตเลย เพราะฉะนั้น หาไม่พบ
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปิดเผยให้รู้จักสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้
~ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ รู้ยากมาก เพราะเหตุว่า มีจิตนานแสนนานมาแล้ว แต่ว่าไม่มีใครรู้ความจริง ว่า จิตคืออะไร
~ มีเราหรือมีจิต? ต้องไม่ลืม เป็นสิ่งที่มีมานานแสนนาน แต่ไม่เคยรู้มานานแสนนานแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม ทั้งจิต ทั้งเจตสิก ทั้งรูป ละเอียดอย่างยิ่งโดยประการทั้งปวงถึงที่สุด
~ ความจริงของจิตเดี๋ยวนี้ เป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้เลย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ความจริงของจิตโดยประการทั้งปวงถึงที่สุด ไม่เหลืออะไรอีกที่จะไม่รู้ เพราะฉะนั้น ต้องไปหาจิตที่อื่น ต้องไปทำอะไรให้รู้จิต ได้ไหม?
~ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่มีที่เป็นจิตเดี๋ยวนี้ ไม่มีประโยชน์
~ กำลังมีจิตทุกขณะ แต่ไม่รู้ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ จะค่อยๆ ทำให้เริ่มเข้าใจจิตที่กำลังมี เพื่อที่จะไม่ยึดถือจิตว่าเป็นเราหรือเป็นตัวตนหรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
~ ทำไม จิตไม่ใช่เรา? จิตเกิดและดับด้วยเหตุปัจจัย ก็เป็นคำตอบที่ถูกต้อง แต่ต้องชัดเจนว่า จิตอะไรเดี๋ยวนี้ ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย
~ ความไม่รู้มากแค่ไหน กำลังเห็น ไม่เคยรู้ว่าไม่ใช่เรา
~ จิตเห็น ต้องมีปัจจัยที่จะทำให้เกิดขึ้นเห็น เป็นจิตประเภทที่เห็น
~ จิตเกิดขึ้นเห็น เพราะปัจจัย และเกิดดับ สัตว์โลกไม่รู้อะไรเลยทั้งหมด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ถึงที่สุด จึงทรงแสดงธรรมว่าไม่ใช่เรา เห็นไม่ใช่เรา
~ ทุกอย่างที่มีจริงๆ ปรากฏว่ามีจริงๆ เป็นธรรม เพราะธรรม คือ สิ่งที่มีจริง
~ ต้องมั่นคง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรม หมายความว่า ตรัสรู้สิ่งที่มีจริงทั้งหมดตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น
~ ก่อนอื่นต้องมั่นคง ต้องไม่ลืมเลย ตั้งต้นด้วยคำว่าธรรม คือ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด แต่ละหนึ่งๆ ทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรม
~ ศึกษาธรรม เรียนธรรม เพื่อรู้จักธรรมซึ่งมีทั้งวันตลอดวัน ถ้าธรรม ไม่มี ไม่ปรากฏ จะเข้าใจธรรม ได้ไหม?
~ เข้าใจธรรมเท่าไหร่ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะฉะนั้น เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจถูกต้องว่าพระองค์รู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตทุกขณะ
~ ก่อนหน้านี้ไม่รู้จักธรรมเลย เท่ากับว่าไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่เมื่อเริ่มรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีจริง เขาก็เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ เห็นมีจริง แต่ไม่มีใครรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกว่าจะได้ฟังว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเห็นเป็นสภาพรู้เป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นเห็น ฟังแล้วไม่ใช่ว่าจะรู้เห็นทันที แต่รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เห็นที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ว่า เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเห็น
~ ไม่มีได้ยิน แล้วเกิดมีได้ยิน แล้วได้ยินก็ดับไป เป็นคำอธิบายของคำว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
~ สังขารธรรมทั้งหลาย ไม่เที่ยง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่เพียงให้จำแล้วไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเป็นสภาพที่ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คำนี้แสดงว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ นี่คือ ความหมายของตรัสรู้ ความจริงนี้เป็นความจริงถึงที่สุด จึงเป็นอริยสัจจธรรม รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระองค์ตรัสรู้ความจริงนี้ เริ่มเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มบูชาคุณที่พระองค์ทรงแสดงความจริงให้ทุกคนเริ่มเข้าใจถูกต้อง
~ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ ใครสามารถรู้ความจริงนี้ได้ไหม? ความจริงซึ่งเป็นความจริงอย่างนี้ตลอดแสนโกฏิกัปป์ ก็ไม่รู้ แต่มีผู้ที่ตรัสรู้และทรงพระมหากรุณาให้คนอื่นได้ฟังแล้วได้เข้าใจและสามารถที่จะรู้ได้ด้วย
~ การรู้ความจริง ไม่ใช่ไปที่ไหนเลยทั้งสิ้น และไม่ใช่รู้อย่างอื่น นอกจากสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ มั่นคงไหม? ความจริงเดี๋ยวนี้ สามารถรู้ได้ไหม? เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง เป็นสัจจบารมี ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ใช่เราที่เข้าใจ แต่ปัญญาเจตสิกหรือสภาพที่เข้าใจ เป็นธรรมอย่างหนึ่ง
~ ต้องอดทนไหมที่จะเข้าใจถูกต้องว่า ไม่ใช่เราไปพยามทำให้เกิดปัญญา
~ ต้องไม่ลืมว่า ไม่มีเรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดแล้วก็ดับ
~ ต้องศึกษาให้เข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นธรรมอย่างละเอียด
~ ต้องเป็นคนตรง ที่รู้ว่า การจะเข้าใจธรรม ต้องขณะที่ธรรมนั้นๆ กำลังปรากฏ
~ เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เดี๋ยวนี้ เห็นคุณอาช่า เห็นคุณอาคิล แสดงว่า ไม่รู้ความจริงและเข้าใจว่ามีตัวตนมั่นคงแค่ไหนในสังสารวัฏฏ์
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงให้เข้าใจความจริงถึงที่สุด ขณะที่เห็น อะไรเกิดดับ? ความจริง คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเห็น ก็ดับ และสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ดับ ไม่มีอะไรยั่งยืนเลย
~ ทั้งวัน ไม่ว่าจะโกรธ ไม่ว่าจะชอบ ไม่ว่าจะสุข ไม่ว่าจะทุกข์ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เข้าใจคำนี้มั่นคงขึ้น เพื่อจะรู้ว่าไม่ใช่เรา
~ ตลอดวัน ทุกวัน อะไรเกิดขึ้น สิ่งนั้นเกิดเพราะเหตุปัจจัย ใช่ไหม? ไม่มีอะไรที่เกิดได้เองโดยไม่มีปัจจัย ใช่ไหม?
~ ต้องละเอียดอย่างยิ่ง ต้องตรงอย่างยิ่ง จึงจะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ได้
~ วิธีเดียวที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพอย่างยิ่ง บูชาคุณของพระองค์ ก็ต่อเมื่อได้รู้ความจริงตามที่พระองค์ได้ตรัสแล้วจากการที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ คนที่ไม่เคยฟังธรรมมาเลย แต่ได้ยินคำว่าสติ สามารถที่จะรู้ความจริงไหมว่าสติคืออะไร? (เป็นไปไม่ได้เลย) เพราะฉะนั้น จึงเข้าใจถูกต้อง ที่ว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เกิดความเข้าใจถูกต้องตามลำดับ
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ...
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดียิ่งในกุศลวิริยะของอาจารย์คำปั่น ครับ
...จะค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นทีละน้อยอย่างมั่นคง ต้องไม่ทิ้งการฟังพระธรรม และพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบทีละคำ จริงๆ เลยนะครับ....
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณ อ.ทุกท่านรวมถึงผู้ร่วมสนทนา และขออนุโมทนาค่ะ