ธาตุเลว ธาตุปานกลาง ธาตุประณีต

 
chatchai.k
วันที่  17 ก.พ. 2565
หมายเลข  42119
อ่าน  587

ทุกอย่างเป็นธาตุ ข้อสำคัญที่สุดก็คือไม่ใช่เรา ถ้าได้ศึกษาพระธรรม จะเห็นว่าเป็นธรรม เป็นธาตุ และเป็นขันธ์ เรากำลังพูดถึงเรื่องความจริง สัจธรรม ความจริงของขันธ์นั้นๆ ขณะใดที่โกรธ ถ้าไม่ได้ฟังเรื่อง ธาตุเลว กลายเป็นเรา และคนอื่นไม่ดี จึงได้เกิด ธาตุเลว แต่ไม่รู้ว่า ขณะนั้นที่กำลังไม่พอใจ กำลังขุ่นใจ เป็นความไม่ดีของคนอื่นทั้งนั้นเลย ที่ทำให้เราไม่ชอบ แต่ขณะนั้นไม่ได้รู้จักความประพฤติเป็นไปของขันธ์ตั้งแต่แสนโกฏิกัปป์ จนถึง ณ ขณะที่กำลังไม่พอใจว่า เพราะเหตุว่ามีความประพฤติเป็นไปโดยเป็น ธาตุเลว ในวันหนึ่งๆ ธาตุเลว มากสักเท่าไร กว่าจะถึง ธาตุปานกลาง ซึ่งความจริงนอกจากอกุศลธรรม ธรรมที่ไม่ใช่โลกุตตรธรรมทั้งหมดเป็น ธาตุปานกลาง

แม้แต่กุศลระดับอื่น ก็เป็นเพียงขยะจาก ธาตุเลว มาสู่ความเป็น ธาตุปานกลาง แต่ ธาตุเลว ก็ยังมีมากมาย การศึกษาธรรมก็ให้รู้จักธรรมะ เพื่อละความเป็นตัวตน เพราะเหตุว่าปัญญาเหมือนแสงสว่างที่เข้าใจถูก เห็นถูก ขณะที่กำลังโกรธ ขุ่นเคืองใคร คนนั้นไม่ดี ความจริงธาตุที่กำลังโกรธนั้นเป็น ธาตุเลว ถ้าไม่ใช่ปัญญา ไม่สามารถรู้ได้เลย

เพราะฉะนั้น มี ๒ อย่าง ความมืดกับความสว่าง อวิชชาไม่สามารถเห็นถูกว่า ธรรมใดดี ธรรมใดปานกลาง หรือธรรมใดเลว แต่ถ้าปัญญาเกิดขึ้นก็สามารถเข้าใจถูกต้องในสภาพธรรมนั้นๆ

ในขณะที่ธาตุเลวเกิดขึ้น เป็นเรื่องของธาตุเลวทั้งนั้นเลย เหมือนคนตาบอดตีรันฟันแทงกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ชอบคนนี้ ชอบคนนั้น ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ตาบอดสนิท แต่ก็เต็มไปด้วยธาตุเลว จนกว่าจะได้ฟังธรรมแล้วสามารถสะสมกุศลอื่นๆ เกิดขึ้นเมื่อไร ก็เป็นเพียงแค่ธาตุปานกลาง ไม่ประณีต แต่ก็สามารถจะอบรมจนกระทั่งสามารถถึงธาตุที่ประณีตได้ แต่ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่เรา ขณะนี้เห็นเป็นเห็น หลังจากเห็นแล้ว ความประพฤติเป็นไปของขันธ์ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้ขณะนี้เป็นขันธ์อะไรเกิด หรือว่าเป็นธาตุระดับไหนเกิด

พระธรรมที่ทรงแสดงเป็นธรรมเตชะ เตชะ คือ เดชที่สามารถเผาสิ่งที่เป็นข้าศึก ไม่มีคนเลย แต่เป็นธาตุ ถ้าได้ฟังธรรมและเข้าใจขึ้น ก็จะเห็นได้จริงว่า พระธรรมที่ทรงแสดงสามารถเป็นปัจจัยให้เกิดธรรมที่เผาธรรมที่เป็นข้าศึกได้

เวลานี้ไม่เป็นข้าศึกกับโลภะ เคยเป็นข้าศึกกับโทสะหรือไม่ โทสะเกิดก็เป็นไปตามโทสะ เป็นข้าศึกกับโทสะหรือไม่ เป็นข้าศึกกับโมหะหรือไม่ ความไม่รู้ ขณะนี้สภาพธรรมปรากฏ แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม การฟังธรรม ต้องเป็นผู้ละเอียด เป็นผู้ที่ตรงด้วยความเคารพ คือ ฟังแล้วมีจิตน้อมไป หรือเป็นจิตที่อ่อนโยนที่จะเห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้ฟัง เพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟังทั้งหมด เพื่อประพฤติปฏิบัติตาม พระธรรมที่จะประพฤติปฏิบัติตามนั้นไม่ง่ายเลย เพราะเคยอยู่ในความมืด รบราฆ่าฟันในความมืดมามากมาย หรือแม้ทุกวันนี้ก็ยังมีโลภะ โทสะ โมหะเกิด แล้วแต่จะเป็นอะไร เวลาที่เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น ก็สามารถเพิ่มกำลังเผาสิ่งที่เป็นข้าศึกได้ แต่ต้องรู้ก่อนว่า อะไรเป็นข้าศึก ข้าศึกไม่เคยนำสิ่งที่ดีมาให้เลย เป็นศัตรูทำร้ายทำลาย

เพราะฉะนั้น เวลาที่เราไม่ชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใด ใครคนหนึ่งคนใด เห็นข้าศึกหรือยัง เป็นคนที่เราไม่ชอบ หรือว่าเป็นจิตที่เป็นข้าศึก ถ้าเป็นอวิชชา ความมืด ไม่สามารถเห็นขันธ์ที่เกิดแล้วในขณะนั้นว่าเป็นขันธ์เลว ธรรมไม่ได้ให้เราไปเปลี่ยนแปลงคนอื่น แต่ปัญญาเกิดขึ้น ก็เห็นความจริง สามารถอบรมเจริญธรรมปานกลางก่อน จากเลวจะไปถึงธรรมประณีตเลยทันที เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

ธรรมเลว คืออกุศลธรรม ธรรมประณีต คือ โลกุตตรธรรม นอกจากนั้นเป็นธรรมปานกลางทั้งหมด กำลังเห็นเป็นธรรมอะไร เราอยู่กับธรรมเลวและธรรมปานกลาง จนกว่าจะมีกำลังสามารถเผาสิ่งที่เป็นข้าศึกได้

เห็นเป็นธรรมปานกลาง เห็นแล้วกุศลจิตเกิด กุศลจิตที่เกิดเป็นธรรมปานกลาง เห็นแล้วไม่ชอบสิ่งที่กำลังปรากฏ เดือดร้อนขุ่นใจ เป็นธรรมเลว ที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา แต่ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็คือเป็นธาตุ หรือเป็นธรรมนั่นเอง

เพราะฉะนั้น ถ้าฟังแล้ว จากที่เคยมีความประพฤติเป็นไปที่เป็นธรรมเลว มีการวิรัติทุจริต ไม่ทำสิ่งที่เป็นอกุศลกรรม มีการสงเคราะห์ช่วยเหลือ มีความเมตตามากขึ้น ขณะนั้นเป็นธรรมอะไร ธรรมปานกลาง แต่ว่าศีลเป็นจรณเดช ความประพฤติเป็นไปที่สามารถเป็นไปทางกาย ทางวาจาที่ดีขึ้น

ทุกคนก่อนฟังธรรม มีกาย วาจาที่ดีหรือไม่ ดีก็มี ไม่ดีก็มี แต่จะรู้ได้โดยอัธยาศัย คนนี้เวลาพูด มักจะพูดอย่างไร เสียงมักจะเป็นอย่างไร มีการดุ มีการใช้บุคคลอื่น ขณะนั้นเป็นธรรมอะไร เป็นธรรมเลว แต่ถ้าเข้าใจขึ้นก็เห็นโทษของธรรมเลว เลวอยู่ตลอดตั้งแต่เกิดมา กาย วาจา ใจ เลวหมด เลวมานานแล้ว แล้วยังอยู่ในความเลวต่อไป ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถค่อยๆ จากธรรมเลว มีธรรมปานกลางเพิ่มขึ้น ทางกาย ทางวาจา

เพราะฉะนั้น ศีล ความประพฤติทางกาย ทางวาจาที่ละเว้นทุจริต เป็นวิรตี เป็นวิรัติ กับศีลที่ประพฤติเป็นไปเพื่อประโยชน์ อันนั้นก็มี ๒ อย่าง ทั้งฝ่ายที่เว้นและฝ่ายที่ทำ เป็นจรณเดช มีกำลัง เปลี่ยนแปลงจากการที่เป็นคนดุ เป็นคนร้าย มาเป็นคนที่คิดถึงคนอื่น และไม่ทำร้ายคนอื่น แม้เพียงโกรธ ไม่โกรธได้ ก็แสดงให้เห็นว่า เป็นลำดับขั้นของธรรมที่เกิดจากการเข้าใจธรรม แต่ทั้งหมดนี้มีอยู่ในพระไตรปิฎก เวลาที่อ่านพระไตรปิฎก ไม่ใช่เพียงผ่านคำ ผ่านชื่อ แต่ต้องรู้ด้วยว่า ทุกคำแสดงถึงสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้จริงๆ สืบต่อมาตั้งแต่แสนโกฏิกัปป์จนถึงขณะนี้ ก็คือความเป็นไปของขันธ์นั่นเอง ไม่มีความเป็นเราหรือความเป็นใครเลย

ต่อไปนี้จะมี “จรณเดช” ไหม ถ้ามีปัญญาที่เห็นว่า เป็นธรรมเลว ไม่ควรมีให้มากขึ้นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ มีแต่ธรรมเลว ก็จะมีจรณเดช คือ เรื่องของกาย วาจา ซึ่งมีความประพฤติเป็นไปในทางที่มีกำลังสามารถละทุจริต แม้วาจาทุจริต ทางกาย ทางวาจา

เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ความประพฤติทางกาย ทางวาจา บางคนระงับได้ ใช่ไหม แต่ใจเป็นอย่างไร ใจก็ยังเป็นธรรมเลว เพราะฉะนั้นจึงมีคุณเดช หมายความถึงความสงบของจิต แม้จะไม่มีการกระทำทางกาย ทางวาจา แต่ขณะนั้นจิตใจที่เป็นอกุศลยังเป็นธรรมเลว แต่ถ้าขณะนั้นเป็นกุศล ระหว่างโทสะกับเมตตา เมตตาไม่ได้ทำร้ายเลยสักขณะเดียว แต่โทสะแม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นศัตรู ซึ่งคุณเดชสามารถเผา คือไม่ให้เกิดขึ้นในขณะนั้นได้ สิ่งที่สามารถเผาสิ่งที่เป็นข้าศึก ก็คือธรรมฝ่ายดีตามลำดับขั้น ตั้งแต่ศีลจนกระทั่งถึงความสงบของจิต พอไหม ไม่มีทางเลย เพราะเหตุว่ายังมีเชื้อไฟที่จะเกิดขึ้น

ด้วยเหตุนี้เข้าใจ “เตชะ” หรือ เดชขั้นต่อไป คือ ปัญญาเดช ความเห็นถูกต้อง แต่ที่จะเป็นปัญญาเดชได้ คือ วิปัสสนาญาณ


ที่มา ...

พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 473

พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 474


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ