ขณะนี้สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏเป็นธาตุ
ทุกอย่างเป็นธาตุ ข้อสำคัญที่สุดก็คือไม่ใช่ให้เราไปคิดถึงเพียงคำ แต่หมายความว่า ขณะนี้สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏเป็นธาตุ นี่คือการฟังแต่ละเรื่องให้เข้าใจชัดเจนว่า ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่ไม่มี แต่กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ
เพราะฉะนั้น พอได้ยินคำว่า “ธาตุ” ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย สิ่งที่มีที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นธาตุ เพื่อที่จะได้ฟังจนกระทั่งสามารถเข้าใจได้ว่า ทุกอย่าง ไม่เว้น ใช่ไหมคะ เป็นธาตุ เพราะฉะนั้นธาตุมีมากมาย นับไม่ถ้วน จะกล่าวถึงจำนวนอะไรก็ได้หรือเปล่า ในเมื่อมากมายนับไม่ถ้วน อย่างเช่นถ้าจะกล่าวถึงธาตุ ๑๙ โสภณสาธารณเจตสิกมีเท่าไร มี ๑๙ ก็กล่าวถึงอันนี้ก็ได้ คือจะกล่าวถึงอะไรก็ไม่พ้นจากธาตุ เพียงแต่ว่าขณะนั้นถ้าจะพูดด้วยจำนวนอะไร หมายความถึงอะไร เท่านั้นเอง แต่ที่ทรงประมวลก็เพราะเหตุว่าด้วยพระสัพพัญญุตญาณก็ทรงแสดงว่า ไม่ว่าธาตุจะมีหลากหลายมากมายทั้งอดีต ทั้งปัจจุบัน และต่อไปอีกในอนาคต แต่ประมวลเป็น ๑๘ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ๑๕ พอที่จะเห็นได้ เข้าใจได้ ส่วนที่เหลือก็เป็นมโนธาตุ ๑ ได้แก่จิตที่สามารถรู้อารมณ์ได้ทั้ง ๕ ทวาร ได้แก่ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ต่างกับจักขุวิญญาณ เพราะเหตุว่าจักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็น รู้อารมณ์เดียว แต่ปัญจทวาราวัชชนจิตสามารถรู้อารมณ์ที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้ทั้ง ๕ เพราะฉะนั้นธาตุที่สามารถรู้อารมณ์ได้ทั้ง ๕ ทวาร ก็มี ๓ คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต ๑ ซึ่งเกิดก่อน เป็นวิถีจิตแรกที่เกิด ถ้าวิถีจิตนี้ไม่เกิด อะไรๆ ก็จะเกิดไม่ได้ ที่จะติดตามมาเป็นเรื่องเป็นราว เป็นความคิดนึกใดๆ ก็เป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่เห็น หรือได้ยิน ยังเกิดไม่ได้เลย ถ้าปัญจทวาราวัชชนจิตไม่เกิดก่อน
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า เป็นแดนเกิดของธรรมที่จะเกิดได้ ทั้งๆ ที่มีสะสมอยู่ในจิต ตั้งแต่ปฏิสนธิและในชาติก่อนๆ ที่ประมวลมา ก็ยังต้องอาศัยสำหรับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ต้องมีปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดก่อน
ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดที่ไหน เปลี่ยนชาติไม่ได้ เป็นชาติอะไร เป็นชาติกิริยา เป็นภูมิอะไร กามาวจรภูมิ รูปพรหมเห็นไหม เห็น มีปัญจทวาราวัชชนจิตไหม มี ปัญจทวาราวัชชนจิตของรูปพรหมเป็นภูมิอะไร เป็นกามภูมิ
นี่ก็คือมีความเข้าใจมั่นคงในความเป็นธาตุด้วย ถึงจะกล่าวโดยอย่างไร ก็พ้นจากความเป็นธาตุไม่ได้ เพราะฉะนั้น จิตเป็นมโนธาตุ และจิตที่เป็นมโนธาตุอีก ๒ ก็คือ สัมปฏิจฉันนจิต กุศลวิบาก ๑ อกุศลวิบาก ๑ ก็ประมวลมาให้เห็นว่า ทางตาจะมีวิถีจิต จะมีจิตที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างไร และสำหรับส่วนที่เหลือก็คือ จิตที่สามารถรู้อารมณ์นอกจากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นมโนวิญญาณธาตุที่เหลือทั้งหมด
จิตทั้งหมดมี ๘๙ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ พวกนี้เป็นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ สัมปฏิจฉันนะ ๒ ปัญจทวาราวัชชนะ ๑ รวมเป็น ๑๓ ที่เหลือคือ มโนวิญญาณธาตุ การฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น ขณะนี้สามารถเข้าใจถึงจิตอื่นๆ ที่ไม่ปรากฏหรือเปล่า ก็เป็นไปไม่ได้ แต่สามารถรู้ว่า เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่า ความไม่รู้มีมาก และสามารถค่อยๆ เข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง โดยความเป็นธาตุ แม้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ คือ เห็น ก็เป็นจักขุวิญญาณธาตุ จักขุปสาทก็เป็นจักขุธาตุ ไม่ใช่จักขุวิญญาณธาตุ ส่วนรูปที่ปรากฏในขณะนี้ก็เป็นรูปธาตุ แล้วมีเราอยู่ที่ไหน ไม่มีเลย ขณะที่เห็นเกิดขึ้น มีอิริยาบถนั่งนอนเดี๋ยวนี้อยู่หรือเปล่า ไม่มี เพียงแต่จำ
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า จำในสิ่งที่ไม่ได้ปรากฏ ที่ไม่ได้ปรากฏ เพราะเหตุว่าในขณะนั้นแม้มีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้น ก็ดับแล้วอย่างรวดเร็ว
เพราะฉะนั้น ย่นย่อจากโลกใหญ่มาถึงตัว ๑ คน แต่ละคน จนกระทั่งถึง ๑ ขณะจิต แล้วมีเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นั่นคือการเริ่มเห็นความไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวตน เป็นชั่วขณะที่ธรรมมีปัจจัยเกิดขึ้นปรากฏ แล้วหมดไป ไม่กลับมาอีกเลย
เพราะฉะนั้นเมื่อกี้นี้ ๑๕ ธาตุ กับอีก ๓ เป็น ๑๘
๑๕ ธาตุ ทางตา ๓ หู ๓ จมูก ๓ ลิ้น ๓ กาย ๓ ถ้าลืมก็คือ ขณะที่เห็น เป็นจักขุวิญญาณธาตุ ต้องมีจักขุปสาทธาตุ และต้องมีวัณณธาตุด้วย ทางหู ขณะที่กำลังได้ยิน ก็ต้องมีโสตวิญญาณธาตุ แล้วก็มีโสตธาตุ คือ โสตปสาทรูป แล้วก็มีสัททธาตุ ชั่วขณะที่ปรากฏแล้วก็หมดไป
นี่คือเมื่อไรรู้อย่างนี้ เมื่อนั้นถึงจะรู้ว่า ไม่มีเราสักขณะเดียว เป็นแต่เพียงทั้งหลายซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน ๕ ทวาร ก็ ๑๕ ธาตุ แล้วก็มีมโนธาตุที่สามารถรู้ได้ทั้ง ๕ ทาง ๕ อารมณ์ อีก ๓ แล้วก็มีมโนวิญญาณธาตุ คือจิตที่เหลือนอกจากนี้ ที่เอาออกจาก ๘๙ เสีย ๑๓ แล้วก็มีธรรมธาตุ คือ ธาตุที่เหลือทั้งหมด เท่านี้เอง ก็คือประมวลให้เห็นว่า ถึงอย่างไรๆ ก็ไม่พ้น ส่วนความเข้าใจของเรา เมื่อเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธาตุ ที่จะสอบความเข้าใจก็คือว่า ถ้าจะกล่าวถึงเพียงเท่านี้ธาตุได้ไหม อกุศลจิต ๑๒ และอกุศลเจตสิก ๑๔
รับฟัง และ อ่านรายละเอียด