อนุสยยมกที่ ๗ - อรรถกถาอนุสยยมก
[เล่มที่ 83] พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒
พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๕
ยมก ภาคที่ ๑ ตอนที่ ๒
อนุสยยมกที่ ๗
อรรถกถาอนุสยยมก 747
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 83]
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 747
อรรถกถา
อนุสยยมก
บัดนี้ เป็นการวรรณนาเนื้อความแห่งอนุสยยมกเหมือนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรวบรวมเอกเทศแห่งกุศลธรรมเป็นต้นทรงแสดงไว้ ในมูลยมกนั้นนั่นแหละ ด้วยสามารถแห่งการหยั่งเห็นได้แล้วทรงแสดง ไว้ในลำดับแห่งสังขารยมก. บัณฑิตพึงทราบการกำหนดบาลี ในอนุสยยมกก่อน เพราะว่า ในอนุสยยมกนี้พระองค์ทรงทำบาลีเทศนาไว้อีก อย่างหนึ่ง ไม่เหมือนทำเทศนาในขันธยมก เป็นต้น.
ถามว่า ทำเทศนาอย่างไร?
ตอบว่า ในเบื้องต้นทำเทศนาแสดงไว้ ๓ วาระ คือ ปริจเฉทวาระ วาระว่าด้วยการกำหนด, ปริจฉินนุทเทสวาระ วาระว่าด้วย อุทเทสที่กำหนดไว้แล้ว, อุปปัตติฏฐานวาระ วาระว่าด้วยที่เป็นที่เกิดขึ้น ก่อน, เพื่อจะให้ศึกษาอนุสัยทั้งหลาย โดยอาการ ๓ อย่าง คือ โดย ปริจเฉท โดยอุทเทส และโดยอุปปัตติฏฐาน ต่อจากนั้นก็ทรงประกอบ อนุสัยทั้งหลายทำยมกเทศนา ด้วยอำนาจแห่งมหาวาระ ๗.
ในอนุสยยมกนั้น คำว่า " สตฺต อนุสยา " นี้ ชื่อว่า ปริจเฉทวาระ เพราะความที่อนุสัยทั้งหลาย พระองค์กำหนดจำนวน แสดงไว้ว่า " อนุสัยนี้ มี ๗ เท่านั้น ไม่เกินกว่านี้ ไม่ต่ำกว่านี้ " ดังนี้.
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 748
คำว่า " กามราคานุสโย ฯเปฯ อวิชฺชานุสยโย " นี้ ชื่อว่า ปริจฉินนุทเทสวาระ เพราะความที่วาระนี้ทรงยกเพียงแต่ชื่อแห่งธรรม ที่กำหนดไว้แล้วโดยปริจเฉทวาระนั้น ขึ้นแสดงว่า " ชื่อว่า ธรรม เหล่านี้ เป็นธรรมชนิดนั้น " ดังนี้.
ในข้อนั้น คำว่า กามราคานุสโย อนุเสติ เอตฺถ ฯเปฯอวิชฺชานุสโย อนุเสติ นี้ ชื่อว่า อุปปัตติฏฐานวาระ เพราะความที่ วาระนี้ ทรงแสดงที่เป็นที่เกิดขึ้นแห่งธรรมเหล่านั้นนั่นแหละ อย่างนี้ ว่า " อนุสัยเหล่านี้ ย่อมนอนเนื่อง ในวาระทั้งหลายชื่อนี้ " ดังนี้.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประกอบอนุสัยทั้งหลายแล้วทำยมก เทศนา ด้วยอำนาจแห่งมหาวาระ ๗ เหล่าใด มหาวาระเหล่านั้น มีชื่อ ดังนี้ คือ.-
๑. อนุสยวาระ (วาระว่าด้วยอนุสัย)
๒. สานุสยวาระ (วาระว่าด้วยผู้มีอนุสัย)
๓. ปชหนวาระ (วาระว่าด้วยการละ) ๔. ปริญญาวาระ (วาระว่าด้วยการกำหนดรู้)
๕. ปหีนวาระ (วาระว่าด้วยการละได้แล้ว)
๖. อุปปัชชนวาระ (วาระว่าด้วยการเกิด)
๗. ธาตุวาระ (วาระว่าด้วยธาตุ)
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 749
อธิบายอนุสยวาระ
บรรดามหาวาระเหล่านั้น วาระที่ ๑ ชื่อว่า อนุสยวาระ นั้น มี ๒ นัย คือ ด้วยสามารถแห่งอนุโลมนัย และปฏิโลมนัย. ในนัย ทั้ง ๒ นั้น อนุโลมนัยมีอันตรวาระ ๓ วาระ ด้วยอำนาจแห่งบุคคล และภูมิ คือ. -
ยสฺส อนุเสติ แปลว่า ... กำลังนอนเนื่องแก่บุคคลใด (ปุคคลวาระ)
ยตฺถ อนุเสติ แปลว่า ... กำลังนอนเนื่องในภูมิใด (โอกาสวาระ)
ยสฺส ยตฺถานุเสติ แปลว่า ... กำลังนอนเนื่องแก่บุคคลใดใน ภูมิใด (ปุคคโลกาสวาระ)
ในอันตรวาระ ๓ เหล่านั้น ในปุคคลวาระมี ๒๑ ยมก คือ มี กามราคานุสัยเป็นมูล ๖ ยมก โดยพระบาลีว่า
"ยสฺส กามราคานุสโย อนุเสติ ตสฺส ปฏิฆานุสโย อนุเสติ
ยสฺส วาปน ปฏิฆานุสโย อนุเสติ ตสฺส กามราคานุสโย อนุเสติฯ
ยสฺส กามราคานุสโย อนุเสติ ตสฺส มานานุสโย ... ทิฏานุสโย ... วิจิกิจฉานุสโย ... ภวราคานุสโย ... อวิชาชานุสโย อนุเสติ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 750
ยสฺส วาปน อวิชฺชานุสโย อนุเสติ ตสฺส กามราคานุสโย อนุเสติ "
ที่มีปฏิฆานุสัยเป็นมูล ๕ ยมก มีมานานุสัยเป็นมูล ๔ ยมก มีทิฏฐานุสัยเป็นมูล ๓ ยมก มีวิจิกิจฉานุสัยเป็นมูล ๒ ยมก มีภวราคานุสัยเป็นมูล ๑ ยมก ด้วยสามารถแห่งการนับแล้วไม่นับอีก วาระแม้ ทั้งหมดที่มีมูล ๑ จึงรวมเป็น ๒๑ ยมก ด้วยประการฉะนี้.
ปุคคลวาระอื่นอีก ๑๕ ยมก คือ ที่มีมูล ๒ (ทุกมูล) อันมา แล้วในพระบาลีอย่างนี้ว่า ยสฺส กามราคานุสโย จ ปฏิฆานุสโย จ อนุเสนฺติ ดังนี้ มี ๕ ยมก ที่มีมูล ๓ (ติกมูล) มี ๔ ยมก, ที่มีมูล ๔ (จตุกกมูล) มี ๓ ยมก ที่มีมูล ๕ (ปัญจกมูล) มี ๒ ยมก. ที่มีมูล ๖ (ฉักกมูล) มี ๑ ยมก. รวมในปุคคลวาระเป็น ๓๖ ยมก คือ ยมกที่มีมูล ๑ มี ๒๑ ยมก ที่มีมูล ๒ เป็นต้นอีก ๑๕ ยมก (๒๑ + ๑๕=๓๖) ดังนี้.
ในโอกาสวาระก็เหมือนกัน คือ มี ๓๖ ในปุคคโลกาสวาระก็ เหมือนกัน คือมี ๓๖ เพราะฉะนั้น อันตรวาระแม้ทั้งหมดในอนุโลมนัย จึงเป็น ๑๐๘ ยมก ในปฏิโลมนัยก็เหมือนกัน (มี ๑๐๘) ดังนั้นใน มหาวาระแรก คืออนุสยวาระ จึงรวมเป็น ๒๑๖ ยมก. บัณฑิตพึงทราบ คำปุจฉาต้องคูณด้วย ๒ แต่ยมกนั้น เนื้อความคือคำวิสัชนาคูณด้วย ๒ จากคำปุจฉานั้น. ก็ในอนุสยวาระนี้ ฉันใด พึงทราบการนับยมกหนึ่งๆ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 751
แห่งมหาวาระทั้ง ๕ แม้เหล่านั้น สานุสยวาระ ปชหนวาระ ปริญญาวาระ ปหีนวาระ และ อุปปัชชนวาระ ว่า คำปุจฉาต้องคูณด้วย ๒ แต่ละยมก เนื้อความคือคำวิสัชนาต้องคูณด้วย ๒ จากคำปุจฉานั้น ฉันนั้น. แต่ว่าในมหาวาระ ๕ นี้ มีเนื้อความที่แปลกไปจาก ๓ วาระ แรก คือ ในโอกาสวาระ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสคำว่า " ยตฺถ ยตฺถ " แต่ทรงทำเทศนาด้วยพระดำรัสว่า ยโต ยโต ดังนี้. คำที่ เหลือเป็นเช่นเดียวกันนั่นแหละ.
ก็ในมหาวาระทั้งหมด วาระสุดท้าย ชื่อว่า ธาตุวาระ นั้น ดำรงอยู่ ๒ อย่าง คือ ปุจฉาวาระ และ วิสัชนาวาระ ถามว่า เพราะ เหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสในคำปุจฉาวาระแห่งธาตุวาระนั้นว่า เมื่อสัตว์เข้าถึงกามธาตุ แล้วเข้าถึงกามธาตุ ดังนี้ แต่ไม่ตรัสว่า เมื่อสัตว์เข้าถึงกามธาตุ จุติแล้วจากกามธาตุ ดังนี้ ตอบว่า เมื่อ ว่าโดยอรรถแล้วไม่แปลกกัน เพราะคำถามแม้ทั้ง ๒ นี้ มีอรรถอย่าง เดียวกันนั่นแหละ ฉะนั้น พระองค์จึงตรัสคำปุจฉายมกหนึ่งๆ นั่นแหละ แต่ยมกหนึ่งๆ โดยลำดับในที่สุดแห่งคำถามทั้งหมดแล้วจึงทำคำวิสัชนาไว้ โดยนัยเป็นต้นว่า เมื่อสัตว์จุติจากกามธาตุแล้วเข้าถึงกามธาตุ อนุ- สัย ๗ ย่อมนอนเนื่องแก่ใครบ้าง ดังนี้ ในบรรดาคำถามเหล่านั้น อนุโลมปุจฉามีกามธาตุเป็นมูละ ๙ คือ สุทธิกปุจฉา ๖ ยมก โดย พระบาลีว่า เมื่อสัตว์จุติจากกามธาตุ เข้าถึงกามธาตุ ... เข้าถึงรูป
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 752
ธาตุ ... เข้าถึงอรูปธาตุ ... เข้าถึง น กามธาตุ ... เข้าถึง น รูป ธาตุ เข้าถึง น อรูปธาตุ ดังนี้ และมิสสกปุจฉาอีก ๓ คือ เมื่อสัตว์ จุติจากกามธาตุแล้ว เข้าถึง น กามธาตุ น อรูปธาตุ ... เข้าถึง น รูปธาตุ น อรูปธาตุ ... เข้าถึง นกามธาตุ น รูปธาตุ ดังนี้.
อนุโลมปุจฉาที่มีรูปธาตุเป็นมูละก็มี ๙ ที่มีอรูปธาตุเป็นมูละก็มี ๙ เหมือนกัน รวมเป็นอนุโลมปุจฉา ๒๗ ปฏิโลมปุจฉาที่มีนกามธาตุ นรูปธาตุ และนอรูปธาตุ เป็นมูละก็มี ๒๗ นั่นแหละ ๒๗ รวมคำถาม ทั้งหมด คือ อนุโลมปุจฉา ๒๗ ปฏิโลมปุจฉา ๒๗ และคำถามที่เป็น ทุกมูลอีก ๒๗ ดังพระบาลีว่า น กามธาตุยา น อรูปธาตุยา น รูปธาตุยา น อรูปธาตุยา น กามธาตุยา น รูปธาตุยา ดังนี้ จึงเป็นคำปุจฉา ๑๘. บัณฑิตพึงทำการวิสัชนาปัญหาในที่นี้ด้วยสามารถ แห่งคำถามเหล่านั้น. ข้อนี้เป็นการกำหนดบาลีในธาตุวาระ และพึง ทราบการกำหนดบาลี ในอนุสยยมกแม้ทั้งสิ้นด้วยประการฉะนี้ก่อน.
ก็คำใดๆ ในอนุสยยมกที่มีเนื้อความอันยาก พึงทราบการวินิจฉัย กถาในที่นั้นๆ ตั้งแต่ต้น.
ถามว่า คำว่า อนุสยา ชื่อว่า อนุสัยทั้งหลาย เพราะอรรถว่า อย่างไร?
ตอบว่า ชื่อว่า อนุสัย เพราะอรรถว่า นอนเนื่อง.
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 753
ถามว่า อนุสัยนั้น ชื่อว่า มีอรรถว่านอนเนื่อง อย่างไร?
ตอบว่า ชื่ออย่างนั้น เพราะอรรถว่า ละไม่ได้.
จริงอยู่ กิเลสเหล่านี้ ชื่อว่า ย่อมนอนเนื่องในสันดาน ของสัตว์ เพราะอรรถว่าไม่ได้ ฉะนั้น อาจารย์ทั้งหลายจึงเจริญ กิเลสเหล่านั้นว่า อนุสัย.
คำว่า " อนุเสนฺติ " แปลว่า ย่อมนอนเนื่อง อธิบายว่า ได้ เหตุอันสมควรแล้วจึงเกิดขึ้น อนึ่ง กิเลสที่มีอาการละไม่ได้ ชื่อว่า อนุสยัฏฐะ อรรถว่านอนเนื่อง พึงมี ก็ไม่ควรจะกล่าวว่า กิเลสมี อาการละไม่ได้นี้ ย่อมเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นควรจะกล่าวว่า " อนุสัย ทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้น " ดังนี้ คำว่า อนุสยา อุปฺปชฺชนฺติ นี้ ในที่ นี้เป็นคำรับรองว่า อนุสัย คือ กิเลสที่มีอาการอันละไม่ได้. ก็คำว่า อนุสโย พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมตรัสเรียกกิเลสที่มีกำลัง เพราะอรรถ ว่าละไม่ได้.
บัณฑิตพึงทราบว่า อนุสัยนี้ เห็นจิตตสัมปยุต เป็นไปกับ ด้วยอารมณ์ (รู้อารมณ์ได้) เป็นสเหตุกะเพราะอรรถว่ามีปัจจัย ปรุงแต่ง และเป็นอกุศลอย่างเดียว เป็นอดีตบ้าง เป็นอนาคต บ้าง เป็นปัจจุบันบ้าง เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวว่า อนุสัยย่อม เกิดขึ้น
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 754
ในที่นี้ พึงทราบคำวินิจฉัยกถานี้ เป็นประมาณ.-
ในอภิธรรม ก่อนท่านปฏิเสธวาทะทั้งหมดไว้ในกถาวัตถุว่า อนุสัยทั้งหลายเป็นอัพยากตะ เป็นอเหตุกะ เป็นจิตตวิปปยุต ดังนี้ (โปรดดูกถาวัตถุ)
ในปฏิสัมภิทามรรค ท่านได้กล่าว กระทำคำถามไว้ว่า บุคคล ย่อมละกิเลสทั้งหลายที่เป็นปัจจุบันเท่านั้น คือว่า บุคคลย่อมละ อนุสัยคือกิเลสที่มีกำลังได้ เพราะความที่อนุสัยเหล่านั้นเป็นปัจ- จุบันมีอยู่.
ในธรรมสังคหะ ท่านกล่าวไว้ในบทภาชนีแห่งโมหะว่า ความ เกิดขึ้นแห่งอวิชชานุสัยร่วมกับอกุศลจิตว่า อวิชชานุสัย อวิชชาปริยุฏ ฐาน อวิชชาลังคิโมหะและอกุศลมูลนี้ มีอยู่ในสมัยใด โมหะก็ มีอยู่ในสมัยนั้น ดังนี้.
ในอนุสยยมกนี้นั่นแหละ ท่านกล่าวไว้ใน อุปปัชชนวาระ แห่งมหาวาระ ๗ วาระใดวาระหนึ่งว่า กามราคานุสัย กำลังเกิดแก่ บุคคลใด ปฏิฆานุสัยก็กำลังเกิดแก่บุคคลนั้น ใช่ไหม เป็นต้น เพราะฉะนั้น คำใดที่ท่านอธิบายว่า คำว่า นอนเนื่อง คือได้เหตุอัน สมควรแล้วจึงเกิดขึ้นนี้ คำนั้น พึงทราบว่า ท่านกล่าวไว้ดีแล้วด้วย สามารถแห่งแบบแผนนี้เป็นปริมาณ. แม้คำที่กล่าวว่า อนุสัย เป็น
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 755
จิตตสัมปยุต เป็นไปกับด้วยอารมณ์ (คือรู้อารมณ์ได้) แม้คำนั้นท่าน ก็กล่าวดีแล้วนั่นแหละ ดังนั้น พึงถึงความตกลงในที่นี้ว่า ชื่อว่า อนุสัย นั้น เป็นธรรมสำเร็จแล้ว เป็นจิตตสัมปยุต และเป็นอกุศล ด้วย ประการฉะนี้. และพึงทราบวิเคราะห์ในคำทั้งหลายซึ่งมีคำว่า กามราคานุสัย เป็นต้น ว่ากามราคะนั้นด้วย เป็นอนุสัยเพราะอรรถว่า ละไม่ได้ด้วย ฉะนั้น จึงชื่อว่า กามราคานุสัย แม้ในบทที่เหลือก็นัย นี้แหละ.
บัดนี้ เพื่อประกาศ อุปปัตติฏฐานวาระ คือ วาระว่าด้วยที่เป็น ที่เกิดขึ้นแห่งอนุสัย แห่งอนุสัยเหล่านั้น ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ตตฺถ กามราคานุสโย อนุเสติ เป็นต้น.
คำว่า ตตฺถ กามธาตุยา ทฺวีสุ เวทนาสุ ได้แก่ กามราคานุสัยเกิด ในเวทนาทั้ง ๒ คือ สุขเวทนา และอุเบกขาเวทนาใน กามาวจรภูมิ.๑
คำว่า เอตฺถ กามราคานุสโย อนุเสติ ได้แก่ กามราคานุสัย ย่อมนอนเนื่องในเวทนาทั้ง ๒ เหล่านี้. อธิบายว่า กามราคานุสัยนี้ ย่อมนอนเนื่องด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ ด้วยสามารถแห่งการเกิดร่วม
๑. คำว่า กามาวจรภูมิ และกามธาตุ มีอรรถอย่างเดียวกัน
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 756
และด้วยสามารถแห่งอารมณ์ในสุขเวทนาและอุเบกขาเวทนาแห่งอกุศล ทั้งหลาย. ก็อนุสัยนั้นเป็นธรรมเกิดพร้อมกับสุขเวทนาและอุเบกขา เวทนาแห่งอกุศลบ้าง ย่อมทำเวทนาทั้ง ๒ ให้เป็นอารมณ์เกิดขึ้นบ้าง และทำเวทนาในกามาวจรกุศล วิบาก กิริยาที่เหลือให้เป็นอารมณ์อย่าง นั้นแหละเกิดขึ้นบ้าง อนึ่งอนุสัยนั้น เมื่อนอนเนื่องในเวทนาที่ ๒ ในกามธาตุ ย่อมนอนเนื่องแม้ในสัญญา สังขารและวิญญาณที่สัมปยุต ด้วยเวทนาทั้ง ๒ นั้น. แต่ว่าอนุสัยที่นอนเนื่องอยู่ในเวทนาทั้งสอง ไม่ อาจเพื่อจะเกิดร่วมกับปัญญาเป็นต้นที่สัมปยุตด้วยเวทนานั้น หรือว่าไม่ กระทำปัญญาเป็นที่สัมปยุตด้วยเวทนานั้นแล้วเกิดขึ้น.
ก็ครั้นเมื่อความเป็นอย่างนั้นมีอยู่ เวทนาทั้งสองจึงเป็นประธาน ในสัมปยุตธรรมที่เหลือ เพราะความเกิดขึ้นแห่งกามราคานุสัยเพราะ อรรถว่าชอบใจโดยความเป็นสุขที่มีความยินดีและความสงบ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า กามราคานุสัย ย่อมนอนเนื่องใน เวทนาทั้งสองเหล่านี้ เป็นต้น. จริงอยู่ สุขเวทนาในเวไนยสัตว์ที่ จะรู้ธรรม เพื่อความรู้ธรรมด้วยสามารถแห่งสภาวะที่โอฬาร คือ อย่างหยาบ.
อนึ่ง กามราคานุสัยนี้ เมื่อนอนเนื่องด้วยสามารถแห่งอารมณ์ ย่อมนอนเนื่องในเวทนาทั้งสอง และในธรรมที่สัมปยุตด้วยเวทนาทั้งสอง เพียงเท่านั้นก็หาไม่ ย่อมนอนเนื่องแม้ในรูปเป็นต้นที่ปรารถนาด้วย
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 757
ทีเดียว แม้คำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสไว้ในวิภังคปกรณ์ว่า รูป อันใด เป็นที่รัก (ปิยรูปํ) เป็นที่ชอบใจ (สาตรูปํ) มีอยู่ใน โลก กามราคานุสัยของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมนอนเนื่องในปิยรูปและ สาตรูปนี้ ดังนี้ มิใช่หรือ แม้ในคัมภีร์ยมกนี้ ก็ตรัสไว้ในปฏิโลมนัย แห่งอนุสยวาระว่า กามราคานุสัย ย่อมไม่นอนเนื่องในภูมิใด ทิฏฐานุสัย ก็ย่อมไม่นอนเนื่องในภูมินั้น ใช่ไหม ดังนี้. ก็กามราคานุสัยนั้น ย่อมไม่นอนเนื่องในทุกขเวทนา ในรูปธาตุ อรูปธาตุ เหล่านี้ แต่ทิฏฐานุสัย ย่อมไม่นอนเนื่องในที่นั้นก็หาไม่ ในที่เป็นที่ ไม่เนื่องกับกามราคานุสัยก็ไม่นอนเนื่อง ทิฏฐานุสัยก็ไม่นอนเนื่อง.
จริงอยู่ ในข้อนี้ กามราคานุสัย เว้นทุกขเวทนาพร้อมทั้งสัมปยุตตธรรม เว้นรูปาวจรธรรมที่เป็นไปในภูมิ และเว้นโลกุตธรรม ๙ เพราะได้ตรัสไว้ว่า กามราคานุสัย ไม่นอนเนื่องในทุกขเวทนา และ ในรูปธาตุเป็นต้น จึงเป็นอันว่า ย่อมนอนเนื่องในรูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะที่เหลือ.
ถามว่า เพราะเหตุไร จึงไม่ตรัสถ้อยคำนั้นในปกรณ์นี้?
ตอบว่า เพราะความที่สภาวะเหล่านั้นเป็นของละเอียด.
จริงอยู่ พระองค์ไม่ตรัสว่า กามราคานุสัย ย่อมนอน เนื่องในรูปเหล่านี้ เป็นต้น เพราะความที่เวทนาทั้งสองเท่านั้นเป็น ประธาน คือเป็นอารมณ์ชัด และเพราะความที่รูปเหล่านี้เป็นอารมณ์
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 758
ละเอียด คือปรากฏไม่มาก โดยนัยที่ได้กล่าวไว้แล้วในหนหลัง แต่ว่า เมื่อว่าโดยอรรถแล้ว ย่อมเป็นได้ ฉะนั้น พึงทราบว่า กามราคานุสัย ย่อมนอนเนื่องแม้ในรูปทั้งหลายเหล่านั้นนั่นแหละด้วย.
จริงอยู่ พระศาสดา ย่อมไม่ตรัสถึงธรรมทั้งปวงในที่ทั้งปวง เว้นแต่ธรรมใดย่อมหยั่งเห็นได้ด้วยอำนาจแห่งสัตว์ที่พระองค์ทรงแนะ นำเพื่อให้รู้ธรรม ก็ย่อมตรัสธรรมนั้นทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ตรัส ในที่บางแห่ง. จริงอย่างนั้นแหละคำใดที่พระองค์ตรัสปุจฉาว่า ทิฏฐานุสัย ย่อมนอนเนื่องในที่ไหน ดังนี้ ย่อมได้คำวิสัชนาอย่างนี้ว่า ทิฏฐานุสัย ย่อมนอนเนื่องในธรรมทั้งหลายที่นับเนื่องด้วย สักกายะทั้งปวง ดังนี้ ธรรมทั้งหมดนั้นพระองค์ตรัสไว้แล้ว.
ในที่อื่นอีก คำใดย่อมได้คำวิสัชนาอย่างนี้ว่า วิจิกิจฉานุสัย มานานุสัย และทิฏฐานุสัย ย่อมนอนเนื่องในรูปธาตุและอรูปธาตุนี้ และวิจิกิจฉานุสัย กามราคานุสัย มานานุสัย ทิฏฐานุสัย ย่อมนอน เนื่องในเวทนาทั้ง ๒ ในกามธาตุ และวิจิกิจฉานุสัย ปฏิฆานุสัย ทิฏฐานุสัย อวิชชานุสัย ย่อมนอนเนื่องในทุกขเวทนานี้ ดังนี้ พระองค์ มิได้ตรัสคำนั้นทั้งหมด ตรัสเพียงเวทนา ๓ กับรูปธาตุ อรูปธาตุเท่านั้น. ก็อรูปธรรมที่สัมปยุตด้วยเวทนา และรูปทั้งหมด มิได้ตรัสไว้. มิได้ ตรัสไว้แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้นทิฏฐานุสัย ก็ย่อมนอนเนื่องในที่นั้นนั่น แหละ ข้อนี้ฉันใดในที่นี้มิได้ตรัสอิฏฐารมณ์มีรูปเป็นต้นไว้ ถึงอย่างนั้น
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 759
กามราคานุสัย ก็ย่อมนอนเนื่องในรูปที่เป็นอิฏฐารมณ์ ฉันนั้นนั่นแหละ บัณฑิตพึงทราบที่เป็นที่เกิดขึ้นแห่งกามราคานุสัย ดังพรรณนามาฉะนี้ ก่อน.
บัณฑิตพึงทราบที่เป็นที่เกิดขึ้นแห่งปฏิฆานุสัยโดยพระบาลีว่า ทุกฺขาย เวทนาย เป็นต้น ว่า ได้แก่เวทนาทั้ง ๓ คือ โทมนัสสเวทนา ๒ และทุกขเวทนาที่สัมปยุตด้วยกายวิญญาณ ๑ นี้ ชื่อว่า อนุสยนัฏฐาน คือที่เป็นที่เกิดขึ้นแห่งปฏิฆานุสัย. ก็ปฏิฆานุสัยนั้น ย่อมนอนเนื่องในโทมนัสสเวทนา ด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ ด้วยสามารถ แห่งการเกิดขึ้นพร้อมกัน และด้วยสามารถแห่งอารมณ์ด้วย และย่อม นอนเนื่องในทุกขเวทนาที่เหลือด้วยสามารถแห่งอารมณ์. ก็ปฏิฆานุสัย นั้น เมื่อนอนเนื่องในเวทนาเหล่านั้น ย่อมนอนเนื่องแม้ในสัญญา สังขาร และวิญญาณเป็นต้นที่สัมปยุตด้วยเวทนาเหล่านั้น. จริงอยู่ ปฏิฆานุสัยนี้เกิดร่วมกับเวทนาใด ก็เป็นสภาพเกิดร่วมกับธรรมทั้งหลาย แม้มีสัญญาเป็นต้นที่สัมปยุตด้วยเวทนานั้นนั่นแหละ หรือว่า ย่อม กระทำเวทนาใดให้เป็นอารมณ์ ก็ย่อมทำแม้ธรรมทั้งหลายมีสัญญา เป็นต้นที่สัมปยุตด้วยเวทนานั้นเหมือนกัน. ก็ครั้นเมื่อความเป็นอย่าง นั้นแม้มีอยู่ ทุกขเวทนาเทียวจึงเป็นใหญ่ในสัมปยุตธรรมที่เหลือ เพราะ ความเกิดขึ้นแห่งปฏิฆานุสัยโดยอรรถว่าไม่ชอบใจและเพราะความที่ตน เสวยทุกข์ในธรรมที่ไม่ชอบใจ ฉะนั้น พระองค์จึงตรัสคำนี้ว่า ปฏิฆานุสัย ย่อมนอนเนื่องในทุกขเวทนานี้ ดังนี้ จริงอยู่ ความสุข
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 760
คือสุขเวทนา ในเผ่าพันธุ์แห่งสัตว์ที่พระองค์ทรงแนะนำในการรู้ธรรม เพื่อความรู้ธรรมด้วยสามารถแห่งสภาวะที่เป็นโอฬาร มีอยู่.
อนึ่ง ปฏิฆานุสัย เมื่อนอนเนื่องด้วยสามารถ แห่งอารมณ์ ย่อม ไม่นอนเนื่องในทุกขเวทนา และในสัมปยุตตธรรมแห่งเวทนาเท่านั้น ย่อมนอนเนื่องแม้ในธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้น ที่ไม่น่าปรารถนาด้วย. ดังคำที่ตรัสไว้ในคัมภีร์วิภังคปกรณ์ว่า รูปอันใดอันไม่เป็นที่รัก ไม่ เป็นที่ชอบใจมีอยู่ในโลก ปฏิฆานุสัยของสัตว์ทั้งหลาย ย่อม นอนเนื่องในรูปที่ไม่น่ารัก ไม่น่าชอบใจนี้ ดังนี้ มิใช่หรือ. แม้ ในปกรณ์แห่งยมกนี้ ในปฏิโลมนัยแห่งอนุสยวาระก็ตรัสไว้ว่า ปฏิฆานุสัย ย่อมไม่นอนเนื่องในเวทนาทั้งสองในกามธาตุนี้ แต่กามราคานุสัย ย่อมไม่นอนเนื่องในที่นั้นก็หาไม่ ในรูปธาตุ อรูปธาตุ ที่ไม่เนื่องกันนี้ ปฏิฆานุสัยก็ไม่นอนเนื่อง กามราคานุสัยก็ไม่ นอนเนื่อง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิบายไว้ว่า ปฏิฆานุสัย ย่อม นอนเนื่องในธรรมทั้งหลายที่เหลือมีรูปเป็นต้น โดยเว้นเวทนา ๒ คือ สุข อุเบกขา พร้อมทั้งสัมปยุตตธรรม เว้นรูปาวจรธรรมที่เป็นไปใน ภูมิ และเว้นโลกุตตรธรรม ๙ เพราะความที่เทศนานั้น พระองค์ ตรัสว่า ปฏิฆานุสัย ย่อมไม่นอนเนื่องในกามาวจรเวทนาทั้ง ๒ และ ในรูปธาตุเป็นต้น ดังนี้.
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 761
ถามว่า เพราะเหตุไร จึงไม่ตรัสไว้?
ตอบว่า เพราะเป็นสภาวะละเอียด.
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ปฏิฆานุสัย ย่อมนอน เนื่องแก่ธรรมเหล่านี้ เพราะความที่ทุกขเวทนาเป็นใหญ่โดยนัยที่ กล่าวแล้วนั่นแหละ และในธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้น เพราะ ความเป็นธรรมละเอียด ดังนี้ แต่เมื่อว่าโดยอรรถแล้วย่อมเป็นได้ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ปฏิฆานุสัย ย่อมนอนเนื่องแม้ในธรรม ทั้งหลายมีรูปเป็นต้นเหล่านั้นนั่นแหละ ดังนี้.
ถามว่า เวทนาทั้งสองนอกนี้ เป็นอิฏฐารมณ์ของปฏิฆะ หรือ ไม่?
ตอบว่า เวทนาทั้งสองนอกนี้ ไม่เป็นอารมณ์ของปฏิฆะ ก็ หาไม่.
จริงอยู่ โทมนัสของผู้มีฌานเสื่อมแล้ว ย่อมเกิดเพราะ ปรารภเวทนาเหล่านั้นอันเป็นไปกับด้วยสัมปยุตตธรรม ด้วย สามารถแท่งความเดือดร้อน คือโทมนัส ย่อมเกิดเพราะตามระลึก ถึงความเสื่อมของผู้ได้อิฏฐารมณ์บ้าง ย่อมเกิดเพราะตามระลึกถึง สิ่งที่ไม่ได้ของผู้ไม่ได้อิฏฐารมณ์บ้าง ก็ข้อนี้เป็นเพียงโทมนัส เท่านั้น ไม่เป็นปฏิฆานุสัย เพราะปฏิฆานุสัยนั้น เป็นกิเลสที่มีกำลัง เกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งการกระทบในอนิฏฐารมณ์ ฉะนั้น ปฏิฆะแม้
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 762
เกิดร่วมกับโทมนัสในที่นี้ ย่อมไม่เป็นปฏิฆานุสัย เพราะไม่ทำปฏิฆกิจ ของตน ย่อมถึงความเป็นอัพโพหาริก คือ ถึงการกล่าวอ้างไม่ได้.
พยาบาทแม้เกิดร่วมกับเจตนาในปาณาติบาต ย่อมไม่ชื่อว่า เป็น มโนกรรม ฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้น ไม่เป็นปฏิฆานุสัย คือว่าย่อมถึงการ กล่าวอ้างไม่ได้ สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลย่อมละปฏิฆะ คือ โทมนัสเห็นปานนี้ โดยหมายเอาโทมนัสอันอาศัยเนกขัมมะอัน เป็นอิฏฐารมณ์บางอย่างโดยสภาวะนั้น ปฏิฆานุสัย ก็ย่อมไม่ นอนเนื่องในที่นั้น ดังนี้. บัณฑิตพึงทราบที่เป็นที่เกิดขึ้นแห่ง ปฏิฆานุสัย ดังพรรณนามาฉะนี้.
ก็ที่เป็นที่นอนเนื่องแห่ง มานานุสัย โดยพระบาลีว่า กามธาตุยา ทฺวีสุ เวทนาสุ เป็นต้น มี ๓ คือ กามาวจรเวทนา ๒ รูปธาตุและอรูปธาตุ ๑. บัณฑิตพึงทราบความนอนเนื่องแห่งมานานุสัย อันเป็นสหชาตะเหมือนกามราคานุสัยในอกุศลเวทนาทั้งหลาย. ก็มานานุสัยย่อมนอนเนื่องในกามาวจรแม้ทั้งหมด พร้อมทั้งสัมปยุตตธรรมใน สุขทุกข์ อทุกขมสุขเวทนาทั้งหลาย และในรูปธาตุทั้งหลายด้วยสามารถ แห่งอารมณ์. ในปฏิโลมนัยแห่งอนุสยวาระ มานานุสัยนี้ เว้นทุกขเวทนา และโลกุตตรธรรม ๙ ย่อมนอนเนื่องในรูปและอรูปธาตุที่เหลือ เท่านั้น เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า กามราคานุสัย ย่อมไม่ นอนเนื่อง มานานุสัยก็ย่อมไม่นอนเนื่องในธรรมที่เนื่องด้วย
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 763
ทุกขเวทนานี้ ดังนี้. พึงทราบที่เป็นที่เกิดขึ้นแห่งมานานุสัยดัง พรรณนามาฉะนี้.
ก็ ทิฏฐานุสัย และ วิจิกิจฉานุสัย ย่อมไม่นอนเนื่องใน โลกุตตรธรรมอย่างเดียวเท่านั้น แท้จริงยังนอนเนื่องแม้ในธรรมทั้งปวง ทีเดียวที่เป็นไปกับภูมิ ๓ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ทิฏฐานุสัยและวิจิกิจฉานุสัย ย่อมนอนเนื่องในธรรมทั้งหลายที่นับเนื่อง ด้วยสักกายะทั้งปวง ดังนี้. ก็ในบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพสกฺกายปริยาปนฺเนสุ ได้แก่ ในธรรมทั้งปวงที่นับเนื่องด้วยสักกายะ เพราะอรรถว่า อาศัยสังสารวัฏฏ์ ดังนี้. ในข้อนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ทิฏฐานุสัยและวิจิกิจฉานุสัยเหล่านี้ ย่อมนอนเนื่องในจิตตุปบาท ๕ ดวง คือ โลภสัมปยุตตจิต ๔ วิจิกิจฉาสัมปยุตตจิต ๑ ด้วยสามารถแห่งการ นอนเนื่องที่เป็นสหชาตะ ก็หรือว่า ธรรมที่ ๒ นั้น ย่อมนอนเนื่อง ด้วยสามารถแห่งการนอนเนื่องในอารมณ์ในปวัตติกาล เพราะปรารภ จิตตุปบาท ๕ เหล่านี้ หรือธรรมอื่นอันเป็นไปกับภูมิ ๓ ดังนี้. บัณฑิต พึงทราบที่เป็นที่เกิดขึ้นแห่งทิฏฐานุสัยและวิจิกิจฉานุสัย ดังพรรณนา มาฉะนี้.
ก็ ภวราคานุสัย บัณฑิตพึงกล่าวว่า ย่อมนอนเนื่องใน เวทนา ๒ ในกามธาตุ เพราะความเกิดขึ้นในทิฏฐิวิปปยุตตจิต ๔ ดวง แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ภวราคานุสัยนั้น เมื่อเกิดกับเวทนาทั้งปวงใน กามธาตุ ย่อมได้เฉพาะในรูปาวจร อรูปาวจรเท่านั้น และย่อมไม่ทำ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 764
ธรรมแม้อันหนึ่งซึ่งเนื่องด้วยกามธาตุให้เป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภวราคานุสัย ย่อมนอนเนื่องในรูปธาตุ และอรูปธาตุนี้ โดยกำหนดไว้ด้วยสามารถแห่งการนอนเนื่องใน อารมณ์ ดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ราคะนี้ มี ๒ ด้วยสามารถแห่ง กามราคะและภวราคะ.
ใน ๒ อย่างนั้น กามราคะ ท่านกล่าวว่า ย่อมนอนเนื่อง ในเวทนาทั้ง ๒ แห่งกามธาตุ ดังนี้.
ก็ถ้าว่า แม้ภวราคะพึงเป็นดุจกามราคะอย่างนี้ไซร้ การแสดง ภวราคะกับด้วยกวมราคะก็พึงเป็นเหมือนการคาบเกี่ยวกัน เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงแยกกิเลสมีราคะเป็นต้นไว้ เพื่อต้องการแสดงความแตก ต่างกันของกามราคะกับภวราคะแล้ว จึงทรงแสดงเทศนาอย่างนี้. บัณฑิต พึงทราบที่เป็นที่เกิดขึ้นแห่งภวราคานุสัย ดังพรรณนามาฉะนี้.
ก็ อวิชชานุสัย ย่อมนอนเนื่องในธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งหมด. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อวิชชานุสัย ย่อมนอนเนื่องในธรรมทั้งหลายที่นับเนื่องด้วยสักกายะทั้งปวงไว้ ในที่นี้ ดังนี้. บัณฑิตพึงทราบความที่อวิชชานุสัยเป็นธรรมนอนเนื่อง อันเป็นสหชาตะในจิตตุปบาท ๑๒ ดวง. ก็เมื่อว่าด้วยสามารถแห่งการ กระทำอารมณ์แล้ว อวิชชานุสัยไม่ปรารภธรรมอะไรๆ อันเป็นไปใน ภูมิ ๓ แล้วเป็นไปหามีไม่. บัณฑิตพึงทราบที่เป็นที่เกิดขึ้นแห่ง
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 765
อวิชชานุสัย ดังพรรณนามาฉะนี้. นี้เป็นวินิจฉัยกถาในปริจเฉทวาระ ปริจฉินนุทเทสวาระ อุปปัตติฏฐานวาระก่อน.
มหาวาระ ๗
ก็ในอนุสยวาระที่หนึ่งแห่งมหาวาระ ๗ คำใดที่กล่าวไว้ว่า กามราคานุสัย กำลังนอนเนื่องแก่บุคคลใด ปฏิฆานุสัยก็กำลัง นอนเนื่องแก่บุคคลนั้น ใช่ไหม ดังนี้ ตอบรับคำว่า อามนฺตา แปลว่า ใช่ ดังนี้ คำนั้น ย่อมปรากฏราวกะว่าให้คำตอบที่ไม่ดี.
ถามว่า เพราะเหตุไร?
ตอบว่า เพราะกามราคะและปฏิฆะไม่เกิดในขณะเดียวกัน เหมือนอย่างว่ามนายตนะ ธัมมายตนะ กายสังขาร วจีสังขาร ย่อม เกิดขึ้นในขณะเดียวกันในคำว่า มนายตนะกำลังเกิดแก่บุคคลใด ธัมมายตนะก็กำลังเกิดแก่บุคคลนั้น ใช่ไหม ดังนี้.
ท่านตอบรับว่า ใช่ (อามนฺตา) ในขณะแห่งการเกิดขึ้น แห่งอัสสาสะ ปัสสาสะ กายสังขารของบุคคลเหล่านั้นกำลัง เกิดขึ้น วจีสังขารของบุคคลเหล่านั้นก็กำลังเกิดขึ้น เป็นต้น ฉันใด กามราคะ และปฏิฆะ ย่อมเกิดฉันนั้นหามิได้. เพราะกามราคะ ย่อมเกิดในโลภสหคตจิตตุปบาท ๘ ดวง ส่วนปฏิฆะย่อมเกิดใน โทมนัสสหคตจิตตุปบาท ๒ ดวง ด้วยประการฉะนี้ ความเกิดขึ้น
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 766
ในขณะเดียวกันของธรรมเหล่านั้น (กามราคะ ปฏิฆะ) จึงไม่มี เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทำคำปฏิเสธในที่นี้ว่า โน ดังนี้. ก็ในที่นี้ ท่านไม่ถือเอาโวหารอันกำลังเป็นไป ด้วยสามารถแห่งปัจจุบันขณะราวกะ ในยมกทั้งหลายในหนหลัง เพราะเนื้อความนั้นไม่ปฏิเสธ ก็ต้องตอบ รับรองว่า อามนฺตา ดังนี้ จึงควรถือเอาโดยประการอื่นๆ.
ถามว่า ควรถือเอาด้วยอาการอย่างไร?
ตอบว่า ด้วยสามารถแห่งกิเลสที่ละไม่ได้.
จริงอยู่ โวหารที่กำลังเป็นไปว่า อนุเสติ นี้ ท่านกล่าวหมาย เอากิเลสที่ยังละไม่ได้. มิได้หมายเอาความเป็นปัจจุบันขณะ. เพราะ ท่านกล่าวหมายเอากิเลสที่เป็นสภาวะที่ละไม่ได้ ฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบ เนื้อความอย่างนี้ว่า กามราคานุสัย อันบุคคลใดยังละไม่ได้ แม้ ปฏิฆานุสัยของบุคคลนั้นก็ยังละไม่ได้ จึงเป็นสภาวะให้ถึงความ เป็นธรรมนอนเนื่อง ในคำปุจฉาว่า กามราคานุสัย กำลังนอนเนื่อง แก่บุคคลใด ปฏิฆานุสัยก็กำลังนอนเนื่องแก่บุคคลนั้น ใช่ไหม ดังนี้.
อนึ่ง ในอนุสัยเหล่านั้น อนุสัยหนึ่งอันบุคคลใดยังมิได้ละ อนุสัยนอกนี้ของบุคคลนั้นก็ยังละไม่ได้ นั่นแหละ ฉะนั้น จึงกล่าวว่า อามนฺตา ดังนี้. ผิว่า คำใดท่านรับรองว่า อามนฺตา ในอุปปัชชนวาระ ข้างหน้า เพราะคำถามอย่างนี้ว่า กามราคานุสัย กำลังเกิดแก่บุคคล
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 767
ใด ปฏิฆานุสัย ก็กำลังเกิดแก่บุคคลนั้น ใช่ไหม ดังนี้. ในข้อนี้ พึงถือเอาเนื้อความอย่างไร แม้ในข้อนั้น ท่านก็ถือเอาด้วยสามารถ แห่งการที่กิเลสนั้นยังละไม่ได้ ก็หรือ ครั้นเมื่อปัจจัยคือการเกิดขึ้นมีอยู่ ก็พึงถือเอาด้วยสามารถแห่งการไม่ปฏิเสธความเกิด.
เหมือนอย่างว่า ช่างเขียนเป็นต้น เริ่มจิตกรรมมีการวาดเขียน เป็นต้น เมื่อการงานยังไม่เสร็จ ถูกมิตรสหายเป็นต้นถามว่า ท่านทำ อะไรในวันเหล่านี้ที่เราเห็นแล้วๆ แม้ในขณะที่ยังไม่ทำการงานเหล่านั้น ก็ย่อมกล่าวว่า เรากำลังทำจิตกรรม กำลังทำกัฏฐกรรม แม้ขณะนั้น ไม่ได้ทำจิตกรรมเป็นต้น ก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ชื่อว่า กำลังทำอยู่ นั่นแหละ เพราะอาศัยขณะที่ทำแล้ว และขณะที่ควรจะที่ต่อไป ฉันใด อนุสัยทั้งหลายในสันดานใดที่ยังละไม่ได้ ก็ฉันนั้นนั่นแหละ ก็หรือว่า เมื่อปัจจัยให้เกิดอนุสัยเหล่านั้นมีอยู่ในสันดานใด การเกิดขึ้นแห่งอนุสัย เหล่านั้นอันธรรมดามิได้ห้ามไว้ ในข้อนั้นบัณฑิตพึงทราบเนื้อความแห่ง อนุสัย แม้ในขณะที่ยังไม่เกิดขึ้น อย่างนี้ว่า กามราคานุสัยกำลัง เกิดขึ้นแก่บุคคลใด เพราะอาศัยกาลที่เคยเกิดแล้วด้วย และจะ เกิดขึ้นในกาลอื่นด้วย ปฏิฆานุสัยของบุคคลนั้น ก็ชื่อว่า กำลัง เกิดขึ้นนั่นแหละ ดังนี้ ในการวิสัชนาแม้อื่นจากนี้ก็ดี ที่มีรูปอย่างนี้ ก็ดี ก็นัยนี้แหละ.
คำว่า โน จ ตสฺส นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ เพราะ ความที่กามราคะและพยาบาทเป็นสภาวะ อันพระอนาคามีละได้แล้วโดย
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 768
ไม่เหลือ.
คำว่า ติณฺณํ ปุคฺคลานํ ได้แก่ ปุถุชน พระโสดาบัน และ พระสกทาคามี.
คำว่า ทฺวินฺนํ ปุคฺคลานํ ได้แก่ พระโสดาบัน และพระสกทาคามี. ในฐานะทั้งหลายที่มีรูปอย่างนี้แม้ข้างหน้า ก็นัยนี้แหละ. ในคำถามที่หนึ่งและที่สองแห่งโอกาสวาระ ท่านทำการ ปฏิเสธว่า โน ดังนี้ เพราะกามราคานุสัย ย่อมนอนเนื่องในเวทนา ๒ แห่งกามธาตุ ปฏิฆานุสัยย่อมนอนเนื่องในทุกขเวทนา ฉะนั้น จึง ปฏิเสธว่า โน.
ในคำถามที่ ๓ ท่านกล่าวรับรองว่า อามนฺตา เพราะการ นอนเนื่องแม้แห่งธรรมทั้งสองในเวทนาทั้งสองแห่งกามธาตุ ฐานะคือ ที่เป็นที่เกิดขึ้นแห่งมานานุสัยในรูปธาตุ อรูปธาตุกับด้วยกามราคานุสัย นั้นเป็นที่ที่ไม่ทั่วไป เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า " อนึ่ง กามราคานุสัย ย่อมไม่นอนเนื่องในรูปธาตุนั้น " ดังนี้. โดยนัยนี้ บัณฑิตพึงตรวจดู วาระว่าด้วยที่เป็นที่เกิดขึ้นแห่งอนุสัยทั้งปวง แล้วจะพึงทราบที่เป็นที่ เกิดขึ้นแห่งอนุสัยทั้งปวง แล้วจะพึงทราบที่เป็นที่เกิดขึ้นอันเป็น สาธารณะ และอสาธารณะ.
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 769
ในคำถามที่มีมูล ๒ เพราะกามราคานุสัย ย่อมไม่เกิดในที่ เดียวกัน และย่อมไม่ทำธรรมหนึ่งให้เป็นอารมณ์ ฉะนั้น จึงทำปฏิเสธ ว่า นตฺถิ ดังนี้. ก็ในที่นี้พึงทราบว่า อนุสัยทั้ง ๒ เหล่านี้ พึงนอน เนื่องในที่ใด ที่นั้นย่อมไม่เป็นที่ๆ เดียวกัน เพราะฉะนั้น คำถามนี้ว่า มานานุสัย ย่อมนอนเนื่องในที่นั้น ดังนี้ ชื่อว่า ย่อมไม่เป็นคำ ปุจฉาเลย. ในอนุสัยแม้อื่นๆ ที่มีรูปอย่างนี้ ก็นัยนี้แหละ.
คำว่า จตุนฺนํ ในปุคคโลกาสวาระ ได้แก่บุคคล ๔ จำพวก คือ ปุถุชน พระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี.
ในปฏิโลมนัย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาเนื้อความนี้แล้ว จึงตรัสถามว่า กามราคานุสัย ย่อมไม่นอนเนื่องแก่บุคคลใด เป็นต้น. ทรงถือเอาพระอนาคามีและพระอรหันต์ จึงตรัสถามว่า กามราคานุสัย ย่อมไม่นอนเนื่องแก่บุคคลทั้งสองในภูมิทั้งปวง ดังนี้. บัณฑิต พึงถือเอา กามาวจรธรรมแม้ทั้งหมดอันสัมปยุตด้วยเวทนา ในพระบาลี ว่า กามธาตุยา ตีสุ เวทนาสุ ดังนี้บ้าง และถือเอาวัตถุและอารมณ์ แห่งธรรมเหล่านั้นบ้าง.
อนุสยวารกถา จบ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 770
สานุสยวารกถา
ก็ใน สานุสยวาระ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า โย กามราคานุสเยน สานุสโย นี้ อธิบายว่า เปรียบเหมือนบุคคลผู้มีอาพาธด้วย โรคอย่างใดอย่างหนึ่งมีโรคชราอันแน่นอนเป็นต้น ตราบใดโรคทั้งหลาย ยังไม่พ้นไปจากบุคคลนั้น ผู้นั้น ย่อมชื่อว่าเป็นผู้มีโรค แม้ในขณะ แห่งโรคนั้นยังไม่เกิด ฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้น อนุสัยทั้งหลายแห่งสัตว์ ผู้มีปกติไปตามวัฏฏะ ผู้มีกิเลสยังไม่ถึงการถอนขึ้นด้วยอริยมรรคเพียง ใด แม้ในขณะที่อนุสัยทั้งหลายยังไม่เกิดขึ้น เขาก็ชื่อว่า เป็นผู้เป็นไป กับด้วยอนุสัย คือ มีอนุสัยนั่นแหละ เพราะอาศัยความที่สัตว์เป็นผู้มี อนุสัยเห็นปานนี้ จึงรับรองด้วยคำว่า อามนฺตา ดังนี้. คำที่เหลือในที่นี้ เช่นกับอนุสยวาระนั่นแหละ.
ก็ใน โอกาสวาระ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า รูปธาตุยา อรูปธาตุยา เอตฺถ มานานุสเยน สานุสโย อธิบายว่า ในธาตุ ทั้งหลายเหล่านั้น ความที่บุคคลเป็นไปกับด้วยอนุสัย คือ มีอนุสัย พึง ปรากฏ แต่ที่เป็นที่เกิดขึ้นแห่งอนุสัยไม่พึงปรากฏ ก็เพื่อแสดงที่เป็นที่ เกิดขึ้นแห่งอนุสัยนั้น พระองค์จึงเริ่มวาระนี้ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า มานานุสเยน สานุสโย เป็นต้นจากวาระนั้นฯ ก็เมื่อเป็นอย่างนั้น จึง ตรัสว่า บุคคลผู้เป็นไปกับด้วยมานานุสัย คือ มีมานานุสัย เกิดขึ้น แต่ธาตุทั้งสองนั้น ดังนี้. ก็เมื่อพระองค์ไม่ตรัสอรรถแห่งปัญหาแรก
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 771
ย่อมจะไม่ปรากฏ ฉะนั้น จึงไม่ตรัสอรรถปัญหาแรก พึงทราบเนื้อความ แห่งปัญหานี้ อย่างนี้.
คำว่า ยโต กามราคานุสเยน ได้แก่ กามราคานุสัยเกิดขึ้น แล้วแต่ที่ใด.
คำว่า สานุสโย ได้แก่ บุคคลชื่อว่า ผู้เป็นไปกับด้วยอนุสัย คือ มีอนุสัย แม้ด้วยปฏิฆานุสัยก็เกิดขึ้นแต่ที่นั้น ดังนี้. แต่เพราะ อนุสัยทั้งสอง คือ กามราคะ ปฏิฆะ นั้นไม่เกิดแต่ที่เดียวกัน ฉะนั้น จึงปฏิเสธว่า โน ดังนี้.
คำว่า อรหา สพฺพตฺถ นี้ ท่านทำสัตตมีวิภัตติ ในที่แสดงอรรถ โดยสิ้นเชิง ด้วยสามารถแห่งอรรถนี้ว่า พระอรหันต์ เป็นผู้ไม่มีอนุสัย อย่างใดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในธรรมทั้งปวง ดังนี้. พึงทราบวินิจฉัย อรรถในคำทั้งปวงโดยอุบายนี้.
สานุสยวารกถา จบ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 772
ปชหนวารกถา
ใน ปชหนวาระ บทว่า ปชหติ ได้แก่ ย่อมละอนุสัยด้วยมรรค นั้น คือว่า ย่อมทำให้ถึงความเป็นธรรมชาติไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยอำนาจ แห่งปหานปริญญา.
คำว่า อามนฺตา เป็นคำรับรอง โดยหมายเอาพระอริยบุคคล ผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค.
คำว่า ตเทกฏฺํ ปชหติ นี้ ตรัสหมายเอาความที่บุคคลนั้นเป็น ผู้ตั้งอยู่ในปริญญาอันเลิศ คือ ปหานะ.
คำว่า โน นี้ ปฏิเสธหมายเอาพระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค.
คำว่า ยโต กามราคานุสยํ ปชหติ ได้แก่ ย่อมละกามราคานุสัย ซึ่งเกิดขึ้นแต่ที่ใด.
คำว่า อฏฺมโก ได้แก่ พระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติ- มรรค โดยนับตั้งแต่พระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล เป็นที่หนึ่ง พระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรคนั้น จึงชื่อว่า เป็นพระอริยบุคคลที่ ๘. จริงอยู่ พระอรหันต์ เป็นพระอริยบุคคลที่หนึ่ง เพราะ ความที่ท่านเป็นพระทักขิไณยบุคคลผู้เลิศ โดยการนับตามลำดับพระทักขิไณยบุคคล. พระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรคเป็นที่ ๒ พระ-
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 773
อริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผลเป็นที่ ๓ พระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ใน อนาคามิมรรคเป็นที่ ๔ ฯลฯ พระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค เป็นที่ ๘. พระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตตมรรคนั้น ตรัสว่าเป็น บุคคลที่ ๘. อีกอย่างหนึ่ง คำว่า อฏฺมโก นี้ เป็นนามสัญญาของท่าน.
คำว่า อนาคามิมคฺคสมงฺคิญฺจ อฏฺมกญฺจ เปตฺวา อวเสสา ได้แก่ พระเสขะและอเสขะทั้งหลายกับด้วยปุถุชน. จริงอยู่ ในบุคคล เหล่านั้น ปุถุชน ย่อมละกามราคานุสัยไม่ได้ เพราะความที่ปุถุชนนั้น ไม่มีปหานปริญญา. อธิบายว่า เว้นบุคคลที่เหลือ คือผู้ถึงพร้อมด้วย มรรคทั้ง ๒ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค อนาคามีมรรค เพราะความที่อนุสัย เหล่านั้นท่านละได้แล้ว. พึงทราบวินิจฉัยในบททั้งปวง โดยนัยนี้.
ปชหนวารกถา จบ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 774
ปริญญาวารกถา
ใน ปริญญาวาระ คำว่า ปริชานาติ ได้แก่ ย่อมรู้แจ้งปริญญา ทั้ง ๓ คำที่เหลือในที่นี้ มีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง. จริงอยู่ แม้วาระ นี้ พระองค์ก็ทรงวิสัชนาด้วยอำนาจแห่งพระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในมรรค เท่านั้น ราวกะปชหนวาระ.
ปริญญาวารกถา จบ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 775
ปหีนวารกถา
พระองค์ทรงเริ่มเทศนาใน ปหีนวาระ ไว้ ด้วยอำนาจแห่งพระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในผล. เพราะว่า อนุสัยเหล่านี้แม้ทั้งสองอันพระอนาคามีละได้แล้ว ฉะนั้น จึงรับรองว่า อามนฺตา ดังนี้.
ใน โอกาสวาระ ท่านกล่าว เพราะคำถามว่า " กามราคานุสัย ที่ละได้แล้ว ในภูมิใด ปฏิฆานุสัย ก็ละได้แล้วในภูมินั้น ใช่ ไหม " ดังนี้ ไม่สมควรจะกล่าว คำว่า ละได้แล้ว หรือว่า ละไม่ได้ แล้ว ดังนี้
ถามว่า เพราะเหตุไร?
ตอบว่า เพราะความที่ภูมินั้นเป็นที่เกิดขึ้นอันไม่ทั่วไป.
จริงอยู่ ที่เป็นที่เกิดขึ้นแห่งกามราคานุสัยก็เป็นอย่างหนึ่ง ของ ปฏิฆานุสัยก็เป็นอย่างหนึ่ง, คือว่า อนุสัยของมรรคบุคคลผู้ไม่เจริญ แล้ว ย่อมเกิดขึ้นในภูมิใด ครั้นท่านเจริญมรรคให้เกิดขึ้นแล้ว ก็ชื่อว่า ละได้แล้วในที่นั้นนั่นแหละ. ก็ในบรรดาอนุสัยทั้งสองนั้น ปฏิฆานุสัย ย่อมไม่เกิดขึ้นในที่เป็นที่เกิดขึ้นแห่งกามราคานุสัย แม้กามราคานุสัย ก็ไม่เกิดขึ้นในที่เป็นที่เกิดขึ้นแห่งปฏิฆานุสัย ฉะนั้น จึงไม่ควร กล่าวว่า อนุสัยนั้น ท่านละได้แล้ว หรือว่าละยังไม่ได้ในที่ (ภูมิ)
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 776
นั้น เพราะว่า กามราคานุสัยนั้น ท่านละได้แล้วในที่เป็นที่เกิดของตน จึงไม่ควรกล่าวว่า อนุสัยนั้น ท่านละได้แล้วในที่นั้น เพราะความที่ ท่านละยังไม่ได้. ที่ใด เป็นที่เกิดขึ้นแห่งกามราคานุสัย ไม่ควรกล่าว ท่านละไม่ได้แล้วในที่นั้น เพราะความที่กามราคานุสัยนั้นไม่ได้อยู่ใน ที่นั้น.
ก็ในคำนี้ว่า ยตฺถ กามราคานุสโย ปหีโน ตตฺถ มานา - นุสโย ปหีโน นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าหมายเอาที่เป็นที่สาธารณะ จึงตรัสว่า อามนฺตา. เพราะว่า กามราคานุสัยย่อมนอนเนื่องในเวทนา ทั้ง ๒ ในกามธาตุ มานานุสัยย่อมนอนเนื่องในเวทนาทั้ง ๒ เหล่านั้น ด้วย ในรูปธาตุและอรูปธาตุทั้งหลายด้วย แต่มานานุสัยนั้น เว้นที่เป็นที่ อสาธารณะ ในที่เป็นที่สาธารณะ ย่อมชื่อว่า ท่านละได้แล้วกับทั้งกามราคานุสัย ฉะนั้น จึงรับรองว่า อามนฺตา ดังนี้. บัณฑิตพึงทราบความ เป็นผู้ละได้แล้ว และคำอันไม่พึงกล่าวในโอกาสวาระแม้ทั้งปวงโดยนัย นี้.
ก็คำว่า นตฺถิ ในอาคตสถานทั้งหลาย บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัย เช่นกับคำที่กล่าวแล้วในหนหลัง. ปุคคโลกาสวาระมีคติอย่างโอกาสวาระ นั่นแหละ ในปฏิโลมนัย คำว่า ยสฺส กามราคานุสโย อปฺปหีโน นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามด้วยอำนาจแห่งความเป็นปุถุชน พระโสดาบัน และพระสกทาคามี. จริงอยู่ อนุสัยทั้ง ๒ เหล่านี้ บุคคล
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 777
๖ จำพวก ตั้งแต่ปุถุชนจนถึงพระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค ละยังไม่ได้ แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ในที่นี้ ประสงค์เอาพระอริยบุคคล ผู้ตั้งอยู่ในมรรค เพราะพระบาลีว่า ปรโต ติณฺณํ ปุคฺคลานํ ทฺวินฺนํ ปุคฺคลานํ เป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า อามนฺตา โดยหมาย เอาปุถุชน พระโสดาบัน และพระสกทาคามีเท่านั้น.
คำว่า ทฺวินฺนํ ปุคฺคลานํ ได้แก่ พระโสดาบัน และพระสกทาคามี. พึงทราบวินิจฉัยในปุคคลวาระโดยนัยนี้. ก็โอกาสวาระ และปุคคโลกาสวาระ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ.
ปหีนววรกถา จบ
ในอุปัชชนวาระ เช่นกับอนุสัยวาระนั่นแหละ.
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 778
ธาตุวารกถา
บัณฑิตพึงทราบ ธาตุวาระ ก่อน ว่า กติ อนุสยา อนุเสนฺติ ได้แก่ อนุสัยเท่าไร ที่เป็นสภาพไปตามสันดานแล้วอาศัยอยู่.
คำว่า กติ อนุสยา นานุเสนฺติ อนุสัยเท่าไรไม่ไปตามสันดาน แล้วอาศัยอยู่.
คำว่า กติ อนุสยา ภงฺคา ความว่า บัณฑิตพึงจำแนกอย่างนี้ ว่า อนุสัยเท่าไรย่อมนอนเนื่อง อนุสัยเท่าไรย่อมไม่นอนเนื่อง ดังนี้. คำที่เหลือในที่นี้คำใดที่ควรกล่าว คำนั้นท่านก็กล่าวแล้วในที่ เป็นที่กำหนดพระบาลีในหนหลังนั่นแหละ. แต่ในนิเทสวาระ ท่าน กล่าวไว้ด้วยสามารถแห่งปุถุชนว่า อนุสัย ๗ ย่อมนอนเนื่องแก่ใคร ดังนี้.
คำว่า กสฺสจิ ปญฺจ นี้ ท่านกล่าวไว้ด้วยสามารถแห่งพระโสดาบัน และพระสกทาคามี. จริงอยู่ ทิฏฐานุสัย และวิจิกิจฉานุสัย อันท่าน เหล่านั้นละได้แล้ว เพราะเหตุนั้น อนุสัยทั้ง ๕ เท่านั้น จึงนอน เนื่อง ดังนี้.
บัณฑิตพึงทราบวินิจสัยในข้อนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง ถือเอาเนื้อความในบทว่า อุปฺปชฺชนฺติ แห่งบทว่า อนุเสนฺติ ใน อนุสยวาระ ฉันใด ในธาตุวาระนี้ พึงทราบว่า ไม่พึงถือเอา ฉันนั้น,
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 779
ถามว่า เพราะเหตุไร?
ตอบว่า เพราะความที่อนุสัยนั้นไม่เกิดขึ้นในขณะนั้น.
จริงอยู่ เมื่อบุคคลกำลังเข้าถึงกามธาตุ วิบากจิต และรูปที่มี กรรมเป็นสมุฏฐานย่อมเกิด แต่อกุศลจิตย่อมไม่เกิดในขณะนั้น. ก็อนุสัย ทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้นในขณะแห่งอกุศลจิต ย่อมไม่เกิดขึ้นในขณะแห่ง วิบากจิต เพราะเหตุนั้น เพราะความไม่เกิดในขณะดังกล่าวแล้วนั้น จึงไม่ควรถือเอา.
ถามว่า พึงถือเอาอย่างไร?
ตอบว่า ย่อมหยั่งเห็นได้โดยประการใด ก็พึงถือเอาโดยประการนั้น.
ถามว่า ย่อมหยั่งเห็นได้อย่างไร?
ตอบว่า ย่อมหยั่งเห็นได้ เพราะอรรถว่าเป็นกิเลสที่ยังละไม่ได้.
เหมือนอย่างว่า บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยกุศลและอัพยากตจิต เพราะความที่ราคะโทสะและโมหะอันตนละยังไม่ได้ ท่านก็เรียกว่า ผู้มี ราคะ โทสะ และโมหะ ฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า อนุสัยเหล่านั้น ย่อมนอนเนื่องแก่บุคคลนั้นๆ แม้ในขณะแห่ง ปฏิสนธิ เพราะความที่มรรคภาวนายังมิได้ละ ดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสว่า อนุสัยเหล่านั้นย่อมนอนเนื่องอย่างเดียว แต่พึงทราบว่า
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 780
อนุสัยเหล่านั้น ชื่อว่า นอนเนื่องเพราะความเป็นสภาวะที่ยังละไม่ได้ นั่นแหละด้วย ดังนี้.
คำว่า อนุสยา ภงฺคา นตฺถิ อธิบายว่า ก็ชื่อว่า อนุสัย อัน บัณฑิตพึงจำแนกอย่างนี้ ว่า อนุสัยใดกำลังนอนเนื่องแก่บุคคลใด อนุสัยนั้นเท่านั้นย่อมนอนเนื่อง, อนุสัยใดมิได้กำลังนอนเนื่อง อนุสัย นั้นเท่านั้น ก็ย่อมไม่นอนเนื่อง, อนุสัยนี้ย่อมนอนเนื่องและย่อมไม่ นอนเนื่อง, อนุสัยนี้พึงนอนเนื่องด้วยไม่พึงนอนเนื่องด้วย ดังนี้ ย่อม ไม่มี.
คำว่า รูปธาตุํ อุปปชฺชนฺตสฺส กสฺสจิ ตโย นี้ ตรัสไว้ ด้วยสามารถแห่งพระอนาคามี. จริงอยู่ กามราคะ ปฏิฆะ ทิฏฐิ และ วิจิกิจฉานุสัยแม้ทั้ง ๔ ท่านละได้แล้วโดยไม่เหลือ อนุสัย ๓ นอกนี้ท่าน ยังละไม่ได้ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า กสฺสจิ ตโย อนุสยา อนุเสนฺติ แปลว่า อนุสัย ๓ ย่อมนอนเนื่องแก่ใคร ดังนี้.
คำว่า น กามธาตุ อธิบายว่า เมื่อเข้าถึงธาตุทั้ง ๒ ที่เหลือ เพราะความที่ท่านปฏิเสธกามธาตุ.
คำว่า สตฺเตว นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำหนดแล้วตรัสว่า ชื่อว่า การเกิดในกามธาตุของพระอริยสาวกผู้จุติจากรูปธาตุย่อมไม่มี มี อยู่แต่ปุถุชนเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงตรัสว่า สตฺเตว ดังนี้. แม้ใน
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 781
คำว่า สตฺเตว แห่งบุคคลผู้จุติจากอรูปธาตุแล้วเข้าถึงกามธาตุนี้ ก็นัย นี้แหละ.
ถามว่า เพราะเหตุไร คำว่า ความเกิดขึ้นในรูปธาตุย่อมไม่มี ดังนี้.
ตอบว่า เพราะความไม่มีรูปาวจรฌานอันเป็นธรรมให้สำเร็จใน การเกิดนั้นไม่มี. จริงอยู่ บุคคลนั้นเข้าถึงธาตุนั้น เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาโดย ประการทั้งปวง เพราะฉะนั้น รูปาวจรฌานของท่านจึงไม่มีอยู่ในที่นั้น เพราะความไม่มีรูปาวจรฌานนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า การเกิดขึ้นนั้น รูปธาตุจึงไม่มี ดังนี้.
ในข้อว่า อรูปธาตุยา จตสฺส น กามธาตุํ นี้ ทรงประสงค์ เอาในอรูปธาตุเท่านั้น. พึงทราบเนื้อความในวิสัชนาทั้งปวง โดยนัยนี้ ดังนี้แล.
ธาตุวารกถา จบ
อรรถกถาอนุสยยมก จบ