จิตตยมกที่ ๘ - อรรถกถาจิตตยมก
[เล่มที่ 83] พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒
พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๕
ยมก ภาคที่ ๑ ตอนที่ ๒
จิตตยมกที่ ๘
อรรถกถาจิตตยมก หน้า 855
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 83]
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 855
อรรถกถาจิตตยมก
มาติกาฐปนวาระ
บัดนี้ เป็นวรรณา เนื้อความแห่ง จิตตยมก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรวบรวมไว้เป็นเอกเทสหนึ่งต่างหากด้วยสามารถแห่งธรรมทั้งหลายเหล่านั้นนั่นแหละมีกุศลธรรมเป็นต้นที่ได้แสดงไว้แล้วในมูลยมก แล้วจึงแสดงต่อจากอนุสยมก.
ในจิตตยมกนั้น เบื้องแรกพึงทราบบาลีววัตถาน๑ก่อน ในจิตตยมกนี้ มี ๒ วาระ คือ
มาติกาฐปนวาระ -- วาระอันว่าด้วยการตั้งมาติกา๒
ฐปิตมาติกาวิสัชนาวาระ -- วาระอันว่าด้วยการวิสัชนมาติกา๓ ที่ตั้งไว้แล้ว.
ในมาติกาฐปนวาระนั้น ในเบื้องต้นมีสุทธิกมหาวาระอยู่ ๓ คือ : -
๑. การกำหนดหัวข้อ.
๒. หัวข้อ=อุเทส.
๓. นิทเทส.
* มาติกาฐปนวาระ คือ อุทเทส
วิสัชนาวาระ คือ นิทเทส
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 856
ปุคคลวาระ -- วาระอันว่าด้วยบุคคล
ธัมมวาระ -- วาระอันว่าด้วยธรรมะ
ปุคคลธัมมวาระ -- วาระอันว่าด้วยปุคคลธรรมวาระ
ในวาระทั้ง ๓ นั้น วาระใดแสดงประเภทแห่งธรรมมีการเกิด และการดับเป็นต้นไป โดยยกบุคคลขึ้นแสดง อย่างนี้ว่า ยสฺส จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ น นิรุชฌฺติ แปลว่า จิตของบุคคลใด กำลังเกิด มิใช่ กำลังดับ ดังนี้เป็นต้น วาระนั้น ชื่อว่า ปุคคลวาระ.
วาระใดแสดงประเภทแห่งธรรมมีการเกิดและการดับเป็นต้นไป โดยยกธรรมเท่านั้นขึ้นแสดง อย่างนี้ว่า ยํ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ น นิรุชฺฌติ แปลว่า จิตใดกำลังเกิด มิใช่กำลังดับ ดังนี้เป็นต้น วาระนั้น ชื่อว่า ธัมมวาระ.
วาระใดแสดงประเภทแห่งธรรมมีการเกิดและการดับเป็นต้นของ จิตเป็นไป โดยยกบุคคลและธรรมขึ้นแสดง อย่างนี้ว่า ยสฺส ยํ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ น นิรุชฺฌติ แปลว่า จิตใดของบุคคลใด กำลังเกิด มิใช่ กำลังดับ ดังนี้เป็นต้น วาระนั้น ชื่อว่า ปุคคลธัมมวาระ.
ต่อจากนั้น อาศัยบท ๑๖ บท มีคำว่า ยสฺส สราคํ จิตฺตํ แปลว่า จิตของบุคคลใดมีราคะ เป็นต้น จึงได้มิสสกวาระ ๔๘ วาระ คือ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 857
ปุคคลวาระ ๑๖ วาระ
ธัมมวาระ ๑๖ วาระ
ปุคคลธัมมวาระ ๑๖ วาระ
มิสสกวาระเหล่านี้แปลกออกไปด้วย สราค บทเป็นต้น. มิสสกวาระ ๔๘ วาระ เหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้เพียงบทต้น คือ สราคบท แล้วทรงย่อไว้.
ต่อจากนั้น อาศัยบทแห่งอภิธรรมมาติกา ๒๖๖ บท โดยนัยว่า ยสฺส กุสลจิตฺตํ เป็นต้น จึงได้มิสสกวาระ ๗๙๘ วาระอีก คือ.-
ปุคคลวาระ ๒๖๖ วาระ
ธัมมวาระ ๒๖๖ วาระ
ปุคคลธัมมวาระ ๒๖๖ วาระ
วาระเหล่านี้แปลกออกไปด้วยกุศลบทเป็นต้น. แม้วาระเหล่านั้น พระองค์ ก็ทรงแสดงเพียงบทต้น คือ กุศลบทแล้วทรงย่อไว้เหมือนกัน, ในจิตต ยมกนี้มีบทปุจฉาวิสัชนาทำนองเดียวกัน บทเหล่าใดไม่ประกอบด้วยจิต บทเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเป็นโมฆะปุจฉา.
ก็บรรดาวาระทั้ง ๓ เหล่านั้น สุทธิกปุคคลมหาวาระ ซึ่ง เป็นวาระแรก มีอันตวาระ ๑๔ วาระ คือ.-
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 858
๑. อุปปาทนิโรธกาลสัมเภทวาระ (วาระว่าด้วยการปะปนกันแห่งกาลของอุปาทะและนิโรธะ)
๒. อุปปาทุปปันนวาระ (วาระว่าด้วย อุปปาทะ และอุปปันะ)
๓. นิโรธุปปันนวาระ (วาระว่าด้วย นิโรธะและ อุปปันนะ)
๔. อุปปาทวาระ (วาระว่าด้วย อุปปาทะ)
๕. นิโรธวาระ (วาระว่าด้วย นิโรธะ)
๖. อุปปาทนิโรธวาระ (วาระว่าด้วย อุปปาทะ และนิโรธะ)
๗. อุปปัชชมานนิโรธวาระ (วาระว่าด้วย อุปัชชมานะและนิโรธะ)
๘. อุปปัชชมานุปปันนวาระ (วาระว่าด้วย อุปปัชชมานะและอุปปันนะ)
๙. นิรุชฌมานุปปันนวาระ (วาระว่าด้วย นิรุชฌมา นะและอุปปันนะ)
๑๐. อุปปันนุปปาทวาระ (วาระว่าด้วย อุปปันนะ และอุปปาทะ)
๑๑. อตีตานาคตวาระ (วาระว่าด้วย อดีตและ อนาคต)
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 859
๑๒. อุปปันนุปปัชชมานวาระ (วาระว่าด้วย อุปปันนะ อุปปัชชมานะ)
๑๓. นิรุทธนิรุชฌมานวาระ (วาระว่าด้วย นิรุทธะและ นิรุธฌมานะ)
๑๔. อติกกันตกาลวาระ (วาระว่าด้วย กาลที่ก้าว ล่วง)
บรรดา อันตรวาระ ๑๔ วาระ เหล่านั้น ใน ๓ วาระเหล่านี้ คือ อุปปาทวาระ นิโรธวาระ อุปปาทนิโรธวาระ โดยอาศัยอนุโลมและ ปฏิโลม จึงมีวาระ ๖ คู่ รวมเป็น ๑๘ คู่ (๑๘ ยมก). ใน อุปปันนุปปาทวาระ ได้ยมก ๔ (๔ คู่) คือ โดยอนุโลม ๒ ปฏิโลม ๒ โดยอาศัยกาลอันเป็นอดีตและอนาคต. ในวาระ ๑๐ คือ ๓ วาระที่เหลือที่ทรงแสดงไว้ข้างต้น ๓ วาระที่แสดงไว้ในระหว่าง และ ๔ วาระที่แสดงแล้ว คือ วาระที่ ๗, ๘, ๙ และวาระสุดท้าย โดย อนุโลม ๑ ปฏิโลม ๑ กระทำเป็น ๒ ส่วน จึงเป็นยมก ๒๐ (๒๐ คู่).
ในอันตรวาระทั้ง ๑๔ วาระแม้ทั้งหมด กำหนดไว้ด้วยปุจฉา ๘๔ จัดเป็นยมกได้ ๔๒ มีอรรถ ๑๖๘ ด้วยประการฉะนี้. ยมก ๑๒๖ ย่อมมีในมหาวาระทั้ง ๓ คือ สุทธิกปุคคลวาระ สุทธิกธัมมวาระ สุทธิกปุคคลธัมมวาระ อนึ่ง ในสุทธิกปุคคลวาระ มีได้ ฉันใด ในสุทธิกธัมมวาระ และสุทธิกปุคคลธัมมวาระ ก็มีได้ฉันนั้น.
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 860
บัณฑิตพึงทราบคำปุจฉาเป็นทวีคูณแต่ยมก และอรรถเป็นทวี คูณแต่ปุจฉานั้น. ก็ในจิตตยมกนี้ มียมกหลายพัน โดยเอาวาระทั้ง ๓ นี้ คูณด้วยบท ๑๖ บท ด้วยอำนาจสราคบทเป็นต้น และคูณด้วย ๒๖๖ บท ด้วยอำนาจกุศลบทเป็นต้นฯ ก็พระบาลีท่านย่อไว้ว่า ตโต ทิคุณา ปุจฺฉา ตโต ทิคุณา อตฺถา จ โหนฺติ แปลว่า ปุจฉา ทวีคูณแต่ยมกนั้น อรรถ (วิสัชนา) ก็ทวีคูณแต่ปุจฉานั้น ดังนี้ บัณฑิตพึงทราบการกำหนดบาลีในจิตตยมกนี้ก่อน ดังพรรณนามา ฉะนี้.
มาติกาฐปนวาระ จบ
วิสัชนาวาระ (นิทเทส)
บัดนี้ เพื่อทรงวิสัชนาบทมาติกาโดยลำดับตามที่ตั้งไว้ พระผู้มี พระภาคเจ้าจึงทรงเริ่ม คำว่า ยสฺส จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ น นิรุชฺฌติ ตสฺส จิตฺตํ นิรุชฺฌิสฺสติ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปฺปชฺชติ แปลว่า กำลังเกิด เพราะถึงพร้อมด้วยอุปปาทขณะ. บทว่า น นิรุชฺฌติ แปลว่า มิใช่ กำลังดับ เพราะยังไม่ถึงนิโรธขณะ. สองบทว่า ตสฺส จิตฺตสฺส ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า จำเดิมแต่นั้น จิตของบุคคลนั้น จักดับ จักไม่เกิดใช่ไหม ดังนี้. สองบทว่า เตสํ จิตฺตํ ความว่า อุปปาทขณะ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 861
แห่งจุติจิตของดวงสุดท้ายของจิตทั้งหมด ของพระขีณาสพเหล่าใด ผู้มี วัฏฏทุกข์อันขาดแล้ว กำลังเป็นไป จุติจิตนั้นนั่นแหละ ของพระขีณาสพเหล่านั้น ชื่อว่า กำลังเกิดเพราะถึงอุปาทะ มิใช่กำลังดับเพราะ ยังไม่ถึงภังคขณะ. แต่บัดนี้ จิตของพระขีณาสพเหล่านั้น ชื่อว่า จักดับ เพราะถึงภังคขณะ. ต่อจากนั้น จิตอื่น ชื่อว่า จักไม่เกิดขึ้นเพราะมิได้ ทำปฏิสนธิ. บทว่า อิตเรสํ ได้แก่ จิตของพระเสกขะและปุถุชน ที่เหลือเว้นพระขีณาสพผู้ถึงพร้อมด้วยปัจฉิมจิต. สองบทว่า นิรุชฺฌิสฺ- สติ เจว อุปฺปชฺชิสฺสติ จ ความว่า จิตนั้นใด ถึงอุปปาทขณะ จิตนั้นนั่นแหละ จักดับไป. ส่วนจิตอื่น จักเกิดด้วย จักดับด้วย ใน อัตภาพนั้น หรือว่าในอัตตภาพอื่น เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาจิตของพระขีณาสพนั้นนั่นแหละ. ในปุจฉาวิสัชนาที่ ๒ จึงตรัสว่า อามันตา ดังนี้. สองบทว่า นุปฺปชฺชติ นิรุชฺฌิสฺสติ ได้แก่ ปัจฉิมจิตของพระอรหันต์ในภังคขณะบ้าง จิตที่กำลังดับของบุคคล ที่เหลือบ้าง. ก็จำเดิมแต่จิตนั้นมา ใครๆ อาจกล่าวว่า จิตของพระอรหันต์จักไม่ดับก่อน แต่ไม่อาจกล่าวว่าจักเกิด. ใครๆ อาจกล่าวว่า จิตของบุคคลที่เหลือ จักเกิด จักไม่อาจกล่าว่า จักไม่ดับ. เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงปฏิเสธว่า โน ดังนี้.
ในทุติยปัญหา จิตของบุคคลใด จักไม่ดับ แต่จักเกิด บุคคล นั้นแหละมิได้มี เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงห้ามด้วยคำว่า นตฺถิ (ปฏิกเขปวิสัชนา) ดังนี้.
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 862
คำว่า อุปฺปนฺนํ นี้ เป็นชื่อของจิตที่ถึงพร้อมด้วยการเกิด อีก อย่างหนึ่ง เป็นชื่อของจิตที่ถึงอุปาทะแล้วยังไม่ดับไป. ในวาระนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาจิตที่ถึงพร้อมด้วยอุปาทะจึงตรัสว่า อามันตา. คำว่า เตสํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมาย เอาจิตที่ตั้งอุปาทะแล้วยังไม่ดับไป. คำว่า อนุปฺปนฺนํ ได้แก่ ยังไม่ถึง อุปปาทะ. ในคำว่า เตสํ จิตฺตํ อุปฺชฺชิตฺถ นี้ ความว่า จิตของ บุคคลทั้งหมดเป็นปัจจุบันขณะก่อนนั่นแหละ ชื่อว่า เคยเกิดแล้ว เพราะล่วงแล้วซึ่งอุปาทขณะ.
คำว่า อุปฺปชฺชิตฺถ เจว อุปฺปชฺชติ จ อธิบายว่า ชื่อว่า อุปฺปชฺชิตฺถ เคยเกิด เพราะถึงแล้วซึ่งอุปาทขณะ ชื่อว่า อุปฺปชฺชติ กำลังเกิด เพราะยังไม่ล่วงอุปาทขณะ เพราะความที่บุคคลผู้เข้าถึง นิโรธสมาบัติ จิตเคยเกิดขึ้นแล้ว ในกาลก่อนแต่นิโรธ (และ) เพราะอสัญญสัตตบุคคล (จิต) เคยเกิดขึ้นแล้วในสัญญีภพ.
คำว่า อุปาทกฺขเณ อนาคตฺจ ได้แก่ จิตในอุปาทขณะ และจิตในอนาคต.
วิสัชนาวาระ จบ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 863
อติกกันตกาลวาระ
ในอติกกันตกาลวาระ คำว่า อุปฺปชฺชมานํ ขณํ ได้แก่ อุปาทขณะ. ในวาระนั้น อุปาทขณะ ไม่ชื่อว่ากำลังมีอยู่แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสอย่างนั้นเพราะเป็นขณะของจิตกำลังเกิด. คำว่า ขณํ วีติกฺกนฺตํ อติกฺกนฺตกาลํ อธิบายว่า ก็อุปาทขณะนั้นนั่นแหละ. ก้าวล่วงแล้วไม่นาน เป็นจิตก้าวล่วงแล้ว จึงนับว่ามีกาลอันก้าวล่วงแล้ว (อติกฺกนฺตกาลํ). คำว่า นิรุชฺฌมานํ ขณํ ได้แก่ นิโรธขณะ. ใน คำนั้น นิโรธขณะไม่ชื่อว่ากำลังมีอยู่แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ตรัสอย่าง นั้น เพราะเป็นขณะของจิตที่กำลังดับ. คำว่า ขณํ วีติกฺกนฺตํ อติกฺ- กนฺตกาลํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมตรัสถามว่า จิตของบุคคล นั้น เป็นจิตก้าวล่วงแม้นิโรธขณะอย่างนี้ย่อมชื่อว่า มีกาลก้าวล่วงแล้ว ใช่ไหม. ในข้อนั้น เพราะจิตในภังคขณะ ก้าวล่วงอุปาทขณะแล้ว นับว่ามีกาลก้าวล่วงแล้ว เมื่อจิตก้าวล่วงนิโรธขณะแล้ว ก็ย่อมชื่อว่า มี กาลก้าวล่วงแล้ว ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงวิสัชนาว่า ในภังค ขณะ จิตก้าวล่วงอุปาทขณะ. แต่ไม่ก้าวล่วงภังคขณะ จิตที่เป็นอดีต ก้าวล่วงอุปาทขณะด้วย ก้าวล่วงภังคขณะด้วย ดังนี้.
ในการวิสัชนาปัญหาที่ ๒ เพราะจิตในอดีตก้าวล่วงขณะ แม้ทั้งสอง จึงชื่อว่ามีกาลก้าวล่วงแล้ว ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง ตรัสว่า อตีตํ จิตฺตํ ดังนี้.
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 864
ในการวิสัชนาปฏิโลมปัญหา ก็เพราะจิตในอุปาทขณะและจิต ในอนาคต เป็นจิตก้าวล่วงขณะแม้ทั้งสอง * คืออุปาทขณะและภังคขณะ แต่ไม่ชื่อว่า มีกาลก้าวล่วงแล้ว เพราะความที่ขณะเหล่านั้นยังไม่ก้าว ล่วงไป ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อุปฺปาทกฺขเณ จิตฺตํ อนาคตํ จิตฺตํ ดังนี้. ในการวิสัชนาปัญหาที่สองปรากฏชัดแล้ว พึ่ง ทราบเนื้อความในการวิสัชนาปัญหาทั้งปวงแม้ในธัมมวาระ โดยอุบายนี้ แหละ.
ปุคคลธัมมวาระ ก็มีคติอย่างธัมมวาระนั้นแหละ มิสสกวาระ แม้ทั้งหมด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงย่อไว้เพียงหัวข้อ โดยนัยว่า ยสฺส สราคํ จิตฺตํ เป็นต้น. ส่วนความพิสดาร บัณฑิตพึงทราบโดย นัยที่กล่าวในหนหลังนั้นแหละ. ก็ในวาระเหล่านั้น ย่อมมีปุจฉาเช่น เดียวกัน โดยที่เป็นปัญหาพึงให้พิสดาร อย่างนี้ว่า ยสฺส สราคํ จิตฺตํ อุปฺปชฺชติ น นิรุชฺฌติ ตสฺส จิตฺตํ นิรุชฺฌิสฺสติ นุปฺปชฺชิสฺสติ เป็นต้น แปลว่า จิตมีราคะของบุคคลใด กำลังเกิด มิใช่กำลังดับ จิตของ
* ข้อความที่ว่า " เป็นจิตก้าวล่วงขึ้นแม้ทั้งสอง แต่ไม่ชื่อว่ามีกาลก้าวล่วง แล้ว " ใจความขัดกัน เพราะจิตในอุปาทขณะและจิตในอนาคต ยังไม่ก้าวล่วง ขณะทั้งสอง คืออุปาทขณะและภังคขณะแต่ก็ต้องแปลตามบาลีอรรถกถาหน้า ๔๔๒ บรรทัดนี้ ๑๒ ที่ว่า อุปฺปาทกฺขเณ จ จิตฺตํ อนาคตญฺจ จิตฺตํ อุโภปิ ขเณ (พม่าเพิ่ม ขณํ ข้างหลัง ขเณ ด้วย) วีติกฺกนฺตี หุตฺวา อติกฺกนฺตถาลํ นาม น โหติ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้า 865
บุคคลนั้นจักดับ จักไม่เกิด ใช่ไหม. แต่เพราะจิตมีราคะ. มิใช่ปัจฉิม จิต ฉะนั้น การวิสัชนาจึงชื่อว่า ไม่เหมือนกัน เพราะปัญหาว่า จิตมี ระคะของบุคคลใด กำลังเกิด มิใช่กำลังดับ จิตของบุคคลนั้น จักดับ จัก ไม่เกิด ใช่ไหม ดังนี้ ท่านให้คำวิสัชนาว่า โน ดังนี้ ด้วยประการฉะนี้ วิสัชนาปัญหานั้นๆ พึงทราบตามความเหมาะสมกับปุจฉานั้นฯ ดังนี้แล.
อติกกันตกาลวาระ จบ
อรรถกถาจิตยมก จบ