ตัวเรา
กราบเรียนถามท่านอาจารย์ คือถ้าตัวเราไม่มีจะมีธรรม จิต กรรมได้ไหมครับถ้ามีเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามี ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา เราที่ว่าคือตัวเราไหมครับอาจารย์ ผมพึ่งสนใจฟังแต่ติดถ้าไม่มีเราถ้าจะแค่รู้ ไม่มีเราจะรู้ได้อย่างไร ธรรมมะที่ผมเข้าใจคือคิดดี พูดดี ทำดีตลอดเวลาจะไม่เกิดทุกข์ไม่เกิดกรรมถ้าไม่มีกรรมยังจะเวียนว่ายตายเกิดอีกไหมครับ
ด้วยความเครารพและกรุณาอย่างสูง นายเอกชัย บัวดี
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ค่อยๆ สะสมความเข้าใจว่าไม่มีเรา
ท่าน อ.สุจินต์ เริ่มค่อยๆ สะสมความเห็นที่ถูกต้องในความหมายของคำว่าอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แล้วก็ลืมสิ่งที่ได้ยินได้ฟังไม่ได้ ได้ยินคำว่า “ทุกอย่างเป็นธรรม” ลืมไม่ได้ เพราะว่าอะไร ประเดี๋ยวก็ลืมแล้ว กลายเป็นเราเสียอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้สัญญาความจำที่มั่นคงก็คือความจำพร้อมด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่าทุกอย่างในขณะนี้เป็นธรรม คือเป็นสิ่งที่มีจริงแล้วก็มีลักษณะต่างกัน เป็นนามธรรมและรูปธรรมๆ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ส่วนนามธรรมเมื่อเกิดต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นถ้าการฟังของเราเป็นไปตามลำดับที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ สามารถที่จะเข้าใจถึงลักษณะของจิตประเภทต่างๆ โดยการฟังว่าไม่ว่าเป็นจิตใดทั้งสิ้นก็ไม่ใช่เราเพราะเหตุว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
เราในที่นี้ คือ ความยึดถือว่าเป็นเรา คือ ความเห็นผิด ที่เป็นธรรมที่มีจริงที่เป็นอกุศลธรรม ดังนั้น มีธรรมะ จึงมีความยึดถือว่าเป็นเรา ส่วน เรา ที่แทนโดยสมมติสัจจะ สื่อความหมายว่า ไม่ได้หมายถึงคนอื่น หมายถึงตัวเอง โดยเป็นการสื่อควาหมายให้เข้าใจ แต่มีความเข้าใจถูกว่า ปรมัตถสัจจะ แท้จริง คือมีแต่ธรรม ไม่ใช่เรา ครับ
ปัญญามีหลายระดับ ตั้งแต่ขั้นการฟัง ขั้นคิด ขั้นรู้ความจริงจนดับกิเลส ดังนั้น การสะสมความเข้าใจว่าไม่มีเรามีแต่ธรรม ก็ต้องค่อยๆ สะสมไปทีละน้อย เริ่มจากขั้นการฟัง และ ก็สะสมต่อไป ธรรมจะทำหน้าที่เอง ไม่มีเราที่จะไปทำจัดการ ทั้งหมดเป็นธรรมและเป็นอนัตตา ครับ ขออนุโมทนา
ติดข้องเรื่องการกินรสชาดอาหารที่ชอบทำอย่างไรจะละเรื่องอาหารการกินให้น้อยๆ ได้คะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เพราะไม่รู้ จึงหลงยึดถือสภาพธรรมที่มีจริงว่าเป็นเรา เป็นเขา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละหนึ่งๆ ที่เกิดเพราะเหตุเหตุปัจจัยเท่านั้น การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ฟังในเรื่องของสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ก็จะค่อยๆ ขัดเกลาละคลายความไม่รู้ไปทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งถ้าเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว แม้จะกล่าวว่า เรา หรือ ของของเรา สิ่งนั้น ก็คือ สภาพธรรมที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่งๆ เท่านั้นเอง
เรียนความคิดเห็นที่ ๒ ครับ
ความติดข้องมีจริงๆ ไม่ใช่เฉพาะติดข้องในรสอาหารเท่านั้น ติดในทุกสิ่งทุกอย่าง เบื้องต้นไม่ใช่ไปละความติดข้องยินดีพอใจ แต่ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ในความเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา แม้โลภะ ความติดข้องยินดีพอใจก็ไม่ใช่เรา เมื่อปัญญาเจริญขึ้น ปัญญาทำกิจของปัญญา ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง แม้ในการบริโภคอาหาร ก็ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น แต่เพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้ เพื่ออะไร เพื่อเจริญกุศล สะสมความดี อบรมเจริญปัญญาต่อไป เมื่อเห็นโทษของความเป็นผู้บริโภคมากเกินไป ก็ลดลง เพื่อให้ร่างกายเบา ไม่หนัก ทั้งหมดเป็นเรื่องของธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ครับ
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ ครับ
พินาศเพราะไม่รู้จักประมาณ [สุกชาดก]
พราหมณ์ตะกละ ๕ คน [ธรรมสังคณี]
ตะกละคืออะไร
เรื่องพระเจ้าปเสนทิโกศล
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...