มั่นคงไหมว่าไม่มีเรา_สนทนาธรรมไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕

 
khampan.a
วันที่  26 ก.พ. 2565
หมายเลข  42243
อ่าน  724

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



" มั่นคงไหมว่าไม่มีเรา "

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕




~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ นี้คือ จุดประสงค์

~ พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงแสดงให้หวังที่จะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เพื่อให้รู้ความจริงซึ่งกำลังเป็นจริงๆ เดี๋ยวนี้ แต่ไม่มีใครรู้เลย เพราะฉะนั้น ให้เข้าใจให้ถูกต้อง ว่า สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ สามารถรู้ความจริงของสิ่งนั้นได้ แต่ไม่รู้ความจริงเลยของสิ่งที่กำลังมี ไม่รู้ความจริงของเห็น ของคิด ของชอบ ของไม่ชอบ ของดีใจ ของสุข ของทุกข์ ของจำ ทุกอย่างหมด เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ฟังแล้วอยากรู้นิพพาน อยากรู้โน่นอยากรู้นี่ แต่ไม่ได้มีความเข้าใจสักนิดเดียวในสิ่งที่กำลังปรากฏแต่ละหนึ่ง

~ ต้องเข้าใจมั่นคงว่า ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ก่อนนี้ และขณะต่อไป สิ่งที่มีจริงขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นความไม่รู้ว่าเห็นเป็นอะไร ไม่รู้ว่าคิดเป็นอะไร ถ้ามีความเข้าใจขึ้น จะค่อยๆ ละความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจถูก เพื่อค่อยๆ ละความไม่รู้ และความติดข้อง จึงจะรู้ว่า สิ่งที่กำลังมี ที่ไม่รู้ ขณะนี้ สามารถรู้ จนถึงที่สุดได้ เพราะฉะนั้น ความไม่รู้และความติดข้องในสิ่งที่กำลังปรากฏที่มีเดี๋ยวนี้ สามารถจะหมดไปได้ไหม? เพราะฉะนั้น ต้องเห็นความจริง สิ่งที่มีขณะนี้ เกิดดับ ไม่มีใครเปลี่ยนได้ ทุกอย่างที่มี เมื่อวานนี้ทั้งหมด วันนี้ ทั้งหมด เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง มีความติดข้องในสิ่งที่มีจริง ก็ไม่สามารถที่จะหมดความไม่รู้ความสงสัย ความติดข้อง ในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้

~ นิพพาน คือ ขณะที่ดับความไม่รู้และความติดข้องในความเป็นตัวตนหมด ไม่เกิดอีกเลย

~ ถ้ายังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับขณะนี้ ยังไม่ละความติดข้อง ก็ไม่ไปถึงนิพพาน เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ตรัสให้อยากถึงนิพพาน แต่ให้รู้ความจริงว่านิพพานคืออะไร เพราะฉะนั้น การถึงนิพพาน ก็คือ การถึงขณะที่ไม่มีความสงสัย ไม่มีความไม่รู้ ไม่มีความติดข้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ หมด ไม่เกิดอีกเลยได้

~ ขณะนี้ เราพูดถึงสิ่งที่มีแล้วไม่รู้และก็ไม่คิดเลยว่าสิ่งนั้นควรอย่างยิ่งที่จะไม่เกิด โดยการที่รู้ความจริง ว่า เกิดแล้วดับไม่เหลืออะไรเลย จะมีประโยชน์อะไร

~ นิพพาน คือ ขณะที่จิตเข้าใจความจริงถึงที่สุด ไม่มีความสงสัยเหลือเลย ในการเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงนิพพาน โดยไม่รู้ ก็คือ ไม่มีสติ เพราะฉะนั้น สติ ไม่ใช่คำที่เราได้ยินแล้วอยากมี อยากรู้ อยากเข้าใจ เพราะฉะนั้น จึงต้องฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเคารพอย่างยิ่งในความลึกซึ้งของทุกอย่างที่มี แต่ไม่มีใครรู้ และทุกอย่างก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

~ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี จนกว่าจะรู้ค่อยๆ เห็นโทษ จึงสามารถที่จะไม่มีความสงสัย ไม่มีความไม่รู้ ไม่มีความเป็นตัวตนในสิ่งที่มีทั้งหมดได้

~ ต้องฟังด้วยความเข้าใจในแต่ละคำจนมั่นคง ว่า เข้าใจในคำนั้นจริงๆ ไม่เหลือความสงสัยในคำนั้น

~ ความดี มีไหม ความชั่ว มีไหม? นี่เป็นการเริ่มของสติที่จะรู้ว่าอะไร เป็นอะไร คนที่ทำชั่ว ขณะที่ทำชั่ว มีสติไหม? และทุกวัน ทุกคน ที่ทำความชั่ว มากน้อย ไม่รู้เลย เพราะไม่มีสติ เพราะไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว

~ ถ้ารู้ว่า สิ่งนั้นไม่ดี รู้จริงๆ จะทำสิ่งนั้นไหม? ถ้ารู้ว่าอะไรดี จะทำสิ่งที่ดีไหม? นี่เป็นสิ่งทั่วๆ ไปในชีวิตประจำวันของแต่ละคน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความลึกซึ้งของสิ่งที่กำลังมีแต่ละขณะ ไม่ว่าดีหรือชั่ว

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สติมีจริง ไม่ใช่เราเป็นอนัตตา ถ้ายังเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่ง เป็นเรา เป็นเขา ขณะนั้น ยังไม่รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหมายความว่าอย่างไร ที่ตรัสว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สิ่งที่คนอื่นไม่สามารถจะรู้ความจริงได้ คือ เดี๋ยวนี้ ซึ่งลึกซึ้ง เพราะทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีทั้งหมดให้เริ่มรู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพียงเป็นสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเร็วสุดที่จะประมาณได้

~ ตราบใดที่ยังคิดว่า สิ่งที่ไม่ดี นั้น เป็นเรา เป็นเขา เป็นใคร เป็นคนหนึ่งคนใด ไม่รู้ความจริงว่าไม่มีเรา เขาจะไม่ได้รับประโยชน์จากการฟังพระธรรมเลย

~ ต้องไม่ลืม ว่า ฟัง เพราะไม่รู้อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเพราะฉะนั้น ฟังคำของพระองค์ต่อไป เพื่อที่จะได้เข้าใจขึ้นในทุกคำที่พระองค์ตรัส

~ เวลาพูดถึงสติ หมายความว่า ต้องมีสภาพธรรมจริงๆ ซึ่งไม่ใช่อย่างอื่น แต่เป็นสติเท่านั้น

~ ต้องไม่ลืม แต่ละหนึ่งเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกัน

~ ต้องไม่ลืม ว่า เวลาพูดถึงสติ จะไม่คิดถึงเรื่องอื่น เพราะเรื่องอื่น สภาพธรรมอื่น ไม่ใช่สติ

~ กำลังจะเดินข้ามถนน ระวังดีๆ ไม่ให้รถชน เป็นสติหรือเปล่า? ขณะนั้น เป็นอะไรที่ไม่ใช่สติ (เช่น เห็น ได้ยิน เป็นต้น ไม่ใช่สติ) นี่คือ พระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้รู้สิ่งที่มี ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลย

~ ทุกขณะ ทุกคำที่เริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ค่อยๆ ละความไม่รู้ เป็นเพราะคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด

~ ตอบได้ว่า เห็น เป็นจิต แต่เดี๋ยวนี้ลืมว่าเห็นเป็นจิต ใช่ไหม? ถ้าเป็นผู้ที่ตรงและเข้าใจความลึกซึ้งของคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้แล้วเป็นผู้ตรัส ก็จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ยังไม่รู้จักเห็น ได้ยินแต่ชื่อ และเรียกชื่อ ว่า เห็น

~ มั่นคงไหมว่าไม่มีเรา? ถ้าไม่มีความมั่นคง ว่า ฟังธรรม เพื่อรู้จักธรรมจริงๆ ก็จะเป็นการฟังเรื่องไปตลอด เพราะไม่เข้าใจความลึกซึ้งจริงๆ ของธรรมซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงหนทาง คือ เริ่มฟัง ให้เข้าใจ จนกว่าจะรู้จักธรรมแต่ละหนึ่งจริงๆ

~ ธรรมลึกซึ้งไหม? แม้แต่ฟัง ก็ต้องรู้ว่า รู้จักเพียงชื่อ จนกว่าจะมีความมั่นคงว่าธรรมลึกซึ้งจริงๆ มีเดี๋ยวนี้ เห็นก็มีเดี๋ยวนี้ แต่ยังไม่มีความเข้าใจ ยังไม่รู้จักเห็นจริงๆ เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง ต้องเริ่มจากฟังแล้วเข้าใจมั่นคง เป็นปริยัติ ที่จะรู้ว่า ขณะนั้นยังไม่ได้รู้จักธรรมสักหนึ่ง ทั้งๆ ที่มีธรรมทั้งหมดในชีวิต

~ มั่นคงในความลึกซึ้งของพระธรรมหรือยัง มิฉะนั้น ไม่มีทางรู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่ได้เข้าใจสิ่งที่มี ว่า ไม่ใช่เรา ตามความเป็นจริง

~ อะไร ไม่ใช่เราบ้าง?

~ ถ้าสามารถเข้าใจธรรมละเอียดขึ้นลึกซึ้งขึ้น จะเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มากมายมหาศาลที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ใช่ไหม? สิ่งที่มีจริงๆ ทุกวัน ทุกชาติ ในสังสารวัฏฏ์ ไม่เคยรู้มาเลย แล้วสามารถเริ่มรู้ขึ้นในความลึกซึ้ง จะรู้ว่า ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจจริงๆ ทุกคำ

~ บางคนหาทางทุกอย่างที่จะทำให้เข้าใจธรรม ซึ่งผิดหมด เพราะเหตุว่า เขาไม่ได้เข้าใจความลึกซึ้งของธรรมที่ไม่มีใครสามารถจะไปทำเพื่อที่จะเข้าใจได้ แต่หนทาง คือ ความเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสจากการที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้แล้วทุกคำ

~ ปัญญาเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งของธรรม เริ่มรู้ว่าที่ได้ฟังทั้งหมด เป็นชื่อ แต่ขณะนี้ ธรรม มีจริงๆ ตรงตามคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง โดยชื่อต่างๆ เข้าใจอย่างนี้ เป็นหนทางเดียวจริงๆ ที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีจริงจนรู้แจ้งในอริยสัจจธรรมได้

~ ขณะที่กำลังฟัง สติเป็นสภาพที่ระลึกรู้ตรงที่ได้ฟัง และปัญญาก็เห็นถูกต้องตามคำที่ได้ฟัง

~ สติเป็นสภาพที่ระลึกเป็นไปในสิ่งที่ดีงาม ในกุศลทั้งปวง

~ ขณะใดที่คิดที่จะทำดีเพื่อผู้อื่น ให้เป็นประโยชน์ ขณะนั้นไม่ใช่คิดเรื่องธรรมดาทั่วๆ ไป เพราะสติ เป็นสภาพที่ระลึกเป็นไปในสิ่งที่ดี ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่รู้จักสติ คิดว่า เราให้ทาน

~ เมื่อเริ่มเข้าใจว่า ไม่มีเรา เริ่มมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เมื่อเริ่มเข้าใจว่าไม่มีเราเท่านั้น ไม่พอ ต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป จนกระทั่งรู้ว่าขณะนี้ ทุกอย่างไม่ใช่เรา

~ ขณะที่เข้าใจเท่านั้น ที่จะทำให้รู้ความจริง ว่า ไม่ใช่เรา

~ ขณะนี้ เป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคุณอาคิล เป็นคุณอาช่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือเปล่า? แต่ความจริง ไม่ใช่ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ความจริง ยังไม่เปิดเผย เพราะว่า ยังไม่มีความเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ไม่กลับมาอีกเลย แล้วจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคุณอาคิล เป็นคุณอาช่า เป็นเรา ได้อย่างไร

~ ความตรงต่อความจริง สำคัญที่สุด เป็นบารมี ความจริงเดี๋ยวนี้ คือ สิ่งที่กำลังปรากฏเกิดขึ้นแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย จริงไหม? เพราะฉะนั้น มั่นคงในความจริงที่จะรู้ว่า ถ้ารวมกันแล้วต้องเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ถ้าแยกออกเป็นแต่ละหนึ่ง จึงจะสามารถรู้ว่าสิ่งนั้นเกิด และ สิ่งนั้นดับ

~ เป็นผู้ที่ตรงต่อความเป็นจริง สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เป็นความจริงที่ทรงประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้น พระองค์ รู้ว่า คนอื่นไม่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งด้วยตัวเอง พระองค์จึงทรงพระมหากรุณาแสดงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมาเพื่อที่จะรู้ความจริงคือรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า นี่ เป็นเบื้องต้นที่จะนำไปสู่ความเข้าใจขึ้น

~ พระธรรมทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงๆ เป็นไปเพื่อละทั้งหมด ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความหวังความต้องการ

~ ยากแสนยากที่จะพ้นจากบ่วงของโลภะและความไม่รู้ เพราะว่า สะสมมานานมาก ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดรอบคอบ มั่นคง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นไปเพื่อละ

~ ไม่มีตัวตนที่จะรู้ ต้องเป็นความเข้าใจถูกความเห็นถูกเท่านั้นที่จะทำให้ละความไม่รู้และความเห็นผิดและความติดข้องได้ เข้าใจความหมายของขันติบารมี (อดทน) วิริยะบารมี (ความเพียร) สัจจะบารมี (ความตรง จริงใจ) อธิษฐานบารมี (ความตั้งใจมั่น) ไหม?

~ ใครทำให้ปัญญาเกิดได้ไหม?

~ ก่อนเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เกิดหรือเปล่า หรือว่าเกิดมาชาตินี้ก็เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย?

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสด้วยพระองค์เอง ว่า ชาติก่อน พระองค์เป็นอะไร นั่นคือ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Jans
วันที่ 26 ก.พ. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
petsin.90
วันที่ 26 ก.พ. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
tim7755tim
วันที่ 26 ก.พ. 2565

กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์และกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ

ปัญญารู้กุศลและอกุศลที่เกิดตามเหตุปัจจัย

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
panasda
วันที่ 26 ก.พ. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 26 ก.พ. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Sea
วันที่ 26 ก.พ. 2565

~ พระธรรมทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงๆ เป็นไปเพื่อละทั้งหมด ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความหวังความต้องการ

~ ยากแสนยากที่จะพ้นจากบ่วงของโลภะและความไม่รู้ เพราะว่า สะสมมานานมาก ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดรอบคอบ มั่นคง คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเป็นไปเพื่อละ

~ ไม่มีตัวตนที่จะรู้ ต้องเป็นความเข้าใจถูกความเห็นถูกเท่านั้นที่จะทำให้ละความไม่รู้และความเห็นผิดและความติดข้องได้ เข้าใจความหมายของขันติบารมี (อดทน) วิริยะบารมี (ความเพียร) สัจจะบารมี (ความตรง จริงใจ) อธิษฐานบารมี (ความตั้งใจมั่น) ไหม?


กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 27 ก.พ. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เมตตา
วันที่ 27 ก.พ. 2565

    ...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของ อ.คำปั่น และทุกๆ ท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 28 ก.พ. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Lai
วันที่ 28 ก.พ. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ สุจินต์บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ