ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๙
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมแล้วๆ เล่าๆ ถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จนกว่าผู้นั้นจะเกิดปัญญา ทรงมีพระมหากรุณาอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็ทรงแสดงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวงสิ้นเชิง เพื่อเขาจะเข้าใจ เมื่อเขาเข้าใจแล้วเขาก็เป็นผู้ที่ปลอดโปร่งจากการหลงผิด เพราะเขารู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่แท้จริงที่จะทำให้เกิดความทุกข์ ถ้ายังมีเหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์แล้วไม่รู้ ก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ต่อไป
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นประโยชน์โดยตลอด ทำให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ไม่มีแม้บทเดียว ที่จะไม่มีประโยชน์ เพราะเป็นความจริงจากการทรงตรัสรู้ของพระองค์ เป็นเรื่องของการขัดเกลาทั้งนั้น จึงจะเป็นพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาจากพระปัญญา ซึ่งรู้ว่าสัตว์โลกไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความรู้จะไม่มีเลยถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ฟังไว้ เพื่อที่จะค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ตามลำดับ
~ ถ้าเข้าใจผิด ไม่รู้ความจริง ไม่มีทางที่จะละคลายกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้กระทำชั่ว ได้เลย, ความชั่ว ทุจริตทั้งหลาย ไม่สามารถที่จะลดน้อยลงไปได้หรือดับหมดไปได้ ถ้าไม่ได้เข้าใจความจริงว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโลก ปัญญาประเสริฐที่สุด เพราะเหตุว่า ไม่ว่าจะยากไร้เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ถ้ามีปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ขณะนั้น ไม่เดือดร้อน แต่ถึงแม้ว่าจะมั่งมีมากมาย มีชื่อเสียง มีคำสรรเสริญ มีคำยกย่อง มีลาภยศ แต่ถ้าขณะนั้น ไม่เข้าใจ จิตใจก็เป็นทุกข์ได้
~ ด้วยความไม่รู้ ก็ทำให้คิดไปต่างๆ นานา แม้แต่จะปราบโลภะ จะพยายามทำให้โลภะไม่เกิด แต่ด้วยความไม่รู้อะไรเลย ขณะนั้นก็ด้วยโลภะนั่นเองที่มีความต้องการอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เห็นตัวโลภะ ด้วยปัญญาจริงๆ ไม่สามารถจะละได้ และ การละอกุศลต้องตามลำดับขั้น ละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงในขณะที่เห็น ไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏแล้วจะไปละโลภะได้อย่างไร ไม่มีทางเลย เรียกว่า “ข้าม” พยายามไปทำอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่หนทางที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งละเอียด คัมภีระ (ลึกซึ้ง)
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความจริงถึงที่สุด แต่ไม่ใช่เรา ปัญญา ก็มี สติ ก็มี ก็ไม่ใช่เรา อกุศล ก็มี ก็ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ความรู้นั่นแหละที่จะเห็นโทษของอกุศลและเห็นประโยชน์ของกุศล ซึ่งปัญญาประเสริฐสุดในบรรดาสังขารธรรม (ธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง) ทั้งหลาย
~ ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีแต่ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครไปทำเลย ถ้าไม่รู้อย่างนี้ ไม่มีทางที่จะถึงการรู้แจ้งสภาพธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางให้ประจักษ์แจ้งได้
~ เพราะเห็นประโยชน์ จึงฟังพระธรรม กิเลส เดือดร้อนไหม? อยู่ไม่ได้ ต้องไป เพราะว่ามีกุศลธรรมเกิดขึ้น
~ ฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ไตร่ตรองทุกคำ จึงจะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้และความยึดมั่นว่าเป็นเราและกิเลสทั้งหลายที่เกิดจากความไม่รู้และความยึดถือในสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
~ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ความเข้าใจทีละเล็กทีน้อย แต่มีค่ามหาศาล เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีขณะนี้ที่เริ่มเข้าใจ จะไม่มีความเข้าใจต่อไปอีกได้เลย
~ เกิดมาแล้วกี่ชาติในสังสารวัฏฏ์ไม่รู้ความจริง ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ความเข้าใจระดับต่างๆ เกิดจากอะไร? ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ยินได้ฟังเลย ใครจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้
~ ในฐานะที่ทุกคนก็เกิดมาร่วมโลก แล้วก็มีความไม่รู้ แล้วก็มีพระธรรม ซึ่งผู้ใดที่ได้ศึกษาแล้วเข้าใจแล้ว ก็ควรที่จะอนุเคราะห์คนอื่นด้วยความเมตตาจริงๆ ที่จะให้ไม่หันหลังให้พระสัทธรรม
~ ผิด ก็ต้องผิด ผิดจะเป็นถูกไม่ได้ ถูกก็ต้องถูก เพราะฉะนั้น อยู่ที่ว่า เข้าใจไหมว่าอะไรผิด ถ้าผิดแล้วจะแก้ไขไหม นี่คือ สิ่งที่สำคัญที่สุดของการที่ว่า ก่อนจะจากโลกนี้ไป ควรจะทำอะไร ถ้าจะเป็นประโยชน์จริงๆ ทั้งกับตนเองและคนอื่น ก็คือว่า รู้จริงว่าสิ่งใดผิด ต้องทิ้งไป แล้วสิ่งใดถูก ก็ต้องช่วยกันดำรงรักษาไว้ เพราะฉะนั้น จะเอาสิ่งที่ผิดมารวมกับสิ่งที่ถูก ไม่ได้
~ ถ้าไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีใครจะเข้าใจพระพุทธศาสนาบ้าง? ก็เพียงแต่เรียกว่าพระพุทธศาสนา แล้วก็ยังกล่าวคำว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ตรงหรือเปล่า? มั่นคงหรือเปล่า? เข้าใจหรือเปล่า?
~ ใครกำลังจะตายบ้าง? ลองคิด ทุกคนหรือเปล่า? ตายเดี๋ยวนี้ก็ได้จริงไหม? เพราะฉะนั้น ทุกคนก็กำลังจะตาย จนกว่าจะถึงขณะซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย แม้ความตายก็ต้องเป็นในขณะนั้นที่มีปัจจัยถึงพร้อมที่จะพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะเป็นบุคคลนี้อีกต่อไปไม่ได้เลยในสังสารวัฏฏ์
~ สิ่งที่ควรระลึกถึงบ่อยๆ คือ ความตาย ก่อนตายควรที่จะเป็นอย่างไร? นี้คือสิ่งที่สำคัญ เตรียมตัวที่จะเป็นคนใหม่หรือยัง จะเป็นคนใหม่ในชาติใหม่ก็มาจากคนนี้แหละ
~ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มีโอกาสที่จะทำความดีทุกอย่างทุกประการที่สามารถจะกระทำได้แม้เพียงเล็กน้อย ก็ควรทำ เพราะเหตุว่า ถ้าขณะนั้นไม่ใช่จิตที่ดี ก็เป็นอกุศลจิต, แม้เพียงเป็นกุศลจิต นิดเดียว ต่อไปจะเห็นค่าของหนึ่งขณะที่เป็นกุศล หรือแม้แต่การฟังธรรมแล้วเข้าใจแต่ละคำ แม้คำเดียว ก็มีค่า ที่จะทำให้เข้าใจคำอื่นต่อไปๆ
~ ทรัพย์ในโลกไม่สามารถติดตามใครไปได้เลย จะจากโลกนี้ไปวันไหน มีทรัพย์สมบัติสักเท่าไหร่ แม้แต่ร่างกายที่เคยเข้าใจว่าเป็นของเรา ก็ไม่สามารถติดตามไปได้เลย นอกจากคุณความดี ความเข้าใจธรรม หรือ ความชั่ว ความไม่เข้าใจธรรม ก็แล้วแต่ว่าคนนั้นจะสะสมอะไร ในขณะไหน ก็สะสมอยู่ในจิตทุกขณะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อเป็นสังสารวัฏฏ์ต่อไป
~ ความจริงแล้ว ผู้ที่จากไป (ตาย) ก็คือ ผู้ที่เกิดก่อนคนอื่นนั่นเอง เพราะว่าเมื่อตายแล้ว ต้องเกิด เพราะฉะนั้น ก็เป็นธรรมดาที่ขณะสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้หนึ่งขณะเองที่ทำกิจเคลื่อนพ้นความเป็นบุคคลนี้ เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ คือ จะเป็นบุคคลนี้ต่อไปอีกไม่ได้เลย
~ อกุศลแม้นิดเดียว มีแล้ว ก็จะเพิ่มขึ้น งอกงามขึ้น (คือ เกิดมากขึ้น) แล้วใครจะรู้ว่าวันไหนชาติไหน จะทำอย่างคนที่เราเห็นว่าเขาได้ทำอกุศลกรรม ซึ่งต้องระวังด้วย ถ้าชาตินี้เราประมาท ชาติหน้าเราทำ (อกุศลกรรม) อย่างนั้นได้แน่นอน เพราะกิเลสทุกวัน เพิ่มทุกวัน
~ การเจริญกุศลทุกประการ เป็นสิ่งที่ควรจะต้องกระทำ เว้นไม่ได้เลย สิ่งใดก็ตามที่เป็นกุศล แล้วยังไม่ได้กระทำ ขอให้พิจารณาว่า ชาตินี้จะกระทำได้ไหม กุศลอย่างนั้นๆ ที่ยังไม่ได้กระทำ แต่ว่าต้องเห็นคุณประโยชน์ของกุศลทุกประการด้วย
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๘
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ในฐานะที่ทุกคนก็เกิดมาร่วมโลก แล้วก็มีความไม่รู้ แล้วก็มีพระธรรม ซึ่งผู้ใดที่ได้ศึกษาแล้วเข้าใจแล้ว ก็ควรที่จะอนุเคราะห์คนอื่นด้วยความเมตตาจริงๆ ที่จะให้ไม่หันหลังให้พระสัทธรรม
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาค่ะ
สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโลก ปัญญาประเสริฐที่สุด เพราะเหตุว่า ไม่ว่าจะยากไร้เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ถ้ามีปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก ขณะนั้น ไม่เดือดร้อน แต่ถึงแม้ว่าจะมั่งมีมากมาย มีชื่อเสียง มีคำสรรเสริญ มีคำยกย่อง มีลาภยศ แต่ถ้าขณะนั้น ไม่เข้าใจ จิตใจก็เป็นทุกข์ได้
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์และกัลยาณมิตทุกท่านค่ะ
น้อมกราบเท้า อ.สุจินต์ เจ้าค่ะ
อนุโมทนา สาธุธรรมอันประเสริฐค่ะ
เห็นโทษเห็นภัยของความไม่รู้ จึงมีการฟังพระธรรม ทำให้เป็นผู้กล้าหาญที่จะรู้ความจริงฟังพระธรรมให้เข้าใจ ไม่มีเรา ไม่มีเขา มีแต่ธรรมสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม แต่เพราะไม่รู้ จึงศึกษาพระธรรมถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏแล้วปัญญาจะรู้อะไร ปัญญาจะต้องรู้ในสิ่งที่มีจริงแล้วปัญญาจะเจริญได้อย่างไร ต้องอาศัยปัจจัยสำคัญ คือ เริ่มศึกษา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ต่อไป
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมแล้วๆ เล่าๆ ถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จนกว่าผู้นั้นจะเกิดปัญญา ทรงมีพระมหากรุณาอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็ทรงแสดงโดยละเอียดโดยประการทั้งปวงสิ้นเชิง เพื่อเขาจะเข้าใจ เมื่อเขาเข้าใจแล้วเขาก็เป็นผู้ที่ปลอดโปร่งจากการหลงผิด เพราะเขารู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่แท้จริงที่จะทำให้เกิดความทุกข์ ถ้ายังมีเหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์แล้วไม่รู้ ก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ต่อไป
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ความเข้าใจทีละเล็กทีน้อย แต่มีค่ามหาศาล เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีขณะนี้ที่เริ่มเข้าใจ จะไม่มีความเข้าใจต่อไปอีกได้เลย
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ในฐานะที่ทุกคนก็เกิดมาร่วมโลก แล้วก็มีความไม่รู้ แล้วก็มีพระธรรม ซึ่งผู้ใดที่ได้ศึกษาแล้วเข้าใจแล้ว ก็ควรที่จะอนุเคราะห์คนอื่นด้วยความเมตตาจริงๆ ที่จะให้ไม่หันหลังให้พระสัทธรรม น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ไตร่ตรองทุกคำ จึงจะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้และความยึดมั่นว่าเป็นเราและกิเลสทั้งหลายที่เกิดจากความไม่รู้และความยึดถือในสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ทรัพย์ในโลกไม่สามารถติดตามใครไปได้เลย จะจากโลกนี้ไปวันไหน มีทรัพย์สมบัติสักเท่าไหร่ แม้แต่ร่างกายที่เคยเข้าใจว่าเป็นของเรา ก็ไม่สามารถติดตามไปได้เลย นอกจากคุณความดี ความเข้าใจธรรม หรือ ความชั่ว ความไม่เข้าใจธรรม ก็แล้วแต่ว่าคนนั้นจะสะสมอะไร ในขณะไหน ก็สะสมอยู่ในจิตทุกขณะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อเป็นสังสารวัฏฏ์ต่อไป น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ