ทุกข์เวทนาจาก ... ความเจ็บป่วย
เมื่อ ๒ - ๓ วัน ไม่สบายท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำ อาเจียน รู้สึกทรมานจัง แต่ก็พิจารณาอยู่ ทำให้คิดว่าถ้าเราเจ็บป่วยที่ต้องทรมานมากกว่านี้ เช่น เป็นมะเร็ง เราจะมีขันติอดทนความเจ็บปวดได้ไหมหนอ
ความทุกข์กาย เปรียบเสมือนแผลที่ถูกแทงด้วยลูกศรดอกแรก ความทุกข์ใจที่ตามมาเปรียบเสมือนลูกศรดอกที่สอง ที่ยิงซ้ำลงไปที่แผลเก่า ทุกข์กายห้ามไม่ได้ แต่ทุกข์ใจดับได้ด้วยปัญญา
พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่าเราควรพิจารณาเนืองๆ ว่าเรามีความเกิดเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเกิดไปไม่ได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ เรามีความแก่เป็นธรรมดาจะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ เรามีความตายเป็นธรรมดาจะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ เรามีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด เราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งปวง ทำดี ทำชั่วก็เป็นผู้ผลรับแห่งกรรมนั้น เมื่อพิจารณาอย่างนี้บ่อยๆ จะทำให้เราไม่ประมาทในการเจริญกุศลและรู้ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะกรรมที่เราเคยทำไว้ค่ะ ทุกข์กายเป็นผลของกรรม แต่ทุกข์ใจไม่ใช่ผลของกรรม เป็นกิเลสค่ะ
ถ้าเราเจ็บป่วยที่ต้องทรมานมากกว่านี้ เช่น เป็นมะเร็ง เราจะมีขันติอดทนความเจ็บปวดได้ไหมหนอ เมื่อสังขารธรรมปรุงแต่งจนสติพร้อมจะเกิด สติก็เกิดระลึกถึงความทุกข์กายโดยเป็นอารมณ์ของสติได้ (และแค่เพียงชั่วขณะจิตที่สติเกิดระลึกรู้สภาพธรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตรงที่เจ็บอยู่ขณะนั้น จะไม่มีความเจ็บปวดเกิดขึ้นในขณะนั้นเลย)
ทุกข์ใจ ไม่ใช่ผลของกรรม แต่ทุกข์กายเป็นผลของกรรม ขออนุโมทนา คุณ jinx มา ณ ที่นี้ครับ
อนุโมทนา
เมื่อยังมีความรู้สึกที่ไม่สบายกาย (จากความเจ็บป่วย) ไม่สบายใจ (จากเวทนา) อย่างนี้จะกล่าวได้ว่า อินทรี ๕ พละ ๕ ยังไม่เข้มแข็ง (อ่อน) หรือไม่ค่ะ เพราะเคยมีเวทนาที่เกิดจากความเจ็บป่วยเช่นกัน แต่ไม่อยากพ่ายแพ้ต่อกิเลส (ความอยากนอน) จึงทำกิจเหมือนทุกๆ วันที่เคยทำ คือ สวดมนต์และนั่งสมาธิ เมื่อไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงไปนอนพักผ่อน ขอความกรุณาช่วยพิจารณาให้ด้วยค่ะ ขออนุโมทนา
ความเจ็บป่วยเป็นผลของกรรม เป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงได้รับทุกขเวทนาทางกายเลย แต่ไม่ทุกข์ใจ เพราะพระพุทธเจ้าไม่มีกิเลส อยากแนะนำให้คุณ Nareopak ทำความดีทุกอย่างไปเรื่อยๆ ฟังธรรมะไปเรื่อยๆ อย่าขาดการฟังธรรมะ แล้วจะเข้าใจธรรมะเองค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ ตั้งแต่ได้ไปฟังธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ ที่บ้านธัมมะ เมื่อประมาณ ๔ - ๕ ปีมาแล้ว ท่านอาจารย์มีเมตตาให้ถ่ายภาพอาจารย์และท่านก็บอกว่าให้ฟังธรรมต่อไปเรื่อยๆ ได้ฟังธรรมที่ทางมูลนิธิจัดเผยแพร่ทางวิทยุ (รวมทั้ง CD,MP3 หนังสือ) มาโดยตลอดตั้งแต่วันนั้นจนถึงทุกวันนี้ อย่างน้อยวันละ ๑ ชม.ค่ะ
ปัจจุบันก็ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เพราะมีอารมณ์มากระทบ สติรับได้ทันก็เป็นปกติ ใจไม่หวั่นไหว หรือทุกข์ เมื่อวานนี้ มีเรื่องมาทดสอบพอดีทางที่ทำงาน กำลังจะจัดงานรณรงค์ไข้เลือดออกประจำปี ดิฉันก็มีหน้าที่ติดต่อประสานงานเกือบทั้งหมด ปรากฎว่าหนังสือที่เชิญหน่วยงานอื่นให้มาร่วม เกิดการผิดพลาด คือส่งผิดที่ ส่งเรื่องไปตั้งแต่วันที่ ๙ ก.ค ๕๐ ปรากฎว่าหน่วยงานที่เชิญยังไม่ได้รับ ผู้นำส่ง ไปส่งผิดที่ ตอนแรกที่ทราบ เห็นความรู้สึกอารมณ์โกรธของตัวเองชัด แต่พอมีสติรับทัน อารมณ์นั้นก็ดับไป โดยที่คนอื่นยังไม่ทราบว่าเราเริ่มโกรธจนน้องที่ห้องเดียวกันบอกว่า พี่ดีนะที่ไม่โกรธ แต่เปล่าหรอก ดิฉันโกรธแล้วแต่ยังไม่แสดงออกทางกายกับวาจาเท่านั้น มันระงับได้ก่อน จึงกลับมาสู่ใจที่เป็นปกติ ก็ติดตามให้น้องส่งเรื่องไปใหม่ จึงเห็นประโยชน์ของธรรมะมากเลย ที่ช่วยระงับดับทุกข์จากทั้งตัวเราเองและผู้อื่น ที่ไม่ต้องมาถูกเราบ่นหรือตำหนิให้ต้องเกิดโทสะด้วยกันทั้งคู่
ขออนุโมทนา คุณ oom ที่เจริญสติ ระงับโทสะไม่ให้เป็นไปทางกาย วาจา ที่จะเป็นโทษต่อตนและเพื่อนร่วมงานครับ