ใจหนัก หนักใจ
เป็นคนที่ชอบเข้าวัดฟังธรรมมาก และเป็นคนกลัวบาปมาก ดังนั้นเวลาไปวัดจะกลัวมากหากจะมีความคิดอะไรที่เป็นอกุศลเกิดขึ้นจะระวังตัวมาก และจะพยายามไม่ให้เกิดความนึกคิดที่เป็นอกุศลเลย แต่เหมือนเรายิ่งระวัง ความคิดมันจะยิ่งแกล้งให้เราคิด ทั้งที่ใจเราไม่ได้นึกหรือยินดีในความคิดที่เป็นอกุศลนั้นเลย ยิ่งบอกกับตัวเองว่าคิดแบบนี้ไม่ดีมันเป็นบาป ก็เหมือนกลายเป็นคำสั่งให้ความคิดมันยิ่งคิดใหญ่ และด้วยความที่บอกกับตัวเองเสมอว่า ถ้าเรามีความคิดที่ไม่ดี พระจะรู้ว่าเราคิดไม่ดี จะบาป จึงบังคับตัวเองไม่ให้คิดทุกครั้งที่เข้าวัดพอไปกดเพ่งบังคับก็รู้สึกไม่สบาย ไม่เบากายใจเลย รู้สึกมันหนักแน่นอยู่ในอกและทุกข์ใจมาก ควรตั้งจิตอย่างไรดีคะที่จะข้ามผ่านสภาวะตรงนี้ไปได้ ทุกครั้งที่เกิดความคิดก็บอกตัวเองเสมอ ว่าความคิดคือธรรม ไม่ใช่เรา แต่ความสบายใจก็ไม่เกิดขึ้นค่ะ ยังรู้สึกแน่นเหมือนเดิม ขอบพระคุณค่ะ
ควรทราบความจริงว่า อกุศลธรรมที่เคยสะสมมานาน เมื่อยังไม่ได้ดับด้วยอริยมรรคอกุศลธรรมเหล่านั้นเมื่อมีปัจจัยย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา จะห้ามหรือบังคับไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ พระพุทธเจ้าทรงแนะนำสาวกให้ศึกษาคือรู้อกุศลธรรมและสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง การศึกษาคือรู้อกุศลธรรมตามความเป็นจริงเป็นหนทางเพื่อการดับอกุศลเหล่านั้น ฉะนั้นในเบื้องต้นเมื่อปัญญายังไม่เพียงพอย่อมดับกิเลสไม่ได้ แต่การค่อยๆ รู้ตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรา เมื่อรู้ว่าไม่ใช่เรา ย่อมไม่เดือดร้อนกับอกุศลที่เกิดเพราะปัจจัย
ทุกคนอยากเป็นคนดี ไม่มีใครชอบโทสะ แต่ก็บังคับหรือห้ามไม่ให้โทสะเกิดไม่ได้ แม้แต่ความคิดจะบังคับให้คิดแต่สิ่งที่ดีๆ ก็ไม่ได้ เพราะมีเหตุปัจจัยให้คิดอย่างนั้น แต่สติสามารถระลึกรู้ว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่งที่ปรากฏแล้วก็ดับไป ไม่ใช่เรา อกุศลจิตเกิดก็รู้ว่าเป็นอกุศล ก็ยังดีกว่ากุศลจิตเกิดแต่ไม่รู้
เมื่อปัญญาเกิด ปัญญาจะทำหน้าที่ของปัญญาเอง ตัวตนจะค่อยๆ ละคลายไปทีละน้อย เหมือนกับการจับด้ามมีด ที่จะต้องจับไปจนกว่าจะสึก ต่อให้จะต้องจับสักกี่ภพชาติก็ตาม เมื่อมีเหตุปัจจัยแล้วผลย่อมสมควรแก่เหตุในสักวัน อย่าเพิ่งท้อเสียก่อนนะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
การฟังพระธรรมที่ถูกต้อง คือ เข้าใจความจริงของธรรมซึ่งมีปรากฎอยู่ในชีวิตประจำวัน กิเลสปรากฎอยู่ในชีวิตประจำวันเป็นธรรม เมื่อเป็นธรรมก็เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ปัญญายังไม่มาก ก็ไม่สามารถทำอะไรกิเลสได้ แต่ค่อยๆ เข้าใจตัวจริงของธรรมที่เกิดขึ้นว่าเป็นธรรม การศึกษาธรรม ไม่ใช่อยากให้ความทุกข์น้อยลงหรือไม่ให้กิเลสเกิด หรือเกิดน้อย เป็นไปไม่ได้เลย ในสังสารวัฏฏ์ที่เกิดมา เราสะสมอะไรมามาก กิเลสหรือปัญญา เมื่อสะสมกิเลสมาก ก็ย่อมเกิดกิเลสมากกว่าเป็นธรรมดา เราฟังธรรมมากหรือฟังเรื่องอื่นมาก แค่ชาตินี้ก็ได้ แม้เจอพระพุทธศาสนาฟังธรรมมากหรือฟังเรื่องอื่นมาก ก็เป็นเรื่องอื่น แล้วในสังสารวัฏฏ์ฟังเรื่องอะไรมาก
ดังนั้นปัญญาจึงน้อยเพราะเหตุให้เกิดปัญญามีน้อย (คือฟังพระธรรม) ดังนั้นปัญญาน้อยก็ไม่มีกำลังที่จะทำอะไรกิเลสได้ กิเลสก็เกิดมากเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าอบรมสี่อสงไขยแสนกัป ไม่ใช่ แสนชาติ ล้านชาติ มากกว่านั้น แล้วเราฟังเท่าไหร่ จะไม่ให้กิเลสเกิดได้อย่างไร เมื่อมีเหตุปัจจัย จึงอยากจะย้ำเสมอว่าการฟังธรรมที่ถูกต้อง ไม่ใช่เพื่อให้กิเลสน้อยลงหรือไม่เกิด เพราะเป็นหน้าที่ของธรรมที่จะทำให้กิเลสน้อยลงและไม่เกิด แต่ฟังเพื่อเข้าใจความจริงของสภาพธัมมะที่เกิดขึ้น แม้กิเลสก็เป็นธรรม ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ต้องละความเห็นผิดว่ายึดถือว่าเป็นเราก่อนครับ พึงสำเหนียกเถอะว่า ถ้ากิเลสไม่เกิดให้เรารู้ แล้วจะละความยึดถือในกิเลสว่าเป็นเราได้อย่างไร ลองอ่านข้อความในพระไตรปิฎกดูนะ เกี่ยวกับเรื่อง กิเลสเราสะสมมามาก จึงทำให้กิเลสเกิดเป็นปกติ ถ้าเกิดน้อย อย่างนั้นผิดปกติแล้วครับ ลองอ่านดูนะ
ขออนุโมทนาทุกความคิดเห็นค่ะจะพยายามต่อไปไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ตาม
ขออย่ายอมแพ้ อย่าอ่อนแอ และอย่าหวั่นไหว จงอาจหาญ ร่าเริง สู้มันต่อไป สาธุๆ ขออนุโมทนาครับ
กิเลสนี่ ช่างน่ากลัวจริงๆ ขนาดผู้มีปัญญายังถูกกิเลสครอบงำได้ จะทำอย่างไรดี
ละอย่างแรกคือละความเห็นผิดก่อน ทุกอย่างเกิดเพราะเหตุปัจจัย ฟังธรรมะ หรือศึกษาธรรมะให้เข้าใจจริงๆ ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก ขณะใดที่คิดว่าจะทำอะไรได้ ขณะนั้นก็มีตัวตนเข้าไปกระทำแล้วโดยไม่รู้ตัวเลย อวิชชาปิดกั้นทุกอย่าง ปิดอย่างแนบเนียนมาก แต่ก็ไม่มีหนทางอื่นมีหนทางนี้หนทางเดียว ศึกษาและฟังต่อไปจนกว่าจะเข้าใจ