สมุจจยักขันธกวรรณนา
[เล่มที่ 8] พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑
พระวินัยปิฏก เล่ม ๖
จุลวรรค ปฐมภาค
สมุจจยักขันธกวรรณนา 468
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 8]
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 468
สมุจจยักขันธก วรรณนา
มานัต ๔ อย่าง
วินิจฉัยในสมุจจยักขันธกะ พึงทราบดังนี้:-
คำว่า ฉารตฺตํ มานตฺตํ นี้ มีวินิจฉัยว่า มานัต ๔ อย่าง คือ อัปปฏิจฉันนมานัต ๑ ปฏิจฉันนมานัต ๑ ปักขมานัต ๑ สโมธานมานัต ๑.
ในมานัต ๔ อย่างนั้น ที่ชื่ออัปปฏิจฉันนมานัต ได้แก่ มานัต ที่สงฆ์ให้ภิกษุผู้ควรแก่มานัต โดยความเป็นผู้ต้องอาบัติล้วนเท่านั้นไม่ต้อง ให้ปริวาส เพื่ออาบัติที่ไม่ได้ปิด.
ที่ชื่อปฏิจฉันนมานัต ได้แก่ มานัตที่สงฆ์ให้แก่ภิกษุผู้อยู่ปริวาส เสร็จแล้ว เพื่ออาบัติที่ปิดไว้.
ที่ชื่อปักขมานัต ได้แก่ มานัตกึ่งเดือนที่สงฆ์ให้แก่นางภิกษุณี เพื่ออาบัติที่ปิดไว้หรือมิได้ปิด.
ที่ชื่อสโมธานมานัต ได้แก่ มานัตที่สงฆ์รวม คือ ประสบกัน ให้.
อัปปฏิจฉันนมานัต
บรรดามานัต ๔ อย่างนั้น สโมธานมานัตนี้ พึงทราบว่าเป็น อัปปฏิจฉันนมานัต ตามพระบาลีว่า มานัต ๖ ราตรี เพื่ออาบัติที่ ไม่ปิดไว้. เมื่อจะให้สโมธานมานัตนั้น ถ้าภิกษุเป็นผู้ต้องอาบัติตัวเดียว พึงให้ตามนัยที่กล่าวแล้วในอัปปฏิจฉันนมานัตนี้แล.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 469
ถ้าต้องอาบัติ ๒ ตัว หรือ ๓ ตัว หรือยิ่งกว่านั้น คำว่า เอกํ อาปตฺตึ อันท่านกล่าวแล้วฉันใดเล่า. คำว่า เทฺว อาปตฺติโย, ติสฺโส อาปตฺติโย ก็พึงกล่าวฉันนั้น. แต่ที่ยิ่งกว่านั้น ถ้าแม้เป็น จำนวนร้อย หรือจำนวนพัน, พึงกล่าวว่า สมฺพหุลา.
วิธีให้สำหรับอาบัติเหล่านั้น ที่สงฆ์จะพึงรวมอาบัติแม้มีวัตถุต่างๆ กันให้ ข้าพเจ้าจักกล่าวในการให้ปริวาส.
เมื่อมานัต อันสงฆ์ทำกรรมวาจาด้วยอำนาจแห่งอาบัติให้แล้วอย่าง นั้น มานัตตจาริกภิกษุพึงสมาทานวัตร ตามนัยที่กล่าวแล้วว่า มานตฺตํ สมาทิยามิ, วตฺตํ สมาทิยามิ, ดังนี้ นั่นแล ที่สีมาแห่งโรง ทีเดียว ในที่สุดแห่งกรรมวาจาว่า เอวเมตํ ธารยามิ.
ครั้นสมาทานแล้ว พึงบอกแก่สงฆ์ในสีมาแห่งโรงนั้นทีเดียวและ เมื่อจะบอก พึงบอกอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ต้องอาบัติตัวหนึ่ง ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ ไม่ได้ปิดไว้, ข้าพเจ้านั้นขอมานัต ๖ ราตรี ต่อสงฆ์ เพื่ออาบัติตัวเดียว ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ อันไม่ปิดไว้ ; สงฆ์ได้ให้มานัต ๖ ราตรี เพื่ออาบัติตัวเดียว ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ อันไม่ได้ปิดไว้แก่ข้าพเจ้านั้น; ข้าพเจ้านั้นประพฤติมานัตอยู่, ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าบอกให้รู้ ขอสงฆ์จงทรงข้าพเจ้าไว้ว่า บอกให้รู้ เทอญ. ก็แล จะถือเอาใจความนี้ บอกด้วยวาจาอย่างใดอย่างหนึ่ง สมควรเหมือน กัน. ครั้นบอกแล้ว ถ้ามีประสงค์จะเก็บ พึงเก็บในท่ามกลางสงฆ์ ตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล. เมื่อภิกษุทั้งหลายออกจากสีมาแห่งโรงไปเสีย จะเก็บในสำนักภิกษุรูปเดียว ก็ควร. ภิกษุผู้ออกจากสีมาแห่งโรงไปแล้ว
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 470
จึงกลับได้สติ พึงเก็บในสำนักภิกษุผู้ไปด้วยกัน. ถ้าภิกษุแม้นั้น ก็หลีก ไปเสีย ยังไม่ได้บอกแก่ภิกษุอื่น รูปใด ที่ในโรง, พึงบอกแก่ภิกษุ นั้นให้รู้แล้วเก็บเถิด และเมื่อบอก พึงกล่าวว่า เวทิยาตีติ มํ อายสฺมา ธาเรตุ, ขอผู้มีอายุจงทรงข้าพเจ้าไว้ว่า บอกให้รู้ เทอญ ดังนี้ ใน อวสาน.
เมื่อจะบอกแก่ภิกษุ ๒ รูป พึงกล่าวว่า อายสฺมนฺตา ธาเรนฺตุ. เมื่อจะบอกแก่ภิกษุ ๓ รูป พึงกล่าวว่า อายสฺมนฺโต ธาเรนฺตุ. จำเดิมแต่เวลาที่เก็บแล้วไป คงตั้งอยู่ในฐานผู้ปกตัตต์.
ถ้าวัดมีภิกษุน้อย, ภิกษุผู้เป็นสภาคกันอยู่; ไม่ต้องเก็บวัตรนับ ราตรี ณ ภายในวัดนั่นแล. ถ้าไม่อาจให้หมดจด. พึงเก็บวัตรตามนัยที่ กล่าวแล้วนั่นแล พร้อมด้วยภิกษุ ๔ รูปหรือ ๕ รูป แวะออกจากทาง ใหญ่นั่งในที่กำบัง ด้วยพุ่มไม้หรือด้วยรั้ว ให้เลย ๒ เลฑฑุบาตจาก เครื่องล้อมแห่งวัดที่ล้อม จากที่ควรแก่เครื่องล้อมแห่งวัดที่ไม่ได้ล้อม ในเวลาใกล้รุ่งทีเดียว. พึงสมาทานวัตรแล้วบอกตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล เฉพาะในภายในอรุณ.
ถ้าภิกษุอื่นบางรูปมาที่นั้น ด้วยกิจจำเป็นเฉพาะบางอย่าง ; ถ้า มานัตตจาริกภิกษุนั่น เห็นภิกษุนั้น หรือได้ยินเสียงของเธอ. ควรบอก เมื่อไม่บอก เป็นรัตติเฉท ทั้งเป็นวัตตเภท.
ถ้าภิกษุนั้นล้ำอุปจารเข้าไป ๓๒ ศอกแล้วไปเสียแต่เมื่อมานัตตจาริกภิกษุยังไม่ทันรู้, มีแต่รัตติเฉทเท่านั้น ส่วนวัตตเภทไม่มี.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 471
ก็แล จำเดิมแต่กาลที่ได้บอกแล้วไป มีภิกษุทั้งหลายเว้นภิกษุ ไว้รูปหนึ่ง ที่เหลือจะไปเสียในเมื่อมีกิจจำเป็นก็ควร ครั้นอรุณขึ้นแล้ว พึงเก็บวัตรในสำนักภิกษุนั้น. ถ้าภิกษุแม้นั้นไปเสียก่อนอรุณด้วยกรรม บางอย่าง มานัตตจาริกภิกษุเห็นภิกษุใดก่อน จะเป็นภิกษุอื่นซึ่งออกจาก วัดไปก็ตาม เป็นอาคันตุกะก็ตาม พึงบอกแล้วเก็บวัตรในสำนักภิกษุนั้น.
ก็มานัตจาริกภิกษุนี้ บอกแก่คณะและคอยกำหนดความที่มีภิกษุ หลายรูปอยู่ ด้วยเหตุนั้น โทษเพราะประพฤติในคณะพร่องหรือโทษ เพราะอยู่ปราศ จึงไม่มีแก่เธอ.
พระมหาสุมัตเถระกล่าวว่า ถ้าไม่เห็นใครๆ , พึงไปวัดแล้วเก็บ ในสำนักภิกษุรูปหนึ่ง ในบรรดาภิกษุที่ไปกับตน.
ส่วนพระมหาปทุมเถระกล่าวว่า เห็นภิกษุใดก่อน, พึงบอกแล้ว เก็บในสำนักภิกษุนั้น. นี้เป็นบริหารของภิกษุผู้เก็บวัตรแล้ว.
ภิกษุนั้นครั้นประพฤติมานัต ๖ ราตรีไม่ขาดอย่างนั้นแล้ว พึงขอ อัพภานในที่ซึ่งมีภิกษุสงฆ์เป็นคณะ ๒๐ รูป. และภิกษุทั้งหลายผู้จะ อัพภาน พึงทำเธอให้เป็นผู้ควรแก่อัพภานก่อน.
จริงอยู่ ภิกษุนี้ชื่อว่าตั้งอยู่ในฐานผู้ปกตัตต์ เพราะเธอเก็บวัตร เสียแล้ว. และจะทำอัพภานแก่ปกตัตต์ ย่อมไม่ควร. เพราะฉะนั้น พึงให้เธอสมาทานวัตร. เธอย่อมเป็นผู้ควรแก่อัพภาน ในเมื่อสมาทาน วัตรแล้ว. แม้เธอพึงสมาทานวัตรแล้วบอก แล้วขออัพภาน. กิจที่จะ ต้องสมาทานวัตรอีก ย่อมไม่มีแก่ผู้มีได้เก็บวัตร.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 472
จริงอยู่ ภิกษุผู้มีได้เก็บวัตรนั้น เป็นผู้ควรแก่อัพภาน โดยล่วง ๖ ราตรีเท่านั้น. เพราะเหตุนั้น เธออันสงฆ์พึงอัพภาน
อัพภานวิธีในอัปปฏิจฉันนาบัตินั้นนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน พระบาลีว่า เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว อพฺเภตพฺโพ ดังนี้ นั่นแล แต่อัพภานวิธีนี้ พระองค์ตรัสด้วยอำนาจอาบัติตัวเดียว. ก็ถ้าเป็นอาบัติ ๒ - ๓ ตัว หรือมากมาย มีวัตถุเดียวหรือมีวัตถุต่างๆ กัน. พึงทำ กรรมวาจาด้วยอำนาจอาบัติเหล่านั้น อัปปฏิจฉันนมานัต สงฆ์พึงให้ ด้วยประการอย่างนี้.
ปริวาส
ก็ปฏิจฉันนมานัต เป็นของที่สงฆ์ควรให้แก่ภิกษุผู้อยู่ปริวาสเพื่อ อาบัติที่ปกปิดไว้เสร็จแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจักกล่าวปริวาสกถา ก่อน แล้วจึงจักกล่าวปฏิจฉันนมานัต นั้น
ปริวาสและมานัต พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยอาการเป็นอเนกใน พระบาลีโดยนัยเป็นต้นว่า ถ้ากระนั้น สงฆ์จงให้ปริวาสวันหนึ่งเพื่อ อาบัติ ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิอันปิดไว้วันเดียว แก่ภิกษุอุทายีเถิด
วินิจฉัยที่ท่านได้กล่าวไว้ในอาคตสถานของปริวาสและมานัตนั้นๆ ถึงความพิสดารเกินไปเหมือนในบาลี ทั้งเป็นวินิจฉัยที่ใครๆ ไม่อาจ กำหนดได้โดยง่าย. เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจักประมวลปริวาสและมานัต นั้นแสดงในอธิการนี้ทีเดียว.
ก็แล ขึ้นชื่อว่าปริวาสนี้ ที่ประสงค์ในพระบาลีนี้ มี ๓ อย่าง คือ ปฏิจฉันนปริวาส ๑ สุทธันตปริวาส ๑ สโมธานปริวาส ๑.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 473
ใน ๓ อย่างนั้น ปฏิจฉันนปริวาส ควรให้เพื่ออาบัติตามที่ปิดไว้ ก่อน.
จริงอยู่ อาบัติของภิกษุบางรูปปิดไว้วันเดียว เหมือนอาบัตินี้ของ พระอุทายีเถระ, ของบางรูปปิด ๒ วันเป็นต้น เหมือนอาบัติของพระยุทายีเถระนั่นเอง ซึ่งมาแล้วข้างหน้า, ของบางรูปมีตัวเดียวเหมือน อาบัตินี้, ของบางรูปมี ๒ - ๓ ตัวหรือยิ่งกว่านั้น เหมือนที่มาแล้วข้าง หน้า. เพราะเหตุนั้น เมื่อสงฆ์จะให้ปฏิจฉันนปริวาส ควรทราบความ ที่อาบัติเป็นอันปิดเป็นทีแรกก่อน.
อาการปิดอาบัติ
ก็แล ขึ้นชื่อว่าอาบัตินี้ ย่อมเป็นอันปิดด้วยอาการ ๑๐ อย่าง. หัวข้อในการปิดอาบัตินั้นดังนี้:-
เป็นอาบัติ และรู้ว่าเป็นอาบัติ, เป็นผู้ปกตัตต์ และรู้ว่าเป็นผู้ ปกตัตต์, เป็นผู้ไม่มีอันตราย และรู้ว่าเป็นผู้ไม่มีอันตราย เป็นผู้อาจอยู่ และรู้ว่าเป็นผู้อาจอยู่, เป็นผู้ใคร่จะปิด และปิดไว้.
ในหัวข้อเหล่านี้ ๒ ข้อว่า เป็นอาบัติและรู้ว่าเป็นอาบัติ มีอธิบาย ว่า ภิกษุต้องอาบัติใด จัดว่าเป็นอาบัตินั้นแท้. และแม้เธอก็มีความ สำคัญในอาบัตินั้นว่า เป็นอาบัติเหมือนกัน. เมื่อภิกษุรู้อยู่อย่างนี้และ ปิดไว้ เป็นอันปิด. แต่ถ้าภิกษุนี้ มีความสำคัญในอาบัตินั้นว่า เป็น อนาบัติ ไม่เป็นอันปิด.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 474
ส่วนอนาบัติ ซึ่งภิกษุปิดอยู่ด้วยความสำคัญว่า เป็นอาบัติก็ดี ด้วย ความสำคัญว่า เป็นอนาบัติก็ดี ไม่เป็นอันปิดเลย.
ภิกษุปิดลหุกาบัติ ด้วยสำคัญว่า เป็นครุกาบัติ ก็ดี ปิดครุ- กาบัติ ด้วยสำคัญว่า เป็นลหุกาบัติ ก็ดี; อนึ่ง เธออยู่ในพวกอลัชชี อาบัติไม่เป็นอันปิด.
ภิกษุสำคัญครุกาบัติว่า เป็นลหุกาบัติ และแสดง, อาบัตินั้น ไม่เป็นอันแสดง ไม่เป็นอันปิด.
รู้จักครุกาบัติว่า เป็นครุกาบัติ แล้วปิดไว้ เป็นอันปิด. ไม่รู้จัก ว่าเป็นอาบัติหนักอาบัติเบา คิดว่า เราปิดอาบัติ แล้วปิดไว้ เป็นอัน ปิดแท้.
ภิกษุไม่ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ๓ อย่าง ชื่อว่าผู้ปกตัตต์.
ถ้าเธอเป็นผู้มีความสำคัญว่า ตนเป็นผู้ปกตัตตะ ปิดไว้ เป็นอัน ปิดไว้แท้ ถ้าเธอเป็นผู้มีความสำคัญตนว่า ไม่ใช่ผู้ปกตัตต์ ด้วยเข้าใจ ว่า สงฆ์ทำกรรมแก่เรา และปิดไว้ ไม่เป็นอันปิดก่อน.
อาบัติแม้ที่ภิกษุมิใช่ผู้ปกตัตต์ ซึ่งมีความสำคัญตนว่าเป็นผู้ปกตัตต์ หรือสำคัญตนว่า มิใช่ผู้ปกตัตต์ ปิดแล้ว ไม่เป็นอันปิดแท้.
จริงอยู่ คำนี้แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสไว้ (ในคัมภีร์บริวาร) ดังนี้ว่า :-
บุคคลต้องครุกาบัติมีส่วนเหลือ. อาศัยความไม่เอื้อเฟื้อปิดไว้, บุคคลนั้นไม่ใช่ภิกษุณี แต่ไม่พึงต้องโทษ; ปัญหานี้ ท่านผู้ฉลาดทั้ง หลายติดกันแล้ว, จริงอยู่ ปัญหานี้ ท่านกล่าวด้วยภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 475
ข้อว่า อนนฺตรายิโก มีความว่า ในอันตราย ๑๐ อย่าง อันตรายแม้อย่างหนึ่ง ไม่มีแก่ภิกษุใด, ถ้าภิกษุนั้น เป็นผู้มีความ สำคัญว่าไม่มีอันตราย แล้วปิดไว้. อาบัตินั้นเป็นอันปิดแท้.
ถ้าแม้เธอผู้มีความสำคัญว่า มีอันตรายเพราะอมนุษย์และสัตว์ร้ายใน เวลากลางคืน เพราะเป็นผู้มีชาติแห่งคนขลาด จึงปิดไว้ อาบัตินั้นไม่ เป็นอันปิดก่อน.
ก็เมื่อภิกษุใดอยู่ในวิหารใกล้ภูเขา ครุกาบัติเป็นของภิกษุนั้นจะต้อง ข้ามซอกเขาหรือคงหรือแม่น้ำไปบอก. ภัยมีสัตว์ดุร้ายและอมนุษย์เป็นต้น มีในระหว่างทาง, งูทั้งหลายย่อมนอนในทาง แม่น้ำเต็ม, และเมื่อ อันตรายนั้นมีอยู่จริงๆ เธอมีความสำคัญว่ามีอันตราย จึงปิดไว้, อาบัติ นั้นไม่เป็นอันปิดก่อน.
อนึ่งเมื่อภิกษุผู้มีอันตราย ปิดไว้ด้วยสำคัญว่าไม่มีอันตราย อาบัติ นั้นไม่เป็นอันปิดเหมือนกัน.
ข้อว่า ปหุ มีความว่า ภิกษุใดอาจเพื่อจะไปสู่สำนักภิกษุ และ เพื่อจะบอกได้. ถ้าเธอเป็นผู้มีความสำคัญว่าคนอาจ แล้วปิดไว้, อาบัติ นั้นเป็นอันปิดเทียว. ถ้าที่ปากของเธอเป็นฝีเล็กน้อย. หรือลมเสียดคาง, หรือฟันปวด, หรือได้ภิกษาน้อย; ก็แลด้วยเหตุเพียงเท่านั้น จะจัดว่า ไม่อาจบอก ไม่อาจไป หาได้ไม่. ก็แต่ว่าเธอเป็นผู้มีความสำคัญว่า เราไม่อาจ ภิกษุนี้ เป็นผู้อาจ แต่ชื่อว่าผู้มีความสำคัญ ว่า ตนไม่อาจ. อาบัติแม้ที่ภิกษุนี้ปิดไว้ จัดว่าไม่เป็นอันปิด.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 476
อนึ่ง อาบัติที่ภิกษุผู้ไม่อาจ คือ ไม่สามารถจะบอกหรือจะไป จะมีความสำคัญว่า ตนอาจก็ตาม มีความสำคัญว่า ตนไม่อาจก็ตาม ปิดไว้ ไม่เป็นอันปิดแท้.
ข้อว่า เป็นผู้ใคร่จะปิด และปิดไว้ นี้ ตื้นทั้งนั้น.
แต่ถ้าภิกษุทอดธุระว่า เราจักปิด ครั้นในปุเรภัต หรือปัจฉาภัต หรือในยามทั้งหลาย มีปฐมยามเป็นต้น หยั่งลงสู่ลัชชีธรรม บอกเสีย ภายในอรุณนั่นเอง; ภิกษุนี้ ชื่อว่าผู้ใคร่จะปิดแต่ไม่ปิด.
แต่เมื่อภิกษุใด อยู่ในสถานไม่มีภิกษุ ต้องอาบัติแล้วคอยความ มาแห่งภิกษุผู้เป็นสภาคกัน หรือไปสู่สำนักของภิกษุผู้เป็นสภาคกันอยู่ล่วง ไปกึ่งเดือนก็ดี เดือนหนึ่งก็ดี; ภิกษุนี้ ชื่อว่าปิดไว้ ทั้งที่ไม่ประสงค์ จะปิด, แม้อาบัตินี้ก็ไม่เป็นอันปิด.
ฝ่ายภิกษุผู้ใดพอต้องเข้าแล้ว รีบหลีกไปสู่สำนักภิกษุผู้เป็นสภาค กัน กระทำให้แจ้งเสีย เหมือนบุรุษเหยียบไฟฉะนั้น; ภิกษุนี้ชื่อว่า ผู้ไม่ประสงค์จะปิด ทั้งไม่ปิด.
แต่ถ้าแม้เห็นภิกษุผู้เป็นสภาคกันแล้วแต่ไม่บอก เพราะกระดากว่า ผู้นี้เป็นอุปัชฌาย์ของเรา หรือว่า ภิกษุนี้เป็นอาจารย์ของเรา. อาบัติ เป็นอันปิดแท้.
จริงอยู่ ความเป็นอุปัชฌาย์เป็นต้น ไม่เป็นประมาณในการบอก อาบัตินี้, ข้อที่ภิกษุไม่ใช่ผู้มีเวรและเป็นสภาคกันเท่านั้น เป็นประมาณ เพราะเหตุนั้น ควรบอกในสำนักภิกษุซึ่งไม่ใช่ผู้มีเวรและเป็นสภาคกัน.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 477
ฝ่ายภิกษุใดเป็นวิสภาคกัน เป็นผู้มุ่งจะฟังแล้วประจาน, ไม่ควร บอกในสำนักภิกษุเห็นปานนั้น แม้เป็นอุปัชฌาย์.
บรรดากาลเหล่านั้น ภิกษุเป็นผู้ต้องอาบัติในปุเรภัตก็ตาม ปัจฉาภัตก็ตาม กลางวันก็ตาม กลางคืนก็ตาม, ควรบอกเสียตั้งแต่อรุณยัง ไม่ขึ้น. เมื่ออรุณขึ้นแล้วอาบัตินั้นเป็นอันปิดด้วย. ทั้งต้องทุกกฏเพราะ ความปิดเป็นปัจจัย. จะทำให้แจ้งในสำนักภิกษุผู้ต้องสังฆาทิเสสชนิดเดียว กัน ไม่ควร.
ถ้าจะทำให้แจ้ง อาบัติเป็นอันเปิดเผย, แต่ภิกษุไม่พ้นอาบัติทุกกฏ; เพราะเหตุนั้น ควรเปิดเผยในสำนักภิกษุผู้บริสุทธิ์
ในกุรุนทีแก้ว่า และเมื่อจะเปิดเผย จงกล่าวว่า ข้าพเจ้าแจ้ง อาบัติตัวหนึ่งในสำนักของท่าน, หรือว่า ข้าพเจ้าบอกอาบัติตัวหนึ่งใน สำนักของท่าน, หรือว่า ข้าพเจ้ากล่าวอาบัติตัวหนึ่งในสำนักของท่าน, หรือว่า ท่านจงทราบความที่ข้าพเจ้าต้องอาบัติตัวหนึ่ง, ก็ได้, จงบอก โดยนัยเป็นต้นว่า ข้าพเจ้าแจ้งครุกาบัติตัวหนึ่ง ดังนี้ก็ได้, อาบัติไม่ เป็นอันปิด ด้วยอาการแม้ทั้งปวง. แต่ถ้าภิกษุกล่าวโดยนัยเป็นต้นว่า ข้าพเจ้าแจ้งลหุกาบัติ ดังนี้ อาบัตินั้นอันปิดไว้แท้.
อาบัติเป็นอันบอกด้วยอาการทั้ง ๓ อย่าง คือ บอกเฉพาะวัตถุ, บอกเฉพาะอาบัติ, บอกทั้ง ๒. อันสงฆ์จะให้ปฏิฉันนปริวาส พึงกำหนด เหตุ ๑๐ เหล่านี้ ทราบความที่อาบัติเป็นอันปิดเสียก่อน ด้วยประการ ฉะนี้.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 478
วิธีให้ปริวาส
ลำดับนั้น พึงกำหนดวันที่ปิดและอาบัติ, ถ้าปิดไว้วันเดียวเท่านั้น; พึงให้ขออย่างนี้ว่า:-
อหํ ภนฺเต เอกํ อาปตฺตึ อาปชฺชึ สญฺเจตนิกํ สุกฺกวิสฏฺึ เอกาหปฏิจฉนฺนํ.
แล้วพึงสวดกรรมวาจาให้ปริวาส ตามนัยที่กล่าวแล้วในบาลีนี้ นั่นแล.
ถ้าปิดได้ ๒ วัน ๓ วันเป็นต้น พึงให้ขออย่างนี้ว่า :-
ทฺวีหปฏิจฺฉนฺนํ, ตีหปฏิจฺฉนฺนํ, จตูหปฏิจฺฉนฺนํ, ปญฺจาหปฏิจฺฉนฺนํ, ฉาหปฏิจฺฉนฺนํ, สตฺตาหปฏิจฺฉนฺนํ, อฏฺาหปฏิจฺฉนฺนํ, นวาหปฏิจฺฉนฺนํ, ทสาหปฏิจฺฉนฺนํ, เอกาทสาหปฏิจฺฉนฺนํ, ทฺวาทสาหปฏิจฺฉนฺนํ, เตรสาหปฏิจฺฉนฺนํ, จุทฺทสาหปฏิจฺฉนฺนํ.
พึงแต่งคำประกอบตามจำนวนวัน เพียง ๑ วัน ด้วยประการ ฉะนี้.
สำหรับอาบัติที่ปิดไว้ ๑๕ วัน พึงแต่งคำสวดประกอบว่า ปกฺขปฏิจฺฉนฺนํ. ตั้งแต่ ๑๕ วันไปจนถึงวันที่ ๒๙ พึงแต่งคำสวดประกอบว่า อติเรกปกฺขปฏิจฺฉนฺนํ ตั้งแต่ ๒๙ วันขึ้นไป พึงแต่งคำสวดประกอบ ว่า มาสปฏิจฺฉนฺนํ, อติเรกมาสปฏิจฺฉนฺนํ, ทฺวิมาสปฏิจฺฉนฺนํ, อติเรกทฺวิมาสปฏิจฺฉนฺนํ, เตมาสปฏิจฺฉนฺนํ, อติเรกเตมาส ปฏิจฺฉนฺนํ, จตุมาสปฏิจฺฉนฺนํ, อติเรกจตุมาสปฏิจฺฉนฺนํ,
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 479
ปญฺจมาสปฏิจฺฉนฺนํ, อติเรกปญฺจมาสปฏิจฺฉนฺนํ ฉมาส, อติเรกฉมาส, สตฺตมาส, อติเรกนวมาส, ทสมาส, อฏิมาส, อติเรกอฏฺมาส. นวมาส, อติเรกนวมาส, ทามาส, อติเรกทสมาส, เอกาทสมาส, อติเรกเอกาทสมาสปฏิจฺฉนฺนํ.
เมื่อเต็มปี พึงแต่งคำสวดประกอบว่า เอกสํวจฺฉรปฏิจฺฉนฺนํ.
เบื้องหน้าแต่นั้น พึงแต่งคำสำหรับสวดประกอบอย่างนี้ว่า อติ- เรกเอกสํวจฺฉร, ทฺวิสํวจฺฉร, อติเรกทฺวิสํวจฺฉร, ติสํวจฺฉร, อติเรกติสํวจฺฉร, จตุสํวจฺฉร, อติเรกจตุสํวจฺฉร, ปญฺจสํวจฺฉร, อติเรกปญฺจสํวจฺฉรปฏิจฺฉนฺนํ, ดังนี้ จนถึงว่า สฏฺิสํวจฺฉร, อติเรกสฏฺิสํวจฺฉรปฏิจฺฉนฺนํ หรือแม้ยิ่งกว่านั้น.
และถ้าเป็นอาบัติ ๒ ตัว หรือยิ่งกว่านั้น พึงกล่าวว่า เทฺว อาปตฺติโย, ติสฺโส อาปตฺติโย, เหมือนที่ได้กล่าวไว้ในที่นี้ว่า เอกํ อาปตฺตึ ฉะนั้น. แต่ที่เกินกว่านั้น จะเป็นร้อยหนึ่ง หรือพันหนึ่งก็ตาม สมควรกล่าวว่า สมฺพหุลา.
แม้ในอาบัติที่มีวัตถุต่างๆ กัน พึงแต่งคำสวดประกอบด้วยอำนาจ แห่งจำนวนอย่างนี้ว่า:-
อหํ ภนฺเต สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชึ เอกํ สุกฺกวิสฏฺิ เอกํ กายสํสคฺคํ เอกํ ทุฏฺฐุลฺลํ วาจํ เอกํ อตฺตกามปาริจริยํ เอกํ สญฺจริตํ เอกาหปฏิจฺฉนฺนาโย หรือด้วย อำนาจแห่งการระบุวัตถุอย่างนี้ว่า :-
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 480
อหํ ภนฺเต สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชึ นานาวตถุกาโย เอกาหปฏิจฺฉนฺนาโย หรือด้วยอำนาจแห่งการระบุ ชื่ออย่างนี้ว่า :-
อหํ ภนฺเต สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชึ เอกาหปฏิจฉนฺนาโย.
ในวัตถุและชื่อนั้น ชื่อมี ๒ อย่าง คือชื่อที่ทั่วไปของอาบัติที่มีชาติ เสมอกัน ๑ ชื่อที่ทั่วไปของอาบัติทั้งปวง ๑.
ในชื่อทั้ง ๒ อย่างนั้น คำว่า สงฺฆาทิเสโส เป็นชื่อที่ทั่วไปของ อาบัติที่มีชาติเสมอกัน.
คำว่า อาปตฺติ เป็นชื่อที่ทั่วไปของอาบัติทั้งปวง.
เพราะฉะนั้น ควรอยู่ที่จะแต่งคำสวดประกอบ แม้ด้วยอำนาจแห่ง ชื่อที่ทั่วไปของอาบัติทั้งปวง อย่างนี้ สมฺพหุลา อาปตฺติโย อาปชฺชึ เอกาหปฏิจฺฉนฺนาโย.
จริงอยู่ วินัยกรรมมีปริวาสเป็นต้นแม้ทั้งปวงนี้ สมควรแท้ที่จะ แต่งคำสวดประกอบด้วยอำนาจแห่งวัตถุ ด้วยอำนาจแห่งโคตรด้วยอำนาจ แห่งชื่อ และด้วยอำนาจแห่งอาบัติ.
ในวัตถุและโคตรเป็นต้นนั้น คำว่า สุกฺกวิสฏฺิ เป็นวัตถุด้วย เป็นโคตรด้วย.
คำว่า สงฺฆาทิเสโส เป็นชื่อด้วย เป็นอาบัติด้วย
คำว่า กายสํสคฺโค เป็นวัตถุด้วย เป็นโคตรด้วย
คำว่า สงฺฆาทิเสโส เป็นชื่อด้วย เป็นอาบัติด้วย
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 481
ในวัตถุเป็นต้นนั้น วัตถุและโคตร เป็นอันถือเอาแล้วด้วยคำว่า สุกฺกวิสฏฺิ และ กายสํสคฺโค เป็นอาทิบ้าง ด้วยคำว่า นานาวัตฺถุกาโย บ้าง
ชื่อและอาบัติเป็นอันถือเอาแล้ว ด้วยคำว่า สงฺฆาทิเสโส บ้าง ด้วยคำว่า อาปตฺติโย บ้าง.
และในบาลีนี้ ทั้งชื่อ ทั้งวัตถุและโคตร เป็นอันถือเอาแล้วแท้ ด้วยคำว่า เอกํ อาปตฺตึ อาปชฺชึ สญฺเจตนิกํ สุกฺกวิสฏฺึ.
เหมือนอย่างว่า ในบาลีนี้ ท่านกล่าวว่า อยํ อุทายิ ภิกฺขุ ฉันใด, ภิกษุใดๆ เป็นผู้ต้อง. พึงถือเอาชื่อของภิกษุนั้นๆ ทำกรรมวาจาว่า อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ ฉันนั้น.
ในเวลาจบกรรมวาจา ภิกษุนั้นพึงสมาทานวัตรในสีนาแห่งโรง ทีเดียว ตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นแลว่า ปริวาสํ สมาทิยามิ วตฺตํ สมาทิยามิ ครั้นมาทานแล้ว พึงบอกในท่ามกลางสงฆ์ ในสีมาแห่ง โรงนั้นแล ก็แล เมื่อจะบอก พึงบอกอย่างนี้ว่า :-
อหํ ภนฺเต เอกํ อาปตฺตึ อาปชฺชึ สญฺเจตนิกํ สุกฺกวิสฏฺิ เอกาหปฏิจฺฉนฺนํ, โสหํ สงฺฆ์ เอกิสฺสา อาปตฺติยา สญฺเจตนิกา สุกฺกวิสฏิยา เอกาหปฏิจฺฉนฺนาย เอกาหปริวาสํ ยาจึ, ตสฺส เม สงฺโฆ เอกิสฺสา อาปตฺติยา สญฺเจตนิกาย สกฺกวิสฏิยา เอกาหปฏิจฺฉนฺนาย เอกาหปริวาสํ อทาสิ. โสหํ ปริวสามิ, เวทิยามหํ ภนฺเต, เวทิยตีติ มํ สงฺโฆ ธาเรตุ. ก็แล สมควรแท้ที่จะถือเอาใจความนี้ บอกด้วยภาษาอย่างใดอย่างหนึ่ง.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 482
ครั้นบอกแล้ว ถ้าประสงค์จะเก็บ พึงเก็บในท่ามกลางสงฆ์ ตาม นัยที่กล่าวแล้วนั่นแล. เมื่อภิกษุทั้งหลายออกจากโรงไปเสียแล้ว จะเก็บ ในสำนักภิกษุแม้รูปเดียวก็ควร.
เธอออกจากโรงไปแล้ว จึงกลับได้สติ พึงเก็บในสำนักภิกษุผู้ไป ด้วยกัน ถ้าภิกษุแม้นั้น ก็หลีกไปเสีย ตนยังไม่ได้บอกวัตรแก่ภิกษุอื่นใด ที่ในโรง, พึงบอกแก่รูปนั้นแล้วเก็บวัตร และเมื่อบอก พึงกล่าวในที่สุด ว่า เวทิยตีติ มํ อายสฺมา ธาเรตุ เมื่อบอกแก่ภิกษุ ๒ รูป พึง กล่าวว่า อายสฺมนฺตา ธาเรนฺตุ เมื่อบอกแก่ภิกษุ ๓ รูปหรือเกินกว่า พึงกล่าวว่า อายสฺมนฺโต ธาเรนฺตุ หรือว่า สงฺโฆ ธาเรตุ จำเดิม แต่เวลาที่เก็บแล้วไป เธอย่อมตั้งอยู่ในฐานะแห่งปกตัตตะ.
ถ้าวัดมีภิกษุน้อย; ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสภาคกันอยู่ ไม่ต้องเก็บวัตร พึงทำความกำหนดราตรี ในวัดนั่นแล.
ถ้าไม่อาจให้บริสุทธิ์ได้. พึงเก็บวัตรตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล ใน เวลาใกล้รุ่ง พร้อมด้วยภิกษุรูปหนึ่ง ล่วงอุปจารสีมาออกไป แวะออก จากทางใหญ่ นั่งในที่กำบัง ตามนัยที่กล่าวแล้วในวรรณนาแห่งมานัตนั่น แล สมาทานวัตร ตามนัยที่กล่าวแล้ว บอกปริวาสแก่ภิกษุนั้น ในภาย ในอรุณทีเดียว เมื่อบอก ถ้าภิกษุนั้นเป็นผู้อ่อนกว่า พึงกล่าวว่า อาวุโส ถ้าเป็นผู้แก่กว่า พึงกล่าวว่า ภนฺเต.
ถ้าภิกษุอื่นบางรูปมายังที่นั้น ด้วยกิจจำเป็นเฉพาะบางอย่าง ถ้า ปาริวาสิกภิกษุนี้ เห็นเธอ หรือได้ยินเสียงของเธอ ควรบอก เมื่อไม่ บอก เป็นรัตติเฉทและเป็นวัตตเภท ถ้าเธอล้ำอุปจารสีมาเข้าไป ๒ ศอก
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 483
แล้วไปเสีย แต่เมื่อปาริวาสิกภิกษุยังมิทันรู้ มีแต่รัตติเฉท ส่วนวัตตเภท ไม่มี ครั้นอรุณขึ้นแล้วพึงเก็บวัตร.
พระมหาสุมัตเถระกล่าวว่า หากว่าภิกษุที่ไปด้วยกันนั้น หลีกไป เสียด้วยกิจจำเป็นเฉพาะบางอย่าง, คนพบภิกษุอื่นรูปใดก่อนภิกษุทั้งหมด พึงบอกแก่รูปนั้นแลแล้วเก็บ, ถ้าไม่พบใครเลย พึงไปยังวัดแล้วเก็บใน สำนักภิกษุผู้ไปกับคน.
ฝ่ายพระมหาปทุมัตเถระกล่าวว่า พบภิกษุใดก่อน, พึงบอกแก่ ภิกษุนั้นแล้วเก็บ นี้เป็นบริหารสำหรับภิกษุผู้เก็บวัตรแล้ว.
อาบัติที่ได้ปิดไว้ สิ้นวันเท่าใด เพื่อต้องการจะบรรเทาความ รังเกียจ พึงอยู่ปริวาสสิ้นวันเท่านั้น หรือเกินกว่านั้นแล้ว เข้าไปหาสงฆ์ สมาทานวัตรแล้ว พึงขอมานัต ด้วยประการฉะนี้.
จริงอยู่ ภิกษุนี้จัดเป็นผู้ควรแก่มานัต ต่อเมื่อเธอสมาทานวัตร แล้วเท่านั้น เพราะเธอเป็นผู้เก็บวัตร อยู่ปริวาส. แต่กิจที่จะต้องสมาทานวัตรอีก ย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้มิได้เก็บวัตร, จริงอยู่ เธอเป็นผู้ควรแก่มานัต ด้วยล่วงวันที่ปิดไว้แท้ เพราะเหตุนั้น สงฆ์ควรให้มานัตแก่เธอทีเดียว.
วิธีให้มานัต
นี้ชื่อว่าปฏิจฉันนมานัต. เมื่อจะให้ปฏิจฉันนมาบัดนั้น ถ้ามีอาบัติ ตัวเดียว, พึงให้ตามนัยที่กล่าวไว้ในบาลีนั้นแล ถ้ามี ๒ หรือ ๓ ตัว พึง กำหนดอาบัติและวันแล้วแต่งคำสวดประกอบตามนัยที่กล่าวไว้ในปริวาส
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 484
นั่นแลว่า โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส สงฺฆํ ทฺวินฺนํ๑ ติสฺสนฺนํ๒ อาปตฺตีนํ เอกาหปฏิจฺฉนฺนํ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจามิ แม้จะ ประมวลอาบัติที่ไม่ปิด กับอาบัติที่ปิดไว้ให้ก็ควร.
อย่างไร? ภิกษุอยู่ปริวาสเพื่ออาบัติที่ปิดเสร็จแล้ว พึงขอมานัต เพื่ออาบัติที่ปิดกับอาบัติที่มิได้ปิด รวมกันว่า อหํ ภนฺเต เอกํ อาปตฺตึ อาปชฺชึ สญฺเจตนิกํ สุกฺกวิสฏฺึ เอกาหปฏิจฺฉนฺนํ โสหํ สงฺฆฺ เอกิสฺสา อาปตฺติยา สญฺเจตนิกาย สุกฺกวิสฏฺิยา เอกาหปฏิจฺฉนฺนาย เอกาหปริวาสํ ยาจึ; ตสฺส เม สงฺโฆ เอกิสสา อาปตฺติยา สญฺเจตนิกาย สุกฺกวิสฏฺิยา เอกาหปฏิจฺ- ฉนฺนาย เอกาหปริวาสํ อทาสิ, โสหํ ปริวุตฺถปริวาโส; อหํ ภนฺเต เอกํ อาปตฺตึ อาปชฺชึ สญฺเจตนิกา สุกฺกวิสฏึ อปฺปฏิจฺ สุกฺกวิสฏฺินํ ปฏิจฺฉนฺนาย จ อปฺปฏิจฺฉนฺนาย จ ฉารตฺตํ มานตฺตํ ยาจามิ
ลำดับนั้น สงฆ์พึงแต่งกรรมวาจาให้เหมาะแก่คำขอนั้น ให้มานัต แก่มานัตตารหภิกษุนั้น.
ถ้าอาบัติที่ปิดไว้ ๒ ตัว ที่มิได้ปิดตัวเดียว; พึงกล่าวว่า ปฏิจฺ- ฉฉนฺนานญฺจ อปฺปฏิจฺฉนฺนาย จ.
ถ้าอาบัติที่ปิดไว้ตัวเดียว ที่มิได้ปิด ๒ ตัว พึงกล่าวว่า ปฏิจฺ- ฉนฺนาย จ อปฺปฏิจฺฉนฺนานญฺจ.
๑. สำหรับอาบัติ ๒ ตัว. ๒. สำหรับอาบัติ ๓ ตัว.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 485
ถ้าแม้อาบัติที่ปิดไว้ก็ ๒ ตัว แม้ที่มิได้ปิดก็ ๒ ตัว พึงกล่าวว่า ปฏิจฺฉนฺนานญฺจ อปฺปฏิฉนฺนานญฺจ.
สงฆ์พึงแต่งกรรมวาจาให้เหมาะ ให้มานัตในอาบัติที่ปิดและมิได้ปิด ทั้งปวง. และพึงแต่งกรรมวาจาให้เหมาะแก่มานัตนั้น และกระทำอัพภาน แก่ภิกษุผู้ประพฤติมานัตแล้ว.
แต่อัพภานในบาลีนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยอำนาจแห่งอาบัติ ตัวเดียว.
มานัตใด อันสงฆ์ย่อมให้ในที่สุดแห่งปริวาส เพื่ออาบัติที่ปิดไว้ ด้วยประการอย่างนี้, มานัตนี้ ชื่อว่า ปฏิจฉันนมานัต.
ตามนัยที่กล่าวแล้วอย่างนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า ปฏิจฉันนปริวาส และปฏิจฉันนมานัต พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสในบาลีนี้ ด้วยกรรมวาจา สำหรับประกอบเป็นตัวอย่างอันเดียวเท่านั้น คือ ด้วยอำนาจแห่งอาบัติ ตัวเดียว.
ข้าพเจ้าจักกล่าวปักขมานัตและสโมธานมานัต ในที่สุดแห่งปริวาส. กถาที่เหลือ.
สุทธันตปริวาส
ปริวาสที่เหลือ ๒ อย่าง คือ สุทธันตปริวาส ๑ สโมธานปริวาส ๑.
ในปริวาส ๒ อย่างนั้น ที่ชื่อสุทธันทปริวาส ได้แก่ ปริวาสที่ทรง อนุญาตในเรื่องนี้ว่า เตน โข ปน สมเยน อญฺตโร ภิกฺขุ สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปนฺโน โหติ, อาปตฺติ-
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 486
ปริยนฺตํ น ชานาติ รตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ. ดังนี้ ในที่สุด แห่งการประพฤติมานัตที่ไม่เป็นธรรมข้างหน้า.
สุทธันตปริวาสันั้น มี ๒ อย่าง คือ จูฬสุทธันตะ ๑ มหาสุทธันตะ ๑ ก็สุทธันตปริวาสนี้ทั้ง ๒ อย่าง สงฆ์พึงให้แก่ภิกษุผู้ไม่รู้ และระลึกไม่ได้ ซึ่งกำหนดราตรีทั้งสิ้นหรือบางราตรี และผู้มีความสงสัย ในกำหนดราตรีนั้น. แต่ภิกษุจะรู้จำนวนที่สุดแห่งอาบัติว่า เราต้องอาบัติ เท่านี้ หรือจะไม่รู้ก็ตาม นั่นไม่เป็นเหตุ ไม่เป็นประมาณ.
จูฬสุทธันตะ ในสุทธันตปริวาส ๒ อย่างนั้น ภิกษุใดแม้อัน พระวินัยธรถามอยู่ว่า ท่านรู้สึกว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ ตลอดวันหรือปักษ์ หรือเดือน หรือปี โน้นและโน้นหรือ ดังนี้ ตามลำดับตั้งแต่อุปสมบท มา หรือทวนลำดับตั้งแต่วันที่บอกไปก็ดี จึงตอบว่า ทราบอยู่ ท่านผู้- เจริญ ข้าพเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ตลอดกาลเพียงเท่านี้.
สุทธันตปริวาสที่สงฆ์ให้แก่ภิกษุนั้น เรียกว่า จูฬสุทธันตะ ภิกษุ ผู้รับจูฬสุทธันตปริวาสนั้นอยู่ปริวาส พึงแบ่งกาลเท่าที่ตนรู้สึกว่า ตนเป็น ผู้บริสุทธิ์ออกเสีย พึงอยู่ปริวาสตลอดเดือน หรือ ๒ เดือนที่เหลือ. ถ้ากำหนดได้ว่า เราเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์เพียงเดือนเดียว ได้รับปริวาส แล้ว, กำลังอยู่ปริวาสระลึกเดือนอื่นได้อีก พึงอยู่ปริวาสตลอดเดือนนั้น ด้วย แท้, ไม่มีกิจที่จะต้องให้ปริวาสอีก.
ถ้ากำหนดได้ว่า เราเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ๒ เดือน ได้รับปริวาสแล้ว, แต่กำลังอยู่ปริวาส ทำความตกลงใจว่า เราเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์เพียงเดือน เดียวเท่านั้น พึงอยู่ปริวาสเพียงเดือนเดียวเท่านั้น. ไม่มีกิจที่จะต้องให้
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 487
ปริวาสอีก. จริงอยู่ ธรรมดาสุทธันตปริวาสนี้ เขยิบสูงขึ้นก็ได้ ลดต่ำ ลงก็ได้. นี้เป็นลักษณะของสุทธันตปริวาสนั้น.
ส่วนในการออกอาบัติอื่น มีลักษณะดังนี้ :-
ภิกษุใดทำวินัยกรรมว่า ปิดไว้ สำหรับอาบัติที่มิได้ปิด, อาบัติ ของภิกษุนั้น ย่อมออก. ส่วนภิกษุใดทำวินัยกรรมว่า ไม่ได้ปิด สำหรับ อาบัติที่ปิด อาบัติของภิกษุนั้น ไม่ออก. ภิกษุใดทำวินัยกรรมว่า ปิด ไว้นาน สำหรับอาบัติที่ปิดไว้ไม่นาน, อาบัติของภิกษุ แม้นั้น ย่อม ออก. ภิกษุใดทำวินัยกรรมว่า ปิดไว้ไม่นาน สำหรับอาบัติปิดไว้นาน. อาบัติของภิกษุแม้นั้น ไม่ออก. ภิกษุใดต้องอาบัติตัวเดียวทำวินัยกรรม ว่า หลายตัว อาบัติของภิกษุแม้นั้น ย่อมออก เพราะเว้นอาบัติตัวเดียว เสียแล้ว หลายตัวก็มีไม่ได้. ฝ่ายภิกษุใดต้องอาบัติหลายตัว แต่ทำวินัยกรรมว่า เราต้องอาบัติตัวเดียว, อาบัติของภิกษุแม้นั้น ไม่ออก.
มหาสุทธันตะ ฝ่ายภิกษุใด แม้พระวินัยธรถามอยู่โดยนัยอนุโลม และปฏิโลมตามที่กล่าวแล้ว ไม่รู้ ระลึกไม่ได้ ซึ่งที่สุดแห่งราตรี หรือ เป็นผู้มีความสงสัย สุทธันตปริวาสที่สงฆ์ให้แก่ภิกษุนั้น เรียกว่า มหาสุทธันตะ. ภิกษุรับปริวาสนั้นแล้ว. พึงอยู่ปริวาสนับราตรีตั้งแต่วันที่รับ จนถึงวันอุปสมบท.
มหาสุทธันตะนี้ เขยิบสูงขึ้นไม่ได้ แต่ต่ำลงได้ เพราะฉะนั้นถ้า กำลังอยู่ปริวาส ทำความตกลงใจในกำหนดราตรีไว้ว่า เมื่อเราต้อง อาบัติ เป็นเวลาเดือน ๑ หรือปี ๑; พึงอยู่ปริวาสเดือน ๑ หรือปี ๑,
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 488
ส่วนลักษณะการขอและการให้ปริวาสในมหาสุทธันตปริวาสนี้ พึงทราบ ตามนัยที่มาในบาลีข้างหน้านั่นแล.
การสมาทานวัตร ในที่สุดแห่งกรรมวาจา มานัตและอัพภานมีนัย ดังกล่าวแล้วนั่นเอง. นี้ชื่อว่าสุทธันตปริวาส
สโมธานปริวาส
ที่ชื่อสโมธานปริวาส มี ๓ อย่าง คือ โอธานสโมธาน ๑ อัคฆ- สโมธาน ๑ มิสสกสโมธาน ๑.
โอธานสโมธาน บรรดาสโมธานปริวาส ๓ อย่างนั้น ที่ชื่อว่า โอธานสโมธาน ท่านเรียกปริวาสที่สงฆ์พึงเลิก คือ ล้มวันที่ได้อยู่ปริวาส แล้วเสีย ประมวลอาบัติที่ต้องภายหลังลงในกำหนดวันเดิม แห่งอาบัติ เดิมให้แก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติในระหว่างแล้วปิดไว้
โอธานสโมธานปริวาสนั้น มาแล้วข้างหน้าในพระบาลีนั่นแล โดย พิสดาร ตั้งต้นแต่คำนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ถ้ากระนั้นสงฆ์จงชักอุทายีภิกษุ เข้าหาอาบัติเดิม เพื่ออาบัติตัวหนึ่งในระหว่าง ชื่อว่าสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ อันปิดไว้ ๕ วัน แล้วให้สโมธานปริวาสเพื่ออาบัติเดิม.
ก็วินิจฉัยในโอธานสโมธานนี้ พึงทราบดังนี้:-
ภิกษุใดรับปริวาสเพื่ออาบัติที่ปิดแล้ว กำลังอยู่ปริวาส หรือเป็น มานัตตารหะ หรือกำลังประพฤติมานัต หรือเป็นอัพภานารหะ ต้อง อาบัติอื่นแล้วปิดไว้ เท่าราตรีของอาบัติเดิมหรือหย่อนกว่าก็ดี สงฆ์พึง เลิกวันที่อยู่ปริวาสแล้ว และวันที่ประพฤติมานัตแล้วเหล่านั้นทั้งหมด
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 489
คือทำให้เป็นวันที่ใช้ไม่ได้ ประมวลอาบัติที่ต้องภายหลังลงในอาบัติเดิม ให้ปริวาสแก่ภิกษุนั้นด้วยมูลายปฏิกัสสนะ.
ภิกษุนั้น พึงอยู่ปริวาสอีก ๑ ปักษ์ทีเดียว. ถ้าอาบัติเดิมปิดไว้ ๑ ปักษ์ อันตราบัติปิดไว้หย่อนปักษ์. แม้ถ้าอันตราบัติปิดไว้ ๑ ปักษ์ พึงอยู่ปริวาส ๑ ปักษ์เหมือนกัน โดยอุบายนี้ พึงทราบวินิจฉัยจนถึง อาบัติเดิมที่ปิดไว้ ๖๐ ปี. จริงอยู่ ภิกษุผู้อยู่ปริวาสครบ ๖๐ ปี แม้ เป็นมานัตตารหะแล้วปิดอันตราบัติไว้วันหนึ่ง ย่อมเป็นผู้ควรอยู่ปริวาส ๖๐ ปีอีก. เมื่อภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ก็ถ้าว่าอันตราบัติปิดไว้เกินกว่า อาบัติเดิมเล่า จะพึงทำอย่างไรในอาบัตินั้น?
พระมหาสุมัตเถระแก้ว่า บุคคลนี้เป็นอเตกิจฉะ, ธรรมดาบุคคล ที่เป็นอเตกิจฉะ ก็ควรให้ทำให้แจ้งแล้วปล่อยเสีย.
ฝ่ายพระมหาปทุมัตเถระแก้ว่า เพราะเหตุไร บุคคลนี้จึงจะชื่อว่า เป็นอเตกิจฉะ? ธรรมดาว่า สมุจจยักขันธกะนี้ ย่อมเป็นเหมือนกาล ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายยังทรงตั้งอยู่.
ขึ้นชื่อว่าอาบัติ จะปิดไว้ก็ตาม มิได้ปิดไว้ก็ตาม ปิดไว้เท่ากัน ก็ตาม หย่อนกว่าก็ตาม แม้ปิดไว้เกินก็ตามที; ข้อที่พระวินัยธรเป็น ผู้สามารถประกอบกรรมวาจานั่นแล เป็นประมาณ ในการเยียวยาอาบัติ นี้ เพราะเหตุนั้น อันตราบัติใดปิดไว้เกินกว่า, พึงทำอันตราบัตินั้น ให้เป็นอาบัติเดิม ประมวลอาบัตินอกนี้ลงในอาบัติเดิมนั้นให้ปริวาส. นี้ชื่อโอธานสโมธาน.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 490
อัคฆสโมธาน ที่ชื่ออัคฆสโมธาน คือ บรรดาอาบัติมากหลาย อาบัติเหล่าใด จะเป็น ๑ ตัวก็ดี ๒ ตัวก็ดี ๓ ตัวก็ดี มากมายก็ดี ที่ ปิดไว้นานกว่าอาบัติทุกๆ ตัว , สงฆ์ประมวลด้วยค่าแห่งอาบัติเหล่านั้น ให้ปริวาสเพื่ออาบัติที่เหลือ ซึ่งปิดไว้หย่อนกว่า ด้วยอำนาจกำหนด ราตรีแห่งอาบัติเหล่านั้น นี้เรียกว่า อัคฆสโมธาน.
อัคฆสโมธานนั้น ได้มาข้างหน้าแล้วในบาลี โดยนัยเป็นต้นว่า ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งต้องอาบัติสังฆาทิเสสมากหลาย. อาบัติตัวหนึ่งปิดไว้ ๑ วัน อาบัติตัวหนึ่งปิดไว้ ๒ วัน.
ถามว่า ก็อาบัติของภิกษุใดร้อยตัวปิดไว้ ๑๐ วัน แม้อีกร้อยตัว ก็ปิดไว้ ๑๐ วัน นับอย่างนี้รวม ๑๐ ครั้ง จึงเป็นอาบัติหนึ่งพัน ปิดไว้ ๑๐๐ วัน. ภิกษุนั้น จะพึงทำอย่างไร?
พึงประมวลอาบัติทั้งหมดอยู่ปริวาส ๑๐ วัน. แม้วันตั้งร้อยย่อมเป็น วันซึ่งภิกษุต้องอยู่ปริวาสจริงๆ ด้วย ๑๐ วัน หนเดียวเท่านั้น ด้วย ประการฉะนี้.
จริงอยู่ แม้คำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสไว้แล้วว่า ปาริวาสิก ภิกษุปิดอาบัติพันตัวไว้ ๑๐๐ ราตรี อยู่ปริวาส ๑๐ ราตรี พึงพ้นได้ ปัญหานี้ ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายติดกันแล้ว. นี้ชื่ออัคฆสโมธาน.
มิสสกสโมธาน ที่มีชื่อมิสสกสโมธาน ได้แก่ ปริวาสที่สงฆ์ รวมอาบัติต่างๆ วัตถุเข้าด้วยกันให้.
ในมิสสกสโมธานนั้น มีนัยดังนี้:-
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 491
พึงให้ภิกษุนั้นขอ ๓ ครั้งว่า อหํ ภนฺเต สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา อาปตฺนิโย อาปชฺชึ เอกํ สุกฺกวิสฏฺิ เอกํ กายสํสคฺคํ เอกํ ทุฏฺฐุลฺลวาจํ เอกํ อตฺตกามํ เอกํ สญฺจริตํ เอกํ กุฏิการํ เอกํ วิหารการํ เอกํ ทุฏฺโทสํ เอกํ อญฺภาคิยํ เอกํ สงฺฆ- เภทกํ เอกํ เภทานุวตฺตกํ เอกํ ทุพฺพจํ เอกํ กุลทูกํ, โสหํ ภนฺเต สงฺฆํ ตาสํ อาปตฺตีนํ สโนธานปริวาสํ ยาจามิ. ดังนี้ แล้วพึงให้ปริวาสด้วยกรรมวาจาสมควรแก่คำขอนั้น.
ก็ในมิสสกสโมธานนี้ สมควรแท้ที่จะแต่งกรรมวาจาประกอบด้วย อำนาจวัตถุบ้าง ด้วยอำนาจโคตรบ้าง ด้วยอำนาจชื่อบ้าง ด้วยอำนาจ อาบัติบ้าง ตามนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล อย่างนี้ว่า สงฺฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชึ นานาวตฺถุกาโย ดังนี้ก็ได้ ว่า สงฆาทิเสสา อาปตฺติโย อาปชฺชึ ดังนี้ก็ได้. นี้ชื่อว่า มิสสกสโมธาน.
ส่วนกถาแสดงเรื่องมีอาทิ คือ วัตรที่เก็บและมิได้เก็บในที่สุดแห่ง กรรมวาจาให้ปริวาสทั้งปวง พึงทราบตามนัยก่อนนั่นแล.
ปริวาสกถา จบ.
ปักขมานัต
บัดนี้ถึงโอกาสแห่งคำที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าจักกล่าว ปักขมานัต และสโมธานมานัต ในที่สุดแห่งปริวาสกถาที่เหลือ เพราะ ฉะนั้น มานัต ๒ อย่างนั้น ข้าพเจ้าจะกล่าวมานัตที่สงฆ์พึงให้แก่นาง ภิกษุณี ชื่อปักขมานัต.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 492
ก็ปักขมานัต สงฆ์พึงให้กึ่งเดือนเท่านั้น ทั้งอาบัติที่ปิด ทั้งอาบัติ ที่มิได้ปิด. จริงอยู่ คำนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ภิกษุณีผู้ล่วง ครุกรรม พึงประพฤติปักขมานัตในอุภโตสงฆ์.
ก็ปักขมานัตนั้น อันนางภิกษุณีทั้งหลาย พึงชำระสีมาของตนให้ หมดจดแล้วให้ในวิหารสีมา หรือเมื่อไม่อาจชำระวิหารสีมาให้หมดจด พึงให้ประชุมคณะจตุวรรค โดยกำหนดอย่างต่ำที่สุดแล้วให้ในขัณฑสีมา ก็ได้.
ถ้ามีอาบัติตัวเดียว. พึงแต่งกรรมวาจาประกอบด้วยอำนาจอาบัติ ตัวเดียว. ถ้ามีอาบัติ ๒ ตัว หรือ ๓ ตัว หรือมากมาย มีวัตถุเดียว หรือต่างๆ วัตถุกัน, พึงถือเอาวัตถุ โคตร นาม และอาบัติที่คน ปรารถนา แต่งกรรมวาจาประกอบด้วยอำนาจแห่งอาบัติเหล่านั้นๆ.
อุทาหรณ์ที่พอเป็นทาง ด้วยอำนาจอาบัติตัวเดียว ในปักขมานัต นั้น ดังนี้:-
นางภิกษุณีผู้ต้องอาบัติ แล้วนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุณีสงฆ์ทำ อุตตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ไหว้เท้านางภิกษุณีทั้งหลายผู้แก่กว่านั่ง กระโหย่งประคองอัญชลีกล่าวอย่างนี้ว่า อหํ อยฺเย เอกํ อาปตฺตึ อาปชฺชึ คามนฺตรํ, สาหํ อยฺเย สงฺฆํ เอกิสฺสา อาปตฺติยา คามนฺตราย ปกฺมานตฺตํ ยาจามิ. ครั้นให้ขอ ๓ ครั้งอย่างนั้นแล้ว นางภิกษุณีผู้ฉลาดสามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบว่า ข้าแต่แม่เจ้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า นางภิกษุณีซึ่งนี้รูปนี้ ต้องอาบัติตัว ๑ ชื่อ คามันตรา, เธอขอปักขมานัตต่อสงฆ์ เพื่ออาบัติตัว ชื่อคามันตรา
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 493
ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว, สงฆ์พึงให้ปักขมานัต เพื่ออาบัติ ตัว ๑ ชื่อคามันตรา แก่นางภิกษุณีชื่อนี้. นี้เป็นวาจาประกาศให้รู้. ข้าแต่แม่เจ้า ขอสงฆ์จงพึงข้าพเจ้า นางภิกษุณีชื่อนี้ ต้องอาบัติตัว ๑ ชื่อคามันตรา, เธอขอปักขมานัต ต่อสงฆ์เพื่ออาบัติตัว ๑ ชื่อคามันตรา สงฆ์ให้ปักขมานัต เพื่ออาบัติตัว ๑ ชื่อคามันตรา แก่นางภิกษุณีชื่อ นี้; การให้ปักขมานัต เพื่ออาบัติตัว ๑ ชื่อคามันตรา แก่นางภิกษุณี ชื่อนี้ ชอบแก่แม่เจ้ารูปใด แม่เจ้ารูปนั้นพึงนิ่ง; ไม่ชอบแก่แม่เจ้ารูป ใด แม่เจ้ารูปนั้นพึงพูด ข้าพเจ้ากล่าวความนี้ เป็นครั้งที่ ๒ ฯลฯ เป็นครั้งที่ ๓. ข้าแต่แม่เจ้า ขอสงฆ์จงพึงข้าพเจ้า ฯลฯ ปักขมานัตเพื่อ อาบัติตัว ๑ ชื่อคามันตรา สงฆ์ให้แล้วแก่นางภิกษุณีชื่อนี้ ชอบแก่ สงฆ์. เหตุนั้น จึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความข้อนี้ไว้ อย่างนี้.
ในที่สุดแห่งกรรมวาจา นางภิกษุณีผู้มานัตตจาริกานั้น พึงสมาทานวัตรแล้ว พึงบอกแก่สงฆ์ ตามนัยที่กล่าวแล้วในภิกษุมานัตตกถา นั่นแล ใคร่จะเก็บวัตรอยู่ พึงเก็บในท่ามกลางสงฆ์นั้นนั่นแลก็ได้ เมื่อ นางภิกษุณีทั้งหลายหลีกไปเสียแล้ว พึงเก็บในสำนักนางภิกษุณีรูปเดียว หรือในสำนักนางภิกษุณีผู้เป็นเพื่อน ตามนัยที่กล่าวแล้วก็ได้.
อนึ่ง พึงบอกเก็บในสำนักนางภิกษุณีอื่นผู้เป็นอาคันตุกะ จำเดิม แต่เวลาที่เก็บวัตรไป ตั้งอยู่ในฐานผู้ปกตัตตะ. แต่เมื่อสมาทานใหม่จะรับ อรุณ ไม่ได้เพื่ออยู่ในสำนักนางภิกษุณีทั้งหลายเป็นแท้.
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ปักขมานัตอันนางภิกษุณี พึงประพฤติในอุภโตสงฆ์. เพราะฉะนั้น อาจารย์เละอุปัชฌาย์ของนาง
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 494
ภิกษุณีผู้มานัตตจาริกานั้น พึงไปยังวัดแล้วบอกพระมหาเถระ หรือภิกษุ ผู้เป็นธรรมกถึกรูป ๑ ซึ่งตั้งอยู่ในฝ่ายแห่งผู้สงเคราะห์ว่า วินัยกรรมที่ จะพึงทำแก่นางภิกษุณีรูป ๑ มีอยู่, พระผู้เป็นเจ้าโปรดส่งภิกษุ ๔ รูป ไปในสถานที่ทำวินัยกรรมนั้นของเราทั้งหลายเถิด พระมหาเถระหรือภิกษุ ผู้เป็นธรรมกถึก จะไม่ทำการสงเคราะห์ไม่ได้, ต้องบอกว่า เราจักส่ง ไปให้.
ในกุรุนทีแก้ว่า นางภิกษุณีผู้ปกตัตตะ ๔ รูป พึงพานางภิกษุณีผู้ ประพฤติมานัตออกไปแต่ภายในอรุณ ให้เกิน๒ เลฑฑุบาตแต่อุปจาระบ้าน ออกไป แวะออกจากทางใหญ่ นั่งในที่ซึ่งกอไม้และรั้วเป็นต้นกำบังไว้. พึงให้เกิน ๒ เลฑฑุบาต แม้แต่อุปจาระแห่งวัดออกไป ฝ่ายภิกษุผู้ ปกตัตตะ ๔ รูป พึงไปในที่นั้น. ก็แลครั้นไปแล้ว ไม่พึงนั่งในที่เดียว กับนางภิกษุณีทั้งหลาย พึงหลีกไปนั่งในที่ไม่ไกลกัน.
ส่วนในมหาปัจจรีเป็นต้นแก้ว่า แม้นางภิกษุณีทั้งหลายก็ควรชวน อุบาสิกา ๑ คน หรือ ๒ คน ซึ่งเป็นผู้ฉลาดไปด้วย เพื่อประโยชน์แก่ การรักษาตน ฝ่ายภิกษุทั้งหลายพึงชวนอุบาสก ๑ คน หรือ ๒ คนไปด้วย เพื่อประโยชน์แก่การรักษาตน.
เฉพาะในกุรุนทีแก้ว่า จะละอุปจาระแห่งสำนักภิกษุณีและวัดของ ภิกษุ ก็ควร, ไม่แก้ว่า จะละอุปจาระแห่งบ้าน ก็ควร. ครั้นภิกษุ ทั้งหลายและนางภิกษุณีทั้งหลาย นั่งแล้วอย่างนั้น นางภิกษุณีนั้นพึง สมาทานวัตรว่า มานตฺตํ สมาทิยามิ วตฺตํ สมาทิยามิ แล้วพึงบอก แก่ภิกษุณีสงฆ์ก่อนอย่างนี้ว่า อหํ อยฺเย เอกํ อาปตฺตึ อาปชฺชึ
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 495
คามนฺตรํ, สาหํ สงฆํ เอกิสฺสา อาปตฺติยา คามนฺตราย ปกฺขมานตฺตํ ยาจึ. ตสฺมา เม สงฺโฆ เอกิสฺสา อาปตฺติยา คามนฺ- ตราย ปกฺขมานตฺตํ อทาสิ. สาหํ ปกฺขมานตฺตํ จรามิ. เวทยามหํ อยฺเย, เวทิยตีติ มํ สงฺโฆ ธาเรตุ.
ภายหลัง พึงไปบอกในสำนักภิกษุสงฆ์อย่างนี้ว่า อหํ อยฺยา เอกํ อาปตฺตึ อาปชฺชึ คามนฺตรํ ฯลฯ เวทยามหํ อยฺยา, เวทิยตีติ มํ สงฺโฆ ธาเรตุ.
แม้ในปักขมานัตนี้ นางภิกษุณีจะบอกด้วยภาษาอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ควร. พึงนั่งบอกในสำนักแห่งภิกษุณีสงฆ์เท่านั้น. จำเดิมแต่กาลที่บอก แล้วไป จึงควรไปสู่สำนักแห่งภิกษุทั้งหลาย ถ้าที่นั้นเป็นที่ประกอบ ด้วยความรังเกียจ. ภิกษุณีทั้งหลายจำนงเฉพาะสถานแห่งภิกษุทั้งหลายใน ที่เท่านั้น; ภิกษุทั้งหลายพึงคอยอยู่.
ถ้าภิกษุ หรือภิกษุณีรูปอื่น มายังที่นั้น, เมื่อเห็นต้องบอก, ถ้าไม่บอก เป็นรัตติเฉท, และเป็นทุกกฏ เพราะวัตตเภท. ถ้าเมื่อ นางภิกษุณีผู้มานัตตจาริกา ไม่รู้ ภิกษุหรือภิกษุณีอื่นล้ำอุปจารเข้ามา อย่างนั้นแล้ว ไปเสีย. เป็นแต่รัตติเฉท ไม่เป็นทุกกฏเพราะวัตตเภท ถ้านางภิกษุณีทั้งหลายเป็นผู้ประสงค์จะรีบไปก่อน เพื่อทำวัตรแก่อุปัชฌาย์ เป็นต้น พึงเว้นนางภิกษุณีไว้ ๑ รูปเพื่อป้องกันรัตติวิปปวาสาบัติ คณโอหายนาบัติ และคามันตราบัติ จึงไป. เมื่ออรุณขึ้นแล้ว นางภิกษุณี นั้น พึงเก็บวัตรในสำนักนางภิกษุณีรูปนั้น. นางภิกษุณีนั้น พึงประพฤติ
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 496
มานัตครบ ๑๕ ราตรีไม่ขาดด้วยอุบายนี้. ฝ่ายนางภิกษุณีผู้มีได้เก็บวัตร พึงประพฤติชอบตามนัยที่กล่าวแล้วในปาริวาสิกขันธกะนั้นแล.
ส่วนเนื้อความที่แปลกกัน มีดังต่อไปนี้ :-
ในคำว่า พึงบอกแก่อาคันตุกะ นี้ มีวินิจฉัยว่า ในปุเรภัตหรือ ปัจฉาภัต ภิกษุหรือภิกษุณีทั้งหลายมีประมาณเท่าใดมาสู่บ้านนั้น. ควร บอกทั้งหมด. เมื่อไม่บอก เป็นรัตติเฉทด้วย เป็นทุกกฏเพราะวัตตเภทด้วย, แม้ถ้าภิกษุบางรูปล้ำคามูปจาระนั้น เข้ามาในราตรีแล้วไปเสีย เป็นรัตติเฉทเท่านั้น, ย่อมพ้นจากวัตตเภท เพราะความไม่รู้เป็นปัจจัย.
ส่วนในกุรุนทีเป็นต้นแก้ว่า วัตรที่นางภิกษุณีมิได้เก็บ บัณฑิต พึงกล่าว ตามนัยที่กล่าวแล้วในวัตรของภิกษุทั้งหลาย. คำนั้นปรากฎว่า สมควรยิ่ง เพราะวัตรทั้งหลายมีปริวาสวัตรเป็นต้น ท่านกำหนดด้วย อุปจารสีมา. พึงบอกในวันอุโบสถ. พึงบอกในวันปวารณา. ต้องบอก ทุกวัน แก่ภิกษุ ๔ รูป และนางภิกษุณี ๔ รูป ถ้าภิกษาจารในบ้าน นั้น ทั่วถึงแก่ภิกษุทั้งหลายด้วย. ภิกษุเหล่านั้น ๔ รูป พึงไปในบ้าน นั้นทีเดียว.
ถ้าไม่ทั่วถึง ภิกษุทั้งหลายแม้ไปในที่อื่นแล้วจึงมาในบ้านนั้น ต้อง แสดงตนไป. หรือพึงทำที่สังเกตไว้ภายนอกบ้านว่า ท่านจะพบพวกเรา ในที่ชื่อโน้น. หางภิกษุณีนั้นพึงไปสู่ที่หมายไว้แล้วบอก. ไม่พบในที่ หมายไว้ ต้องไปวัดแล้วบอก. ต้องบอกภิกษุทุกรูปในวัด ถ้าไม่อาจ บอกทั่วทุกรูปได้. ต้องอยู่นอกอุปจารสีมา แล้ววานนางภิกษุณีทั้งหลาย
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 497
ไปแทน. พึงบอกแก่ภิกษุ ๔ รูปซึ่งนางภิกษุเหล่านั้นนำมา. ถ้าวัดอยู่ ไกลทั้งน่ารังเกียจ, พึงชวนอุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลายไปด้วย.
ก็ถ้านางภิกษุณีนี้อยู่ตามลำพัง, ย่อมต้องอาบัติเพราะรัตติวิปปวาส; เพราะเหตุนั้น สงฆ์พึงสมมตินางภิกษุณีผู้ปกตัตตะรูป ๑ ให้แก่นางภิกษุณี นั้น เพื่อประโยชน์แก่การอยู่ในที่มุงอันเดียวกัน. นางภิกษุณีประพฤติ มานัตไม่ขาด อย่างนั้นแล้ว พึงทำอัพภานตามนัยที่กล่าวแล้วในภิกษุ สงฆ์ ซึ่งมี ๑ รูปเป็นคณะนั้นแล.
ในกุรุนทีแก้ว่า ถ้ากำลังประพฤติมานัต ต้องอันตราบัติ สงฆ์ พึงชักเข้าหาอาบัติเดิมแล้ว ให้มานัต เพื่ออาบัตินั้น. นี้ชื่อว่าปักขมานัต.
สโมธานมานัต
ส่วนสโมธานมานัต มี ๓ อย่าง คือ โอธานสโมธาน ๑ อัคฆ- สโมธาน ๑ มิสสกสโมธาน ๑.
ใน ๓ อย่างนั้น ที่ชื่อโอธานสโมธาน ได้แก่ มานัตที่พระผู้มี พระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้ข้างหน้า สำหรับพระอุทายีเถระ ผู้กำลังอยู่ ปริวาสเพื่ออาบัติที่ปิดไว้ ๕ วัน ต้องอันตราบัติในปริวาส และในฐานะ ที่เป็นผู้ควรแก่มานัต ถูกสงฆ์ชักเข้าหาอาบัติเดิม โดยบาลีว่า ภิกษุ ทั้งหลาย ถ้ากระนั้น สงฆ์จงให้มานัต ๖ ราตรี เพื่ออาบัติ ๓ ตัว แก่ ภิกษุอุทายี ดังนี้.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 498
จริงอยู่ มานัตชนิดนี้ สงฆ์เลิกล้มวันที่อยู่ปริวาสแล้วเสียด้วย มูลายปฏิกัสสนะซ้ำๆ กัน ประมวลให้พร้อมกับอาบัติเดิมทั้งหลาย เพราะ ฉะนัน จึงเรียกว่า โอธานสโมธาน.
ส่วนในกุรุนทีแก้ว่า มานัตที่สงฆ์พึงให้แก่ภิกษุผู้อยู่สโมธานปริวาส แล้ว ชื่อว่าสโมธานมานัต แม้คำนั้น ก็ถูกโดยปริยายนั้น.
ส่วนอัคฆสโมธานและมิสสกสโมธาน ท่านเรียกเฉพาะมานัตที่สงฆ์ พึงให้ในที่สุดแห่งอัคฆสโมธานปริวาสและมิสสกสโมธานปริวาส.
อัคฆสโมธานและมิสสกสโมธานนั้น พึงประกอบให้ตามทำนอง กรรมวาจาแห่งปริวาส.
คำใดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ปริวาสและมานัต พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ในบาลีโดยอาการมากมาย ตามนัยมีคำว่า ภิกษุทั้งหลาย ถ้า กระนั้นสงฆ์จงให้ปริวาส ๑ วัน เพื่ออาบัติ ๑ ตัว ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ ซึ่งปิดไว้วันเดียว แก่ภิกษุอุทายีเถิด ดังนี้เป็นอาทิ, วินิจฉัย อย่างนี้ ที่ท่านกล่าวไว้ในอาคตสถานแห่งปริวาสและมานัตนั้น ย่อมถึง ความพิสดารเกินไปเหมือนในบาลี, ทั้งเป็นวินิจฉัยที่ใครๆ ไม่อาจกำหนด ได้โดยง่าย. เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจักประมวลปริวาสและมานัตนั้น แสดงในอธิการนี้ทีเดียว ดังนี้ คำนี้นั้นเป็นอันข้าพเจ้าให้สำเร็จพร้อม โดยอธิบาย ด้วยคำมีประมาณเท่านี้.
บัดนี้พระบาลีนี้ใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสก่อน ด้วยอำนาจ อาบัติตัวเดียวที่มิได้ปิด, พระบาลีนั้น มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 499
เบื้องหน้าแต่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปริวาสไว้ในพระบาลี ด้วยอำนาจแห่งอาบัติที่ปิดไว้ ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ๕ วันเท่านั้น แล้วทรง แสดงอันตราบัติ จำเดิมแต่ปริวาสเพื่ออาบัติที่ปิดไว้ ๕ วัน.
ก็พระอุทายีต้องอาบัตินั้นแล้ว ย่อมจัดเป็นผู้ควรแก่มุลายปฏิกัสสนะ; เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงอนุญาตมูลายปฏิกัสสนะในอาบัติ ที่ปิดไว้ ๕ วันเหล่านั้น แก่พระอุทายีนั้น.
แต่ถ้าเธอเก็บวัตรแล้วต้องไซร้ ย่อมเป็นผู้ไม่สนควรแก่มูลายปฏิกัสสนะ.
เพราะเหตุไร?
เพราะเหตุที่เธอมิได้ต้องกำลังอยู่ปริวาส เธอตั้งอยู่ในฐานะเป็นผู้ ปกตัตตะแล้วต้อง เธอพึงควรแยกประพฤติมานัตเพื่ออาบัตินั้น. ถ้าเธอ ผู้เก็บวัตรต้องอาบัติแล้วปิดไว้ไซร้ ต้องอยู่ปริวาสด้วย.
เมื่อมูลายปฏิกัสสนะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ อันสงฆ์ทำแล้ว, วันที่เธออยู่ปริวาสแล้วทั้งหลาย ย่อมเป็นอันเลิกล้มไปแท้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอันตราบัติในปริวาสแล้ว ทรงแสดง อันตราบัติแห่งภิกษุผู้ควรแก่มานัตอีก แล้วจึงตรัสมูลายปฏิกัสสนะ ด้วย ประการฉะนี้
จริงอยู่ เมื่อมูลายปฏิกัสสนะนั้น อันสงฆ์ทำแล้ว. วันที่อยู่ปริวาส แล้วทั้งหลาย ย่อมเป็นอันเลิกล้มไปแท้. ลำดับนั้น จึงทรงแสดง สโมธานมานัต เพื่ออาบัติทั้ง ๓ ตัวนั้น แห่งภิกษุผู้อยู่ปริวาสเสร็จแล้ว.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 500
ลำดับนั้น ได้ทรงแสดงอันตราบัติของภิกษุผู้มานัตตจาริกะแล้ว ตรัส มูลายปฏิกัสสนะ.
ก็ครั้นเมื่อมูลายปฏิกัสสนะนั้น อันสงฆ์ทำแล้ว; วันที่ประพฤติ มานัตแล้วก็ดี วันที่อยู่ปริวาสแล้วก็ดี ย่อมเป็นอันเลิกล้มไปแท้. ลำดับ นั้นทรงแสดงอันตราบัติแห่งภิกษุผู้ควรแก่อัพภานแล้วตรัสมูลายปฏิกัสสนะ.
ครั้นเมื่อมูลายปฏิกัสสนะแม้นั้น อันสงฆ์ทำแล้ว. วันที่อยู่ปริวาส และประพฤติมานัตแล้ว เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมเป็นอันเลิกล้มไปแท้. เบื้องหน้าแต่นั้น ทรงประกอบอันตราบัติทั้งปวงแสดงอัพภานกรรม.
กรรมวาจา ๕ ชนิด ด้วยอำนาจแห่งอาบัติ ที่ปิดไว้วันเดียวเป็น ต้น กรรมวาจา ๔ ชนิด ด้วยอำนาจแห่งอันตราบัติทั้งหลาย รวม เป็นกรรมวาจา ๙ ชนิด เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วใน ปฏิจฉันนวาระ ด้วยประการฉะนี้.
เบื้องหน้าแต่นั้น ทรงแสดงสโมธานปริวาสและสโมธานมานัต ด้วยอำนาจแห่งอันตราบัติที่ปิดไว้ ๕ วัน จำเดิมแต่ภายในแห่งปริวาส เพื่ออาบัติที่ปิดไว้ปักษ์ ๑.
ก็ในอธิการว่าด้วยสโมธานปริวาสและสโมธานมานัตนี้ เมื่อสงฆ์ ทำมูลายปฏิกัสสนะเพื่ออาบัติที่ต้อง แม้ในเวลาที่เป็นมานัตจาริกะ และ เป็นมานัตตารหะ. วันที่ประพฤติมานัตแล้วก็ดี วันที่อยู่ปริวาสเสร็จแล้ว ก็ดี เป็นอันเลิกล้มไปทั้งหมดทีเดียว.
เพราะเหตุไร?
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 501
เพราะเหตุที่ปิดอันตราบัติไว้. ด้วยเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสคำว่า สงฆ์จงชักเข้าหาอาบัติเดิม จงให้สโมธานปริวาส เพื่อ อาบัติเดิมแล้ว จงให้มานัต ๖ ราตรี.
เบื้องหน้าแต่นั้น ทรงประกอบอันตราบัติทั้งปวงแสดงอัพภานกรรม ให้จบเรื่องแห่งอาบัติ ชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ.
ลำดับนั้น ทรงแสดงนัย ๒ อย่าง คือ เอกาปัตติมูลกนัย ๑ อาปัตติวัฑฒนกนัย ๑ แล้วทรงแสดงอัคฆสโมธานปริวาส.
แต่นั้น ทรงแสดงเรื่องอาบัติที่ภิกษุแกล้งไม่บอกแล้ว ทรงตั้ง บาลีโดยนัยมีคำว่า อิธ ปน ภิกฺขเว เป็นต้น เพื่อแสดงกรรมที่จะพึง กระทำสำหรับอาบัติที่ภิกษุมิได้บอก ด้วยความไม่แกล้งไม่รู้สึกระลึกไม่ได้ และความเป็นผู้มีความสงสัย ในเมื่อลัชชีธรรมหรือความรู้สึก ความ ระลึกได้ และความเป็นผู้ไม่มีความสงสัย เกิดขึ้นบ้างในภายหลัง.
ลำดับนั้น ทรงตั้งบาลีเหมือนอย่างนั้น เพื่อแสดงข้อที่อาบัติ ทั้งหลาย ซึ่งปิดไว้ด้วยความไม่รู้สึกระลึกไม่ได้ และความเป็นผู้มีความ สงสัย ไม่เป็นอันปิด.
ลำดับนั้น ทรงแสดงเรื่องขอปริวาสเดือน ๑ เพื่ออาบัติ ๒ ตัว ปิดไว้ ๒ เดือน แล้วทรงตั้งบาลีโดยนัยหนหลังนั่นแล เพื่อแสดงกรรม ที่จะพึงกระทำ สำหรับเดือนนอกนี้ ซึ่งไม่ได้บอก ด้วยไม่ได้แกล้ง ไม่รู้สึกระลึกไม่ได้ และความเป็นผู้มีความสงสัย ในเมื่อลัชชีธรรม เป็นต้นเกิดขึ้นในภายหลัง แลเพื่อแสดงข้อที่เดือนซึ่งปิดไว้ ด้วยความ ไม่รู้สึกระลึกไม่ได้ และความเป็นผู้มีความสงสัย ไม่เป็นอันปิด.
พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๖ ภาค ๑ - หน้า 502
ลำดับนั้น ทรงแสดงสุทธันตปริวาสโดยนัยมีคำว่า อาปตฺติ ปริยนฺตํ น ชานาติ รตฺติปริยนฺตํ น ชานาติ เป็นอาทิ
เบื้องหน้าแต่นั้น ทรงตั้งบาลีเพื่อทำปาริวาสิกภิกษุให้เป็นตัวอย่าง แสดงข้อปฏิบัติในคำว่า "สึกแล้วอุปสมบทใหม่" เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น ในบทว่า ต้องอาบัติสังฆาทิเสสมากหลาย ในระหว่าง กำหนดนับได้ ไม่ได้ปิดไว้ เป็นต้น มีความว่า กำหนด นับได้ด้วยอำนาจกำหนดอาบัติ และไม่ได้ปิดไว้.
สองบทว่า ปจฺฉิมสฺมึ อาปตฺติกฺขนฺเธ คือกองอาบัตินั้นคงเป็น อันเดียวกัน, แต่เพราะปกปิดไว้ในภายหลัง ท่านจึงกล่าวว่า ในกอง อาบัติ ซึ่งมีในภายหลัง. ถึงในคำว่า ปุริมสฺมึ นี้ก็มีนัยเหมือนกัน.
คำว่า ววตฺถิตา สมฺภินฺนา นี้ เป็นคำยักเรียกอาบัติทั้งหลาย ที่เป็นสภาคกันและที่เป็นวิสภาคกันนั่นเอง.
เบื้องหน้าแต่นั้น ตรัสคำว่า เทฺว ภิกฺขู เป็นต้น เพื่อแสดง ข้อปฏิบัติในภิกษุผู้ปิดไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิสฺสกํ ได้แก่ สังฆาทิเสส ที่เจือ ด้วยลหุกาบัติ มีถุลลัจจัยเป็นต้น.
บทว่า สุทฺธกํ ได้แก่ สังฆาทิเสส เว้นกองลหุกาบัติเสียทั้งนั้น.
เบื้องหน้าแต่นั้น ตรัสคำว่า อิธ ปน ภิกขเว ภิกฺขู สมฺพหุลา สงฺฆาทิเสสา เป็นต้น เพื่อแสดงข้อที่อาบัติเหล่านั้นไม่พ้องกันและ พ้องกัน.