ขอความเข้าใจในความละเอียดของเมตตา
ยิ่งได้อ่านโทษของความโกรธ ก็ไม่อยากให้มีความโกรธเกิดขึ้น
ทราบว่า ธรรมะที่ตรงกันข้ามกับความโกรธคือเมตตา ก็มีความต้องการเจริญเมตตา
แต่ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตาจะเจริญเมตตายังไงคะ???? หรือแล้วแต่เป็นไปกับการสะสมให้เข้าใจว่าโกรธมีจริงก็เป็นธรรมะไม่ใช่เรา
ขอความเข้าใจด้วยนะคะ พอดีสับสน
กราบขอบพระคุณค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่าน อ.สุจินต์ พระธรรมทั้งหมดปริยัติรอบรู้ในคำที่ได้ฟัง พอได้ยินคำว่าความโกรธเป็นเราหรือเปล่า เริ่มต้นที่จะรู้จักว่าคำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุธเจ้า ถ้าไม่ใช่คำของพระองค์ก็ไปฆ่าความโกรธด้วยความเป็นตัวตน แต่ว่าจะเป็นไปได้ไหมที่จะมีใครฆ่าความโกรธได้ เพราะความโกรธเกิดแล้ว
ลืมไม่ได้เลยว่าพระธรรมลึกซึ้งเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่ออนุเคราะห์ให้ผู้ฟังมีความเห็นถูกเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งใช้คำว่าธรรมะ
เมื่อใช้คำว่าธรรมะคือสิ่งที่มีจริงแล้วจะเป็นอย่างที่เราเคยคิดมาก่อนว่าเป็นเรา เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ไหม นี่คือการค้านกับพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง
แต่ละคำต้องพิจารณาว่าฆ่าความโกรธโดยไม่รู้จักความโกรธแล้วฆ่าอย่างไร จะเอาแต่ผลเพื่อความเป็นตัวเราจะได้ไม่ต้องโกรธ เจอใครก็ช่วยบอกหน่อยวิธีที่จะไม่โกรธจะทำอย่างไร จะคิดอย่างไร ล้วนแต่เป็นเราทั้งหมด แต่คำสอนของพระองค์ต้องตรงกันข้ามกับความคิดของคนอื่นทั้งหมดเพราะเขาไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราอาจจะพอใจเพียงแค่ได้ยินคำว่าให้ทำอย่างนั้นให้ทำอย่างนี้ มีตำรา มีนักจิตวิทยา มีนักปรัชญามากมายหลายท่านแต่เขาไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
การศึกษาพระสูตร พระวินัยพระอภิธรรม เพื่อมีความเห็นถูกเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ถ้าพ้นจากนี้ไปก็คือตัวตน ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ก็ต้องเป็นเรา แล้วสิ่งนั้นก็ยังไม่เกิดด้วยก็ไปทำให้เกิด ซึ่งก็ไม่ใช่การเข้าใจสิ่งที่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าถามว่าจะฆ่าความโกรธได้อย่างไร ... ฆ่าไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรมะ ต้องเข้าใจธรรมะ ถ้าอ่านพระสูตรศึกษาพระสูตรไม่ดีก็พยายามไปฆ่าความโกรธโดยไม่เข้าใจว่าโกรธคืออะไร เป็นอะไร เป็นเราหรือเปล่า
คำถามของเทวดา "ฆ่าอะไรหนอจึงอยู่เป็นสุข" เหมือนทุกคนใช่ไหมอยากอยู่เป็นสุขเมื่อไม่โกรธ ถ้าโกรธเมื่อไหร่ก็ไม่สุข อยากอยู่เป็นสุขจะทำอย่างไร คำตอบของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือฆ่าความโกรธเสียได้จึงอยู่เป็นสุข ฟังอย่างนี้สำหรับคนที่พอจะเข้าใจได้ตั้งแต่แรกแล้วในที่สุดก็หยั่งลงไปสู่ความจริง เพราะความจริงที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้คือไม่โกรธเมื่อไหร่ก็สบายใจเมื่อนั้น ... จริงไม่ใช่ไม่จริง แต่ต้องลึกลงไปกว่านั้น ต้องตั้งต้นด้วยการที่คนสามารถเข้าใจได้ว่าจริง
"ฆ่าอะไรหนอจึงไม่เศร้าโศก" โกรธบ้าง เศร้าโศกบ้าง ล้วนแต่เป็นทุกข์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสตอบว่าฆ่าความโกรธเสียได้จึงไม่เศร้าโศก แค่คำนี้คำเดียว คำสอนของคนอื่นกับคำสอนของพระองค์ต่างกันไหม!!! ฆ่าความโกรธเสียได้ ประหารหรือดับหมดไม่เกิดเลยเป็นสุข แต่ถ้าคนทั่วๆ ไปก็ฆ่าความโกรธ ไม่โกรธเท่านั้น แล้วจะเอาอะไรไปฆ่า ... ดับไปแล้ว
โดยทั่วไปคนก็รู้ เวลาโกรธก็รู้ว่าความโกรธเกิดขึ้น แต่ไม่รู้ว่าความโกรธไม่ใช่เรา เป็นธรรมะ ไม่ว่าข้อความใดที่มีตั้งต้นจากข้อความที่ฟังดูเหมือนธรรมดา พอได้ฟังก็ดีใจพอใจว่าถ้าฆ่าความโกรธได้ก็ต้องเป็นสุข แต่ลึกลงไปกว่านั้นก็คือ ต้องรู้ว่าความโกรธคืออะไร แล้วจะฆ่าอย่างไร มิเช่นนั้นก็ไม่ใช่คำสอนของพระองค์
คำของพระองค์เริ่มต้นอย่างทั่วๆ ไปแล้วค่อยๆ รู้ว่าความโกรธคืออะไร แล้วจะฆ่าได้อย่างไร ไม่ใช่เพียงแต่บอกง่ายๆ ว่าฆ่าความโกรธได้จึงอยู่เป็นสุข ถ้าเพียงแค่นี้ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน
ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาเพื่อให้รู้จักว่าความโกรธคืออะไร แล้วจะดับหมด ประหารไม่เกิดอีกเลยเป็นสมุทเฉทได้อย่างไร ความลึกของคำที่อ่านเผินๆ ก็คิดว่าธรรมดานี่คือคำของพระองค์ตรัสไว้ แต่ไม่พอเลยเพราะว่าไม่สามารถละ .. ประหารความโกรธได้เพียงแค่ได้ฟัง ผู้จะเข้าใจพระธรรมต้องเป็นผู้ฟังธรรมะเข้าใจตามลำดับขั้น
การอ่านพระไตรปิฏกหรือการฟังธรรมผิวเผินไม่ได้เลย ถ้ารู้ว่าความโกรธเป็นธรรมะ ใครจะไปทำอะไรความโกรธได้ เกิดตามเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยที่จะให้เกิด .. เกิดไม่ได้ ไม่ว่าอะไรทั้งหมดไม่สามารถเกิดโดยไม่มีปัจจัย แต่เมื่อมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างไรต้องเป็นตามปัจจัย
ความโกรธมีจริง เป็นธรรมะ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ที่ยังยึดถือความโกรธว่าเป็นเราเพราะยังไม่รู้ความจริง ก็ไม่มีทางที่จะฆ่าความโกรธหรือดับความโกรธได้
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปกติในชีวิตประจำวัน แต่ละบุคคล มีอกุศลมากด้วยกันทั้งนั้น ทั้งความติดข้อง ยินดีพอใจ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ เป็นต้น เป็นความจริงที่ว่า ความโกรธ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ตราบใดที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ความโกรธ ก็ยังมี เมื่อมีเหตุที่จะทำให้ความโกรธเกิดขึ้น ความโกรธก็เกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา ถ้าเป็นผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมฟังพระธรรมจนกระทั่งมีความเข้าใจสภาพธรรม ที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม มีความเข้าใจว่าเป็นธรรมจริงๆ แล้ว ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ก็จะลดน้อยลง ทุกอย่างเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้นจริงๆ จึงไม่ควรโกรธใครเลยทั้งสิ้น ไม่ควรเห็นว่าโกรธเป็นเรื่องดี เพราะฉะนั้น จึงแสดงให้เห็นว่า การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง ทำให้ทุกคนมีที่พึ่ง นั่นก็คือ ปัญญา (ความเข้าใจถูก) ของแต่ละบุคคล นั่นเอง ครับ
ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีดังนี้
"ถ้าขาดบารมี (คุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) ๑๐ แล้ว ก็ไม่ถึงการที่จะละกิเลสตัวอย่าง ก็คือ เวลาได้ยินเรื่องราวที่ทำผิดไม่ถูกต้องแม้เป็นเรื่องที่ทำลายพระพุทธศาสนา ก็ไม่ใช่ว่าเราไปโกรธ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแสดงว่าให้โกรธ แต่ว่าให้เข้าใจว่าขณะนั้นเป็นธรรม (สิ่งที่มีจริง) แล้วจะโกรธธรรมไหน โกรธตาหรือโกรธหูหรือโกรธจมูกหรือโกรธได้ยินหรือโกรธอะไร ไม่มีเขาเลย แต่มีอกุศลเป็นเหตุที่ทำให้เขากล่าวคำอย่างนั้นทำอย่างนั้น และการโกรธไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลยทั้งสิ้น ทั้งที่เขาคิดว่าเรากำลังทำลายประโยชน์ของเขาบ้างหรืออะไรบ้างก็ตามแต่ แต่ประโยชน์จริงๆ คือ การดับกิเลส ไม่ใช่ได้ทรัพย์สินเงินทองหรือทรัพย์สมบัติ เพราะว่า ชาติหน้าจะรู้ได้ไหม เพราะฉะนั้น จะได้ จะเสียอย่างไร ไม่ใช่ใครไปทำทั้งสิ้น แต่เพราะเหตุ คือ ความดี นำมาซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์ และ สิ่งที่ไม่ดีทั้งหมดไม่ว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วยทรัพย์สมบัติสูญหายหรืออะไรก็ตาม หรือการถูกกล่าวร้าย ก็เพราะเหตุที่ได้ทำไว้ในอดีต เพราะฉะนั้น ไม่มีใครทำร้ายจิตของเราได้ถ้าเรามีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะว่า เป็นธรรม ทั้งหมด เพราะฉะนั้น บารมีสำหรับอบรมสำหรับเจริญขึ้นในทุกสถานการณ์"
ขอเชิญศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ
โกรธ ทำร้ายตัวเอง
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้โกรธ
..ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...