จะตายเดี๋ยวนี้ได้ไหม_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๕

 
khampan.a
วันที่  19 มี.ค. 2565
หมายเลข  42897
อ่าน  837

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


"จะตายเดี๋ยวนี้ได้ไหม?"

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๕




~
ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อรู้ว่าคำนั้นมาจากการที่พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุดของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทุกขณะ

~ ตราบใดที่ไม่มีความเข้าใจมั่นคงในพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาจะฟังด้วยความสงสัย

~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้คิดให้ไตร่ตรองให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมี

~ เดี๋ยวนี้กำลังเห็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องเห็นว่าอย่างไร กำลังเห็นจริงๆ แล้วพระองค์ทรงแสดงความจริงของเห็น ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาจะรู้ไหมว่าเห็นเกิดแล้วดับ

~ ทุกคนเกิดแล้ว และเกิดแล้วก็ต้องตาย แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตาย และไม่รู้ว่าตายคืออะไร ขณะเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ขณะตาย ใช่ไหม? เพราะฉะนั้นขณะเห็น ไม่ใช่ขณะตาย แต่ต้องตาย เพราะฉะนั้น ตายคืออะไร ขณะไหน ซึ่งไม่ใช่ขณะเห็น ไม่ใช่ขณะได้ยิน เพราะฉะนั้น ตาย มีแน่ๆ ต้องตายแน่ๆ แต่ตายคืออะไร และขณะนั้นเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ตอบได้ไหมว่า ตายคืออะไร?

~ เหตุปัจจัยต้องมีสำหรับทุกอย่างที่เกิด เพราะฉะนั้น จิตที่เกิดขึ้นทำหน้าที่ตาย (จุติจิต) ต้องมีปัจจัยให้เกิด มั่นคงไหมว่า ทุกอย่างมีปัจจัยจึงเกิดได้

~ มีใครจะเลือกเกิดได้ไหม? มีใครเลือกเห็นได้ไหม? มีใครเลือกไม่โกรธได้ไหม

~ เดี๋ยวนี้ได้ยิน เพราะฉะนั้น ได้ยินเป็นธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นรู้เสียง เราใช้คำว่าได้ยิน แต่ต้องเป็นธาตุที่สามารถได้ยินเสียง และรู้เฉพาะเสียงที่กำลังได้ยินเท่านั้น ไม่ใช่มีแต่เฉพาะธาตุรู้ที่เกิด ยังมีธาตุที่เกิดแต่ไม่รู้อะไรเลยด้วย แต่เพราะไม่รู้ความจริง ก็ยึดถือสิ่งนั้นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

~ เห็นเกิดขึ้นเห็น แต่เพราะไม่รู้ว่าเห็นเกิดขึ้นเห็นเท่านั้นและไม่มีใครอื่นเลยขณะเห็น จึงเข้าใจผิดว่าเห็นเป็นเรา

~ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้น แล้วไม่รู้ ก็เข้าใจผิดว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่มีบุคคลหนึ่งซึ่งรู้ความจริง เราไม่เรียกใครก็ได้ แต่มีบุคคลหรือสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งสามารถเข้าใจถูกตรงตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟังความจริงของสิ่งที่มี รู้ว่าเพราะมีบุคคลหนึ่งที่รู้ความจริงและทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้ฟังที่เรากำลังได้ฟังและพิจารณาไตร่ตรอง ว่า จริงหรือไม่จริงแค่ไหน เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นกล่าวถึงความจริงที่มีทั้งหมดให้คนอื่นได้เริ่มคิดเริ่มไตร่ตรองเริ่มเข้าใจถึง ๔๕ พรรษา บุคคลนั้นกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง โดยละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวงให้คนอื่นคิดได้เริ่มไตร่ตรอง เพราะฉะนั้น เราเรียกบุคคลนั้นว่าอะไร? ใช้คำว่าอะไรที่จะเรียกบุคคลนั้นซึ่งรู้ความจริงอย่างนี้ทั้งหมด เพราะฉะนั้น เรามีคำที่จะกล่าวถึงบุคคลนั้นซึ่งเป็นผู้ที่รู้ความจริงทั้งหมดเหนือบุคคลใดทั้งสิ้น ว่า พุทธะ หมายความว่าเป็นผู้ที่ตรัสรู้ความจริงยิ่งกว่าบุคคลใดทั้งสิ้น ถ้าเราไม่เคยได้ยินคำของบุคคลนั้นเลย เราจะรู้ไหมว่ามีคนที่สามารถรู้ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ทุกคำที่บุคคลนั้นกล่าวทำให้มีความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ทีละเล็กทีละน้อยจนสามารถรู้ความจริงว่าที่บุคคลนั้นกล่าวสามารถเข้าถึงความจริงนั้นได้

~ ได้ฟังได้เข้าใจความจริงของเห็นเดี๋ยวนี้ ของได้ยินเดี๋ยวนี้ ทำให้รู้ว่าบุคคลที่รู้อย่างนี้มีจริงๆ ใช่ไหม? ความไม่รู้มีมาก แต่พอฟังคำที่พูดถึงสิ่งที่มีให้เข้าใจขึ้นก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะเป็นความจริง แต่ไม่ใช่ทันทีที่ฟังก็สามารถประจักษ์ความจริงที่เกิดดับได้ บุคคลผู้นั้นรู้ว่าความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้รู้ยากอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น จึงแสดงหนทางที่จะค่อยๆ เข้าใจจนสามารถที่จะค่อยๆ อบรมจนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงตามที่ท่านผู้นั้นคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประจักษ์แจ้งแล้ว ถ้าไม่มีบุคคลผู้ตรัสรู้และกล่าวคำจริง จะไม่มีใครรู้ความจริงซึ่งปิดบังตลอดตั้งแต่เกิดจนตายได้ ทุกชาติ ถ้าไม่มีหนทางที่จะรู้ความจริง จะไม่มีใครรู้ความจริงเลย เพราะฉะนั้น สิ่งนี้มีจริงๆ และหนทางที่จะประจักษ์ความจริง ก็มีด้วย เพราะฉะนั้น จึงต้องฟังทุกคำเพื่อให้มีสิ่งที่เกิดแล้วเข้าใจที่เราใช้คำว่า “ปัญญา” เริ่มรู้ความจริง

~ ทุกอย่างที่มีจริงๆ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนไม่ให้มีได้ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีจริงหลากหลายมาก แต่ละหนึ่งๆ เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ เพราะฉะนั้น จึงมีธรรม สิ่งที่มีจริง หลากหลายมาก

~ ธรรมหนึ่ง เป็นธรรมนั้น เท่านั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เห็นเกิดขึ้นเห็น จะเปลี่ยนเห็นที่เกิดขึ้นเห็น เป็นได้ยินได้ไหม? (ไม่ได้) เปลี่ยนเห็น ให้เป็นเราได้ไหม? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น เริ่มรู้จักความจริงมั่นคงขึ้นๆ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง มีลักษณะเป็นสิ่งนั้นๆ เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะมีปัจจัยทำให้เกิดเป็นสิ่งนั้นแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์

~ มีสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ทั้งวัน ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม?

~ ขณะนี้ ต้องมั่นคงว่า ไม่มีเรา แต่ทั้งหมดเป็นธรรม ที่บอกว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรม ถูกหรือผิด? เริ่มมีแสงสว่างที่ไม่เคยมีมาเลย ที่สามารถทำให้เห็นถูกต้อง ว่า ไม่มีเราเดี๋ยวนี้ที่เห็น เริ่มรู้ว่ามีบุคคลที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่เห็น เพราะเพียงได้ยินนิดๆ หน่อยๆ เหมือนสิ่งที่อยู่ไกลริบ แต่รู้ว่า มี ที่นั่น

~ ไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ไม่มีอะไรที่จะมีค่าเท่ากับปัญญาที่เป็นแสงสว่างที่ทำให้เริ่มเห็นความจริงว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรมหลากหลายมาก

~ ธรรมที่ดี มีไหม? ธรรมที่ไม่ดี มีไหม? ถ้าไม่มีแสงสว่าง จะเห็นความต่างของธรรมที่ดี กับ ธรรมที่ไม่ดี ไหม?

~ ไม่มีคุณอาช่า แต่มีธรรม เป็นแสงสว่างหรือเปล่า เริ่มเข้าใจว่า ที่เคยเป็นคุณอาช่า ก็เป็นธรรมที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ใช่ไหม?

~ ที่เคยเป็นเรา ความจริง ก็เป็นธรรม แล้วธรรมที่ไม่ดี ก็ต้องไม่ดี ธรรมที่ดี ก็ต้องดี เปลี่ยนไม่ได้ เพราะเป็นธรรม

~ ต้องอาศัยปัญญาคือแสงสว่างอย่างเดียวที่จะทำให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง และรู้ว่า ความไม่ดีจะน้อยลงก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่ไม่ใช่เราเพิ่มขึ้น

~ ในสวรรค์มีธรรมที่ไม่ดีไหม? ในพรหมโลกมีธรรมที่ไม่ดีไหม? ให้ธรรมที่ไม่ดี ไม่มีไม่เกิดในสวรรค์และพรหมโลกได้ไหม? (ไม่ได้) นี่แสดงให้เห็นว่าเข้าใจความเป็นอนัตตาของธรรม เป็นแสงสว่างที่ค่อยๆ สว่างขึ้นจนสามารถทำให้เห็นชัดว่าธรรมที่ไม่ดี เป็นเหตุทำให้เกิดผลอย่างหนึ่ง และธรรมที่ดีก็ทำให้เกิดผลตรงกันข้าม

~ ถ้าเกิดมาเป็นคนสวย มีเงินทองมาก มีเกียรติยศ มีชื่อเสียง แต่ไม่รู้ความจริงกับคนที่ แล้วแต่ว่าจะเกิดเป็นอะไร แต่สามารถเข้าใจความจริงได้ อะไรดีกว่ากัน?

~ พระโสดาบันที่เป็นมนุษย์ กับ คนที่อยู่บนเทวโลก แต่ไม่ใช่พระโสดาบันอะไรดีกว่า? พระโสดาบันในมนุษย์กับพรหมบุคคลในพรหมโลกที่ไม่ใช่พระโสดาบัน อะไรดีกว่ากัน? ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ไม่เริ่มเข้าใจเลย เป็นพระโสดาบันได้ไหม? เพราะฉะนั้น เห็นประโยชน์สูงสุดของความเข้าใจถูก ซึ่งเป็นธรรมคือ ปัญญา

~ ทุกคน จะตายเดี๋ยวนี้ได้ไหม? ก่อนตายได้เข้าใจความจริงมีประโยชน์กว่าไม่เข้าใจความจริงเลย มีทรัพย์สินมีเงินทอง มีคนที่เรารัก มีคนที่เราชัง ทุกคนตามไปโลกหน้าไม่ได้เลย แต่อกุศลทั้งหลาย ความไม่รู้ทั้งหลาย ความติดข้องทั้งหลาย ความไม่ดีทั้งหลาย และความดีที่มี สามารถที่จะติดตามไปได้ เราต้องไปถึงตรงนั้นแน่นอน คือ การเกิดใหม่ แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังเป็นเดี๋ยวนี้ จะเป็นทางนำไปสู่ทางที่เราจะต้องถึงหลังจากที่ตายทันที

~ เริ่มเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง (เริ่มเห็น) เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรจะมีค่าเท่ากับความเห็นถูกเข้าใจถูก ที่เขาสามารถที่จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นได้ เมื่อมีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ

~ ถ้าไม่มีการเห็นประโยชน์สูงสุดเหนือสิ่งใดทั้งสิ้นของพระธรรม เขาก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการฟังเรื่องอายตนะ เรื่องขันธ์ เรื่องธาตุ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเพียงคำ แต่ถ้าเขามีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย นั่น มีค่า เพราะว่า สามารถจะนำไปสู่การรู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ได้

~ ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เพื่อให้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเท่านั้นทุกขณะ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจถูก เริ่มรู้ว่า ฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จนกว่าจะรู้ความจริง

~ เมื่อเขาสามารถเข้าใจได้แล้ว เขายินดีที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจด้วยไหม? นั่นเป็นกุศลธรรม เป็นความหวังดี เป็นความเป็นมิตรที่สุด ที่ไม่ใช่เขาแต่เป็นเพราะปัญญาเป็นแสงสว่างที่จะได้เห็นประโยชน์ คือ การที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจธรรมด้วย เป็นบารมีที่จะทำให้ค่อยๆ ทำให้เขาเข้าใจธรรมขึ้น ค่อยๆ เดินไปในทางที่จะละความไม่รู้และความเป็นตัวตนและกิเลสอื่นๆ

~ เมตตาที่จะให้เขาเข้าใจธรรม จึงเป็นเมตตาที่ประกอบด้วยปัญญาที่จะทำให้ค่อยๆ ละความติดข้อง จนกระทั่งสามารถที่จะมั่นคงในการที่จะเห็นโทษของอกุศลและเห็นประโยชน์ของการเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น

~ อดทนที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกในความลึกซึ้งของสิ่งที่กำลังมี เพราะเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ละชั่วได้จริงๆ และทำให้มีความดีถึงพร้อม ซึ่งในขณะนั้นที่มีความเข้าใจถูกต้อง ก็กำลังชำระจิตให้บริสุทธิ์

~ อดทนที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏและรู้ว่าเข้าใจยาก แต่สามารถเข้าใจได้อดทนไหม?

~ สามารถที่จะละอกุศล โดยไม่อดทนได้ไหม?

~ ถ้าไม่มีปัญญาความเห็นโทษของอกุศลจริงๆ ไม่สามารถที่จะเป็นบารมีที่จะทำให้ค่อยๆ ละอกุศลได้

~ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง? เริ่มเห็นพระคุณสูงสุด มากกว่านี้มหาศาล นับประมาณไม่ได้เลย แต่ก็เริ่มรู้ว่า นี่คือ ผู้ที่ตรัสรู้ความจริงจึงสามารถที่ทำให้กิเลสที่มีอยู่ในใจของทุกๆ คนค่อยๆ คลายจนกระทั่งสามารถที่จะดับได้เมื่อเห็นพระมหากรุณาของพระองค์ แต่ละคำ เพื่อไม่ให้เข้าใจผิด ไม่ให้หลงผิดไปในทางอกุศล

~ ถ้าเข้าใจธรรมมากขึ้น เข้าใจความจริงขึ้น จะยิ่งเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นอีกไหม?

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ไม่ใช่เพียงแสดงความจริงให้ฟังให้รู้ แต่เพื่อที่จะเห็นโทษของอกุศลและประพฤติปฏิบัติตาม มิฉะนั้นแล้ว ไม่มีประโยชน์เลยเพียงแค่ฟังเข้าใจแต่ไม่ประพฤติปฏิบัติตาม ชื่อว่า เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ ตราบใดที่ยังไม่ค่อยๆ ประพฤติปฏิบัติตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แสดงว่าความเข้าใจธรรมยังไม่ถึงระดับที่สามารถจะทำให้ละคลายอกุศล และทำกุศลเพิ่มขึ้นได้

~ วิริยารัมภกถา เป็นกถา คือ คำพูดที่ทำให้เริ่มมีความเพียรในทางกุศลขึ้น

~ ปัญญารู้ความจริงว่าอกุศลมีมากเหลือเกิน แต่ปัญญาที่เข้าใจและเริ่มมากขึ้นมีกำลังกว่าแน่นอน แต่ต้องไม่ประมาทเลย ทุกขณะมีประโยชน์ มีความสำคัญ ถ้าไม่ใช่ขณะนี้ แล้วเมื่อไหร่จะมีความเข้าใจขึ้น

~ ปัญญาทำหน้าที่ให้รู้ว่ากำลังประพฤติตามคำสอนหรือเปล่า มิฉะนั้นแล้ว ก็ต้องเป็นไปตามกำลังของอกุศลเหมือนเดิม

~ ทุกขณะมีค่ามาก เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้จะให้เป็นขณะของกุศลหรืออกุศล ปัญญาทำหน้าที่ให้ไม่รอที่จะทำกุศล

~ โอกาสที่จะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยาก ไม่ง่ายเลย เพราะว่า การที่จะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานมากตามที่ทรงต้องบำเพ็ญพระบารมี และเมื่อทรงแสดงธรรมแล้ว ผู้ที่เคารพสูงสุด ฟังพระธรรมด้วยความเคารพ จึงจะไม่เข้าใจผิด

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนคำที่ทำให้ถอยห่างจากปากเหว ซึ่งถ้าไม่มีคำของพระองค์คนที่ตายแล้ว เกิดที่ไหนมากกว่ากัน? ถ้าเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีโอกาสจะเข้าใจคำที่เรากำลังพูดถึงนี้เลย ถ้าเกิดในนรก มีแต่ความทรมานไม่ว่างเว้น

~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีสิ่งใดจะมีค่าเทียบได้เลย เพราะฉะนั้นก่อนที่จะปรินิพพาน พระองค์ตรัสว่า จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ถึงพร้อมหมายความว่าในทุกเรื่อง แม้ในการฟัง

~ ถ้าเข้าใจธรรมมากขึ้น จะหมดสงสัย ค่อยๆ หายสงสัย ในนรก ในสวรรค์ ในมนุษย์ ในสัตว์เดรัจฉานไหม?

~ ไม่ว่าอะไรที่มีจริงทั้งหมด มีจริงๆ เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง นรก สวรรค์ มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ก็เป็นธรรมทั้งหมด เป็นธรรมที่เป็นเหตุ และเป็นธรรมที่เป็นผลมีจริงๆ แต่เหตุไม่ใช่ผล และผลไม่ใช่เหตุ เหตุเป็นเหตุให้เกิดผล และผล เป็นผลที่เกิดจากเหตุ เพราะฉะนั้น การเกิดในมนุษย์ ในสวรรค์ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์นรก ทั้งหมด เป็นผลของเหตุ เลือกไม่ได้

~ คุณอาช่ายังเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่หรือเปล่า? ยังมี, บังคับให้ไม่มี ได้ไหม? ให้คุณอาคิลเป็นอย่างคุณอาช่า แล้วให้คุณอาช่าเป็นอย่างคุณอาคิลได้ไหม? ไม่ได้, คุณอาช่า เจ็บมากไหม? ยังไม่เท่ากับการเกิดในนรก

~ ต้องไม่ลืม ว่า การเกิดเป็นผลของกรรม ทำให้หลากหลายมาก เป็นแต่ละคนแต่ละชีวิต แต่ละพ่อแม่เพื่อนฝูง เป็นต้น และหลังจากนั้นจะรู้ผลของกรรมอีก ก็คือขณะเห็น ขณะได้ยิน ขณะได้กลิ่น ขณะลิ้มรส ขณะเจ็บปวดหรือสบายที่รู้ได้ทางกายเท่านั้น คร่าวๆ เบื้องต้นที่สามารถจะรู้ได้ คือนี้แหละ เป็นผลของกรรมที่ได้ทำแล้ว

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้แล้ว ก่อนปรินิพพาน พระองค์ได้รับผลของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วหรือเปล่า? มี, ประมาทกรรมได้ไหมว่าจะไม่ให้ผล? ไม่ได้ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตามที่มีผลของกรรมเกิดขึ้น ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส สำหรับคนที่มีกิเลส ลำบากเดือดร้อน เพราะกิเลส แต่คนที่กำลังเจ็บป่วย ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ได้กลิ่น ลิ้มรสที่ไม่ดี ทั้งหมด ถ้ามีปัญญาไม่เดือดร้อน ไม่เดือดร้อน เพราะปัญญาเริ่มรู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมหลากหลายมาก

~ มั่นคงในการประพฤติตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง ถ้ายังไม่ประพฤติตาม ปัญญารู้ว่า เพราะความเข้าใจยังไม่พอ เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นโทษของอกุศลจริงๆ เห็นภัยใหญ่หลวงของอกุศลจริงๆ ก็จะมีที่พึ่ง คือ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทำให้เข้าใจความจริงว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา ค่อยๆ คลายความติดข้องในสิ่งที่เคยเป็นเรา

~ พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน แสดงว่ามีความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากน้อยแค่ไหน คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้จิตใจของคนอื่นได้ แต่ค่อยๆ รู้เมื่อได้ยินคำพูดและการกระทำ การเข้าใจความจริงในชีวิตประจำวัน แสดงว่า รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่ไหน และเคารพในพระองค์แค่ไหน

~ ต้องไม่ลืม ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ได้ ลึกซึ้งอย่างยิ่ง และทรงแสดงหนทางให้รู้ความจริงด้วย เพราะฉะนั้นจุดประสงค์สูงสุดคือฟังคำของพระองค์ ประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อเข้าใจหนทางที่พระองค์ทรงพระมหากรุณาแสดงโดยละเอียดอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันความเห็นผิด

~ ถ้าไม่เข้าใจความเป็นอนัตตา ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจคำใดๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส

~ ขณะใดที่เว้นบาป ไม่ทำบาป ขณะนั้นมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เมื่อเข้าใจความจริงที่ทำให้เว้น ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี

~ ต้องไม่ลืม ว่า มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งจริงๆ เมื่อเข้าใจคุณของแต่ละคำที่พระองค์ตรัสให้รู้ความจริงของสิ่งที่มี และมีการเว้นชั่ว และทำความดีให้ถึงพร้อมและชำระจิตให้บริสุทธิ์ด้วยความเข้าใจธรรม

~ มีความมั่นคงในเรื่องชาตินี้ชาติก่อนชาติหน้าหรือยัง? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้ไว้หรือเปล่า ท่านอนาถบิณฑิกะ วิสาขามหาอุบาสิกา ไม่ใช่พระอรหันต์ เดี๋ยวนี้อยู่ไหน? (ท่านอนาถบิณฑิกะ อยู่สวรรค์ชั้นดุสิต วิสาขามหาอุบาสิกา อยู่สวรรค์ ชั้นนิมมานรดี)

~ ถ้ายังมีกิเลส ยังต้องเกิด ถ้าหมดกิเลสแล้ว ทุกท่านปรินิพพาน ไม่มีการเกิดต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอรหันต์ทั้งหลาย ปรินิพพาน


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
petsin.90
วันที่ 19 มี.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
natthayapinthong339
วันที่ 19 มี.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
swanjariya
วันที่ 19 มี.ค. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในความดีค่ะคุณสุคินและทุกๆ ท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 19 มี.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Naiyadee
วันที่ 19 มี.ค. 2565

สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 19 มี.ค. 2565

    ...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน และ อ.คําปั่น และทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Sea
วันที่ 19 มี.ค. 2565

กราบครูผู้ให้ปัญญาส่งต่อสาสน์จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่ง และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
tim7755tim
วันที่ 20 มี.ค. 2565

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันต้องใช้ความอดทนมากเพราะกิเลสยังมีและต้องไม่ประมาทเมื่อเหตุปัจจัยจะเกิดต้องรู้ทันจิตและอารมที่กำลังเกิดเดี๋ยวนี้ตรึกตรองว่าเหตุที่เกิดเป็นเห็นแล้วดับได้ยินแล้วดับทีละหนึ่งถ้าจิตไม่ไปรับรู้ในสิ่งที่เห็นเพราะว่าเดี๋ยวก็ดับเป็นเพียงเห็นได้ยินไม่มีตัวตนไม่ใช่เราเป็นธรรมะเป็นอนัตตา

ขอนอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นขอพระองค์ทรงเป็นที่พึ้งแด่สัตว์โลกทั้งหลายทั้งมวนด้วยเทอญ

กราบอนุโมทนากุศลธรรมค่ะท่านอาจารและกัลยานมิตทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 21 มี.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Lai
วันที่ 21 มี.ค. 2565

กราบบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพ และอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Dechachot
วันที่ 21 มี.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ