เสียงโหยหวน... ในวันที่มีผู้เสียชีวิต
มีผู้เสียชีวิตในหมู่บ้านที่เราอยู่ ในคืนวันนั้นไม่มีใครอยู่บ้านที่มีผู้เสียชีวิตเพราะไปงานศพกันหมด ซึ่งงานศพจัดที่วัดซึ่งอยู่ไกล
เวลาประมาณ 2 ทุ่ม บรรยากาศในบริเวณที่เราอยู่มีความเงียบมากและวังเวง รู้สึกแปลกๆ ไม่เหมือนวันทั่วๆ ไป เพราะไม่มีเสียงจิ้งหรีดหรือสัตว์ใดๆ ร้อง (ปกติจะได้ยินเสียงจิ้งหรีด และสัตว์ต่างๆ ร้องทุกวัน) มีแต่เสียงหมาหอนในหมู่บ้าน อากาศเย็นลง
เวลาประมาณ 2 ทุ่มเศษ เราได้ยินเสียงของผู้เสียชีวิตและสังเกตุได้ว่ามีร่างคนมาดักรออยู่หน้าบ้านของเรา... ซึ่งพิจารณาได้ว่าร่างคนที่มาปรากฏตัวมีลักษณะคล้ายๆ ผู้ตาย รู้สึกตกใจและขนลุก เพราะในชีวิตไม่เคยเจอเหตุการณ์แปลกๆ แบบนี้มาก่อน หลังจากนั้นเราเดินไปหลบบริเวณหลังบ้าน
เวลาประมาณ 3 ทุ่ม สิ่งที่เราเจอนั้นมาปรากฏตัวเป็นครั้งที่2 โดยอยู่ใกล้ๆ กับห้องนอน ข้างๆ บ้านของเรา โดยได้ยินเสียงคนมานั่งร้องไห้เหมือนเสียใจมากอยู่ข้างๆ บ้านเรา เสียงร้องไห้ดังและได้ยินชัดเจนเป็นระยะเวลา 2นาที
เราก็ทำอะไรไม่ถูกเพราะรู้สึกว่าเสียงนั้นเริ่มดังขึ้นๆ กระชั้นชิด หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาก ซึ่งเป็นเสียงแหลมๆ ยาวๆ น่าสะพึงกลัว (โดยเสียงนั้นมาแทนที่เสียงคนร้องไห้) เกิดมาพึ่งเคยได้ยินเสียงในลักษณะนี้ จนทำอะไรไม่ถูกแต่ก็พยายามระมัดระวัง เพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมีเจตนา หรือ มีเรื่องอะไรจึงมาหา และปรากฏให้เห็น
คืนนั้นเราก็เลยเปิดไฟทิ้งไว้ และไม่ได้นอนทั้งคืน น่ากลัวจนไม่กล้าปิดไฟ ช่วงประมาณ 6 ทุ่มก็เหมือนมีคนมาเดินรอบๆ บ้าน มีเสียงเหมือนคนเดินรอบๆ บริเวณบ้านตอนกลางคืนทุกวัน ตลอดระยะเวลา 7 วัน (หลังจาก 7 วันผ่านไปก็ไม่มีอะไร)
แต่อยากทราบว่าเสียงโหยหวนนั้น คืออะไร ต้องการจะสื่ออะไร และเราควรปฏิบัติอย่างไร?
* * * เราทราบมาว่าในบั้นปลายชีวิตของผู้ตาย ชอบพูดโกหก มีเล่ห์เหลี่ยม และเคยตกเป็นจำเลยคดีความที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตและคอรัปชั่น
ขอบพระคุณมากครับ
อีกคำถามครับ หมาหอน ในค่ำคืนที่มีผู้เสียชีวิต เพราะเห็นอะไรหรือเปล่าครับ?
บรรยากาศที่วังเวง เงียบผิดปกติ มีเสียงแปลกๆ อากาศเย็นๆ ที่ทำให้ขนลุกและน่ากลัว เป็นเพราะมีพลังงานลึกลับ อะไรบางอย่างมาอยู่บริเวณนั้นหรือเปล่าครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คำว่า ผี ความเข้าใจส่วนใหญ่ก็เข้าใจกันว่าเป็นบุคคลที่ตายแล้วและก็เป็นวิญญาณล่องลอยและปรากฎให้เห็นได้ แต่ในความเป็นจริงที่เป็นสัจจะธรรมแล้ว เมื่อตายแล้วคือจุติจิตเกิดขึ้น ปฏิสนธิจิต (การเกิด) เกิดต่อเปลี่ยนภพภูมิทันที ไม่ใช่ว่าจะต้องมีวิญญาณล่องลอยที่จะคอยหาที่เกิดเป็นผีครับ ตายแล้วจะต้องเกิดทันทีครับ แต่จะเกิดเป็นอะไรนั้นก็แล้วแต่กรรมที่จะให้ผลครับ หากเกิดเป็นสัตว์ก็คงไม่เรียกว่าผี หากเกิดเป็นมนุษย์ก็คงไม่เรียกว่าผี แต่เมื่อเกิดเป็นเทวดาซึ่งเทวดาก็สามารถปรากฏให้เห็นได้ ใช่ผีหรือเปล่า ซึ่งในพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง แบ่งภพภูมิเป็นหลายภพภูมิ ทั้งมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต เทวดา เป็นต้น ผู้ใดก็ตามที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น เทวดาเปรต ก็เรียกว่าอมนุษย์ครับ
ส่วนในบางกรณีสำหรับการที่บางบุคคลพบกับบุคคลที่ตายไปแล้ว ยังมาให้เจออีกประเด็นนี้เราควรมีความเข้าใจถูกครับว่าที่เห็นเป็นบุคคลที่ตายแล้ว ยังอยู่ให้เห็นก็เพราะสัตว์นั้นไปเกิดเป็นเปรตทันที ต้องการส่วนบุญเพราะเปรต อาหารที่เขาจะได้รับคือการอุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วจะทำอย่างไรให้เขารู้ได้ก็ด้วยการปรากฎให้เห็น เพื่อบุคคลอื่นจะได้ทำบุญไปให้กับเปรตนั้นครับ แต่จะต้องเข้าใจใหม่ว่าไม่ใช่เป็นวิญญาณล่องลอยที่คอยตามและแสวงหาที่เกิดแต่ตายแล้วเกิดทันทีครับ ผู้ที่เกิดเป็นเปรตต้องการส่วนบุญจึงปรากฎให้เห็น ซึ่งในพระไตรปิฎก สมัยพุทธกาลก็มีบางบุคคลเจอบุคคลที่ตายแล้ว เพื่อมาขอส่วนบุญกับบุคคลที่เจอโดยให้คนที่มีชีวิตอยู่อุทิศกุศลที่ทำไปแล้วไปให้เปรตได้รับรู้และอนุโมทนาครับ
หากเป็นสัจจะความจริงก็จะเข้าใจขึ้น และไม่เข้าใจผิดในคำว่าผีตามภาษาไทยและความเข้าใจเดิมครับ สัตว์โลกมีภพภูมิมากมาย ตามอำนาจของกรรมและมีความหลากหลายและความวิจิตรของสภาพธรรม ปัญญา ความเข้าใจพระธรรมจะเป็นเครื่องเตือนและเข้าใจความจริงในสิ่งที่รู้และทราบในชีวิตประจำวันครับ
ที่สำคัญที่สุด ในสัจจะ ธัมมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้สัตว์โลกเข้าใจความจริงที่สัตว์โลกยึดถือด้วยความเห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล มีผีมีสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ในความจริงแล้ว สัจจะที่เป็นอริยสัจจะ พระองค์ทรงแสดงว่ามีแต่สภาพธรรมที่เป็นขันธ์ 5ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป หากไม่มีสภาพธรรมไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีได้กลิ่น ไม่มีลิ้มรส ไม่มีสภาพธรรมอะไรเลย จะมีสัตว์ บุคคลหรือแม้แต่ผีที่เป็นเปรต จะมีได้ไหม มีไม่ได้เลยครับ เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการศึกษาพระธรรมคือการเพิกถอนความเห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคลหรือมีผี ทั้งๆ ที่ความจริงมีแต่สภาพธรรมเท่านั้นในขณะนี้ที่คิดนึก เมื่อเราเข้าใจความจริงอย่างนี้ ย่อมเป็นปัจจัยให้สามารถอบรมปัญญา ดับกิเลสได้เพราะเป็นสัจจะ เข้าใจตามสัจจะที่พระองค์ทรงแสดง ผีมีเมื่อไหร่ ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยินและไม่มีคิดนึก ผีจะมีได้ไหมครับ ดังนั้นเรากลัวอะไรนอกจากกลัวความคิดนึกของเราเองหลังจากเห็นและได้ยิน เพราะความจริงมีแต่สภาพธรรมครับ แต่เมื่อมีเหตุปัจจัย ปัญญายังไม่มากพอก็ยังกลัวเพราะความไม่รู้และกิเลสที่สะสมมา ครับ
สิ่งที่ควรคิดและไม่ควรคิด
[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒-หน้าที่ 463
จินตสูตร
.......... .เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงอย่าคิดเรื่องโลกว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพ เป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีก สัตว์เบื้องหน้า แต่ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็มี ย่อมไม่ เป็นอีกก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีก ก็หามิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะความคิดนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.
[๑๗๒๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อเธอทั้งหลายจะคิด พึงคิดว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะความคิด นั้นประกอบด้วยประโยชน์ เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความ หน่าย... เพื่อนิพพาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลาย พึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธ คามินีปฏิปทา.
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตามความเป็นจริงแล้ว แต่ละคนเกิดมาแล้วก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครรอดพ้นไปได้เลย เมื่อตายไปแล้ว ตราบใดที่ยังเป็นผู้มีกิเลสก็ยังต้องเกิดอีก ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดเป็นอะไร ในภพใด ตามสมควรแก่กรรมที่ได้กระทำแล้ว ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือ เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมก็ทำให้เกิดเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดา
เราไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้ตายไปแล้วเขาไปเกิด ณ ที่ใด ส่วนมากก็เป็นเรื่องของความคิดของตนเองเท่านั้น ได้ยินอะไรหน่อย ก็ตรึกนึกคิดไป และเกิดอกุศลต่อไปอีกมาก
ที่จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ละจากโลกนี้ไปแล้ว คือ ทำบุญอุทิศไปให้ และอีกประการหนึ่ง ที่ควรพิจารณาจริงๆ คือ ในที่สุดแล้ว เราก็จะต้องตายเหมือนกับผู้ที่ตายไปแล้วนั่นแหละ ดังนั้น กิจที่ควรทำก่อนที่วันนั้นจะมาถึง คือ ไม่ประมาทในการศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา และไม่ประมาทในการเจริญกุศลสะสมเป็นที่พึ่งต่อไปครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...