ใส่บาตรด้วยเงิน ทำลายพระพุทธศาสนา

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  24 มี.ค. 2565
หมายเลข  42918
อ่าน  831

บันทึกบางตอน จากการสนทนาธรรม โดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ อาจารย์ ธีรพันธ์ ครองยุทธ ที่ สำนักงานเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙

ติดตามบันทึกการสนทนาต้นฉบับได้ที่ลิงก์ด้านล่าง : 


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 24 มี.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
puangpetch
วันที่ 24 มี.ค. 2565

ถอดคำบรรยายธรรม
ธรรม อ.สุจินต์_124 ใส่บาตรด้วยเงิน ทำลายพระพุทธศาสนา

ผู้ฟัง : ช่วงนี้เห็นทางมูลนิธิทำเสื้อแล้วก็กระเป๋านะคะ ที่บอกว่าภิกษุในธรรมวินัย ไม่ยินดีในเงินและทอง อยากให้อาจารย์อธิบายคำนี้ค่ะ เพราะว่าจะเห็นบ่อยเลยว่า บางทีเขาตักบารตรอาหารแห้งอย่างนี้ค่ะ เสร็จแล้วนี่โอ๊ยของที่เตรียมมาไม่พอ เอาอย่างนี้แล้วกัน ใส่ไปองค์ละยี่สิบบาท ยี่สิบบาท ยี่สิบบาท อย่างนี้ค่ะ มันถูกต้องไหม ขอบคุณค่ะ

สุ. ค่ะ นี่คือเราไม่ได้เข้าใจว่าภิกษุคือใคร ใช่ไหมคะ ถ้ารู้ว่าภิกษุคือผู้ที่สละ ละทุกสิ่งทุกอย่าง ทรัพย์สมบัติ อาคาร บ้านเรือน แล้วจะรับเงินทองไปทำไม เพราะเหตุว่าภิกษุไม่มีกิจของคฤหัสถ์ หุงต้มก็ไม่ได้ ทำอะไรที่เคยทำอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้เลยนะคะ เพราะกิจของพระภิกษุคือศึกษาธรรมและขัดเกลากิเลส ในเพศของบรรพชิต

เพราะฉะนั้น ถ้ารู้ว่าภิกษุเป็นอย่างนี้นะคะ จะให้เงินให้ทองภิกษุได้ยังไง ในเมื่อเงินทองสำหรับชาวบ้านที่จะจับจ่ายใช้สอย

ผู้ฟัง : ก็ยังมี มีประชาชนหลายคน เยอะมาก ที่ก็ยังใส่บาตรด้วยเงินยี่สิบบาท สี่สิบบาท อะไรอย่างนี้เป็นประจำมาก

สุ. ค่ะขอเชิญคุณธีรพันธ์ โทษของภิกษุที่รับเงินทองค่ะ

อ.ธีรพันธ์ : ความจริงข้อความนี้ไม่ได้เป็นการกล่าวลอยๆ นะครับ ภิกษุในธรรมวินัยไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง นะครับ จะมีสิกขาบทที่ภิกษุบวชเข้ามาที่ต้องศึกษา จะมีข้อหนึ่งท่านแสดงไว้ว่า

ภิกษุรับก็ดี ให้ผู้อื่นรับก็ดี ซึ่งทองและเงิน หรือยินดีในทองและเงิน ที่ผู้อื่นเก็บไว้ให้ ต้องอาบัติ นิสสัคคิยปาจิตตีย์

หมายความว่า เงินทองนี่ไม่สำหรับ ไม่ใช่เพศสมณะที่จะบวชเข้ามาแล้วมารับเงินทอง เพราะว่าละการครองเรือนมาแล้วใช่ไหมครับ ฆารวาสก็รับเงินทอง ภิกษุละอาคารบ้านเรือนมาแล้ว สละวงศาคณาญาติมาแล้ว แต่ยังยินดีเงินทองเหมือนฆารวาส จะเป็นพระภิกษุไหมครับ ก็ไม่ต่างกันใช่ไหมครับ

ฆารวาสก็รับเงินทอง ภิกษุก็รับเงินทอง แล้วบวชเข้ามาทำไมครับ คำว่า บวช แปลว่าเว้นทั่ว เว้นๆ เว้นจากบาปอกุศลทั้งหลาย นะครับ เพราะฉะนั้นถ้าบวชเข้ามาแล้ว ท่านแสดงว่าภิกษุรับเงินทองนี่แสดงว่าเป็นผู้ยังยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

เงินทองสำหรับฆารวาสไม่ผิด ใช่ไหมครับ ไม่มีใครจะไปคิดว่าชาวบ้านรับเงินทองจะผิดตรงไหน ใช่ไหมครับ แต่ว่าภิกษุประกาศตนมาแล้วว่าจะบวชเข้ามาในธรรมวินัยนี้ หมายความว่าสละแล้ว แล้วถ้ามารับเงินอีก เป็นผู้สละหรือครับ ไม่ต่างอะไรจากเพศคฤหัสถ์เลย ชาวบ้านทั่วไปเลยนะครับ

เพราะฉะนั้น บวชเข้ามาทำไมครับ มารับเงินทองหรือ จริงๆ แล้วนี่ ภิกษุรับเงินทองต้องอาบัติ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ หมายความว่าเป็นอาบัติประเภทหนึ่งที่ภิกษุจะต้องทำให้ถูกต้อง จะต้องสละเงินท่ามกลางสงฆ์

ถ้าภิกษุรับเงินทองนะครับ โทษก็คือว่า หลังจากที่ไม่ได้แสดงอาบัติไม่ได้ปลงอาบัติ ตายในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะที่เป็นพระภิกษุ ไปเกิดในอบายภูมิ

อบายภูมิก็มีนรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน ภิกษุรับเงินทองคิดดูแล้วกันครับ เป็นโทษแก่ท่านนะครับ ไม่ใช่ไม่เป็นโทษครับ

สุ. ค่ะ ภิกษุรับเงินไปทำไมคะ

ผู้ฟัง : บางทีก็ต้องไป นั่งแท็กซี่ไปบ้าง ไปธุระอะไรอย่างนี้บ้าง

สุ. ภิกษุมีหน้าที่ทำอะไร

ผู้ฟัง : ศึกษาพระวินัย

สุ. ค่ะ แล้วจะนั่งแท็กซี่ไปไหน

ผู้ฟัง : แล้วก็เผยแพร่

สุ. ค่ะ แล้วจะนั่งแท็กซี่ไปไหน ไม่ตรง ต้องตรงค่ะ ไม่อย่างนั้นรักษาพระศาสนาไม่ได้เลย

ผู้ฟัง : ก็ที่ได้ให้อาจารย์ช่วยอธิบายอันนี้ค่ะ สมาชิกจะได้เข้าใจ

สุ. ต้องรู้ว่าเงินทองนะคะ ถ้าไม่สามารถจะไปซื้อหาอะไรมาได้ ไม่มีใครต้องการเลย ใช่ไหมคะ ต่อให้กองเท่าภูเขา ไม่สามารถที่จะไปซื้อหาอะไรมาได้ ก็ไม่มีใครต้องการ เอาไปทิ้งได้เลย

แต่เพราะเหตุว่า เงินทองสามารถที่จะนำมาซึ่งสิ่งที่ต้องการ เห็นสิ่งที่ดี จะไปดูหนัง ดูละคร ฟังเพลงเพราะๆ ได้อาหารอร่อย ได้กลิ่นหอมทั้งหมดมาจากเงินและทอง

แต่ว่าภิกษุเป็นผู้ที่เห็นโทษของกิเลส รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ค่ะ ทรงบำเพ็ญพระบารมีนะคะ แล้วก็ตรัสรู้จึงสามารถที่จะดับกิเลส ไม่มีความติดข้อง ไม่ว่าจะในอะไรทั้งสิ้น ถ้าติดข้องก็หมายความว่ายังมีกิเลสอยู่

ด้วยเหตุนี้ภิกษุนั้นต้องการที่จะดำเนินตามพระพุทธเจ้า มิฉะนั้นเขาก็แค่ฟังธรรมอย่างเรานี่ แล้วก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ โดยไม่ต้องบวช แต่ใครก็ตามที่เป็นผู้ที่จะขัดเกลากิเลสจนถึงกับสละอาคารบ้านเรือน ต้องตรง ไม่รับเงินรับทอง ไม่ทำหน้าที่อย่างคฤหัสถ์อีกต่อไป นะคะ

แล้วก็เป็นที่เคารพนับถือกราบไหว้ของชาวบ้าน เพราะเขาเห็นศรัทธา จิตที่ผ่องใส ที่สามารถที่จะเห็นโทษของอกุศล สามารถที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต คือภิกษุตามพระพุทธเจ้า ตามรอยพระบาท เพราะเหตุว่าพระพุทธเจ้าประพฤติอย่างไร ภิกษุก็ต้องประพฤติอย่างนั้น พระพุทธเจ้ารับเงินทองหรือเปล่า แล้วเราไปให้พระรับเงินทองได้ยังไง

ผู้ฟัง : อย่างลูกชายนะคะ ลูกชายตอนนี้บวชอยู่สิบสองพรรษา อยู่ที่นครพนม ท่านจะเดินอย่างเดียว แล้วไม่เคยรับตังค์จากใครเลย ไม่รับเงิน ถ้าเงินเขาถวายนี่ไม่รับ ให้เขาไว้ทำบุญที่อื่น

สุ. ค่ะ แล้วรู้อะไร

ผู้ฟัง : ก็ไม่ทราบ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม เวลาเข้าห้องน้ำนะคะ เข้าห้องน้ำฝนตกก็ยังเก็บตังค์จากพระเลย โยมพ่อต้องเสียตังค์

สุ. คนที่ไม่รับเงินรับทอง มีถมไป ในป่าก็มี แต่ไม่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราไปนับถือภายนอก ว่าคนนี้ไม่รับเงินรับทอง อยู่ป่า แต่ต้องรู้เขารู้อะไร อยู่ในป่าไม่สำคัญค่ะ นก เสือ จรเข้ หรืออะไร

ผู้ฟัง : อยู่ในป่า เดินไปบิณฑบาตรไปกลับหกกิโล

สุ. เขาก็ทำกัน แต่เขารู้อะไร สำคัญที่ความเข้าใจถูกค่ะ ไม่ใช่สำคัญที่นุ่งห่มสีนั้นสีนี้หรืออะไร ไม่ได้ช่วยให้มีความเข้าใจถูกอะไรเลย แล้วจะเป็นสีขาวหรือสีอะไร

ผู้ฟัง : นั่งปฏิบัติธรรม จนนั่งจนลุกไม่ขึ้น

สุ. ปฏิบัติธรรมคืออะไรก็ไม่รู้

ผู้ฟัง : ไม่ทราบค่ะ

สุ. ธรรมคืออะไรก็ไม่รู้นะคะ แล้วปฏิบัติธรรม แต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจถูกต้องว่าธรรมคืออะไร นี่ต่างกันแล้ว

เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างกับคำสอนของคนอื่น คนอื่นไม่ได้ทำให้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นความเห็นถูกต้องของตนเอง จากการฟังแล้วไตร่ตรอง จนเป็นความเห็นที่ถูกต้อง มิเช่นนั้นเกิดมาไม่รู้ ตายไปด้วยความไม่รู้ทุกชาติ

จะเอาเงินถวายพระให้พระอีกไหม จะเอาเงินใส่บาตรอีกไหม ต้องเป็นคนที่ตรง แต่ไม่ใช่บอกหรือสั่งนะคะ แต่รู้ว่าภิกษุเป็นใคร ภิกษุคือผู้ที่ไม่รับเงินทองค่ะ

ถ้าใครรับเงินทอง คนนั้นไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย ตอนนี้รู้จักพระภิกษุไม่ยากใช่ไหมคะ ใครรับเงินและทองคนนั้นไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย

ผู้ฟัง : อย่างวัดธรรมกายนี่ ทำบุญหนึ่งหมื่นประตูสวรรค์เปิด

สุ. ผิด

ผู้ฟัง : ทำบุญสองหมื่น สวรรค์ชั้นสองเปิด

สุ. ไม่มีในพระไตรปิฎก ไม่มีในพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้นเขาไม่ใช่ชาวพุทธ

ผู้ฟัง : ก็เห็นเขา เขาสอนกันอย่างนั้น...

สุ. เพราะฉะนั้นไม่ใช่พุทธ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ผู้ฟัง : แล้วก็เขาก็ไปสร้างพระกัน สร้างพระประจำตัว บ้านหนึ่งมีพ่อแม่ลูกจะต้องไปสร้างพระหลายๆ หลายๆ

สุ. ไม่มีคำสอนอย่างนี้ในพระไตรปิฎกค่ะ

ผู้ฟัง : แล้วอย่างวัดอื่นน่ะ วัดอื่นๆ น่ะ เขาก็ยังบอกว่า ให้สร้างพระแล้วก็จะเอาประจำไว้ที่วัดนี้ๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ

สุ. ถ้าเป็นพระภิกษุที่ศึกษาธรรม ทำไมไม่สอนให้คนอื่นเข้าใจธรรม ทำไมบอกให้ไปสร้างโน่นสร้างนี่ ก็ผิดแล้ว เกิดแล้วต้องตายทุกคน ทำไมไม่เข้าใจให้ถูกต้อง ให้ตรง

ผู้ฟัง : อย่างพี่ชายเขาก็ยังจะบอกว่า เอามั๊ยๆ สร้างพระไหม แล้วก็มีชื่ออยู่ข้างล่างนะ จะเอาไปประดิษฐ์ที่ประดิษฐ์สถานที่วัดหลวงพ่อนี้ๆ ๆ ๆ อะไรอย่างนี้

สุ. ไม่มีธรรมให้เข้าใจเลย มีแต่ให้ทำ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างที่เขาบอกเลย ให้รู้ว่าเขาไม่ใช่ผู้ที่นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ผู้ฟัง : เขาก็บอกว่าได้บุญเยอะนะ ได้บุญเยอะ เราก็ไม่รู้

สุ. เขาไม่ได้บอกเลยนะคะว่าบุญคืออะไร คิดว่าบุญคือเงิน แต่เงินไม่ใช่บุญ ความต้องการขณะนั้นก็เป็นโลภะ เป็นกิเลสแล้วค่ะ

ผู้ฟัง : เดี๋ยวต้นปีหน้าพี่สาวก็จะชวนไปห่มผ้าพระธาตุดอยสุเทพ แล้วก็จะมีบวงสรวงอะไรนี่ มีเทียนมีธูปตามอายุค่ะ แล้วก็ไปเผาเทียน

สุ. ค่ะทำอย่างนั้นกับเริ่มฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ แล้วรู้จักพระพุทธเจ้าอย่างไหนจะดีกว่ากัน ถูกต้องกว่ากัน

ผู้ฟัง : แต่ว่าก็เห็นคนที่สำเพ็ง เพื่อนๆ เขาก็ไปทำ เขาก็กลับมาค้าขายก็รวยกันนะคะ

สุ. เขาต้องการรวยใช่ไหมคะ นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อต้องการรวยหรือ

ผู้ฟัง : เขาก็รวยกันน่ะ รวย

สุ. เพราะฉะนั้นเขาก็เพิ่มกิเลส ไม่ใช่ละกิเลส

ผู้ฟัง : เพิ่มกิเลส ค่ะใช่ แต่เราก็ตามๆ เขาไปค่ะ

สุ. ไม่ได้ค่ะ ไม่ถูกต้องค่ะ อย่าตามใครจนกว่าจะเข้าใจว่าอะไรถูก อะไรผิด แล้วปัญญาความเห็นที่ถูกต้องก็จะนำไปสู่สิ่งที่ถูกต้อง

ปัญหาทั้งหมดเกิดเพราะความไม่รู้ เพราะไม่ถูกต้อง เพราะไม่รู้

กราบเท้าบูชาคุณ
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 24 มี.ค. 2565

    กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ