มีอะไรเป็นที่พึ่ง_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๕

 
khampan.a
วันที่  26 มี.ค. 2565
หมายเลข  42924
อ่าน  988

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


"มีอะไรเป็นที่พึ่ง?"

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๕



~ ขณะนี้ มีสิ่งที่เกิด เพราะฉะนั้น ก็ติดข้องพอใจในสิ่งที่เกิด แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดเลย จะติดข้องในสิ่งนั้นได้ไหม ในเมื่อไม่มีอะไรเกิด? เดี๋ยวนี้กิเลสเกิด เพราะมีปัจจัย ไม่มีใครไปบังคับหยุดไม่ให้กิเลสเกิดได้เลย เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้น เพราะมีกิเลส และมีกิเลสที่มีมาเรื่อยๆ เกิดดับสืบต่อนาน แสนนานมาแล้วและยังไม่ได้ดับเลย นี่เป็นสิ่งที่พระโพธิสัตว์มีความคิดความเข้าใจที่ว่าการเกิดดับไม่มีประโยชน์ แต่ดับไม่ได้ จึงแสดงหนทางที่จะทำให้ถึงการดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ ไม่ว่าใครจะพูดถึงนิพพานด้วยประการใดๆ ผู้ที่มีความเข้าใจถูก ก็รู้ว่าเพราะมีกิเลสซึ่งใครๆ ก็ดับไม่ได้ แต่ว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีสามารถรู้ความจริงจนกระทั่งค่อยๆ ละความไม่รู้และในที่สุดก็ดับกิเลสหมดไม่เหลือเลยไม่เกิดอีกเลย เพราะฉะนั้น นิพพาน เป็นธรรมที่ดับกิเลสเท่านั้น

[นิพพาน มาจากคำว่า นิ (ไม่มี,ปราศจาก) กับ คำว่า วาน (กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด)
[แปลง ว เป็น พ แล้วซ้อน พ] รวมกันเป็น นิพพาน หมายถึง สภาพธรรมที่ปราศจากกิเลส,ดับกิเลส]

~ นิพพาน มี ๒ อย่าง คือ สอุปาทิเสสนิพพาน (ดับกิเลส แต่ยังมีสภาพธรรมที่ไม่เป็นไปกับกิเลส เกิดขึ้นเป็นไปอยู่) เป็นสภาพธรรมที่ดับกิเลสหมด ไม่เหลือ และ เมื่อถึงเวลาที่จะไม่มีอะไรเกิดเลย ขณะนั้นก็เป็นปรินิพพาน คือ อนุปาทิเสสนิพพาน หมายความว่า ดับขันธ์ทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะดับกิเลส เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกิเลสนิพพาน (ดับกิเลส) เมื่อตรัสรู้ และ ปรินิพพาน คือ ขันธปรินิพพาน (ดับโดยรอบซึ่งขันธ์) เมื่อถึงขณะที่พระองค์ไม่เกิดอีกเลย ขันธ์ดับหมดในขณะที่ปรินิพพาน

~ ไม่ลืม ว่า นิพพานคือธรรมที่ดับกิเลส และเมื่อดับแล้ว กิเลสไม่เกิด แต่ยังมีกรรมที่ทำให้มีชีวิตต่อไปจนกว่าจะถึงปรินิพพาน เมื่อปรินิพพานแล้ว ก็ไม่เกิดอีกเลย

~ เมื่อกิเลสดับ ไม่เกิดอีกเลย เป็นกิเลสนิพพาน เมื่อขันธ์ทั้งหมดดับ ไม่เกิดอีกเลย เป็นขันธปรินิพพาน

~ ท่านพระสารีบุตร กิเลสนิพพานหรือเปล่า?

~ เวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ดับกิเลสแล้ว พระองค์ปรินิพพานหรือยัง?

~ โสดาบันตาย เป็นปรินิพพานหรือเปล่า? (ไม่ใช่) เพราะพระโสดาบันดับความเห็นผิด ดับความสงสัยในการที่จะเข้าใจผิดในสิ่งที่กำลังปรากฏทั้งหมดได้ไม่เกิดอีกเลย เป็นกิเลสนิพพาน (ดับกิเลส) แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ดับเฉพาะบางส่วน เพราะฉะนั้น พระโสดาบัน ยังต้องเกิดอีก

~ พระโสดาบัน ไม่มีความสงสัยในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเมื่อรู้แจ้งอริยสัจจ์ทั้ง ๔

~ คนที่ไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ต้องมีกิเลส ใช่ไหม? เพราะไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น เห็นพระคุณสูงสุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? ทรงบำเพ็ญพระบารมี ตรัสรู้ความจริง ให้คนอื่นได้หมดกิเลสตามลำดับขั้นด้วย

~ ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง ยังเป็นคุณอาคิล คุณอาช่า ไม่สามารถที่จะดับความเป็นคุณอาคิลกับคุณอาช่าได้ เพราะฉะนั้น ขณะนั้น ยังไม่สามารถที่จะเป็นการดับความที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะว่ายังไม่รู้ความจริงถึงที่สุดคือประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมซึ่งใช้คำว่า นิพพาน เพราะขณะนั้น ไม่มีความติดข้อง ไม่มีความเห็นผิด ดับ ไม่เกิดอีกเลย เพราะสภาพสามารถนั้นได้รู้ความจริงของสภาพธรรมที่ไม่มีการเกิด คือ นิพพาน

~ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นอีกไหม? ผู้หมดจดจากกิเลส ไม่มีกิเลสใดๆ เหลือเลยทั้งสิ้น

~ หนทางนี้คือการอบรมเจริญปัญญารู้ความจริงในขณะนี้ทุกอย่างทุกขณะตามความเป็นจริงจนกว่าจะถึงกาล (เวลา) ที่ปัญญาจะถึงความสมบูรณ์พร้อมที่จะรู้ความจริงตามที่พระองค์ได้ทรงแสดงและตรัสรู้แล้ว

~ เพราะไม่รู้ว่าธรรมเกิดดับจึงยังคงมีเราเห็นเราคิด เราจำ ถ้าเห็นไม่เกิดจะมีเห็นไหม? เห็นเกิดแล้ว เห็นก็ดับไป เราอยู่ไหน? ต้องมีความเข้าใจจริงๆ มั่นคงขึ้น จึงสามารถที่จะดับความเป็นเราได้ นี่เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด เพราะเป็นความจริงซึ่งถ้าไม่เข้าใจความจริงอย่างนี้ ดับกิเลสไม่ได้

~ ฟังพระธรรมด้วยความเคารพสูงสุดในความจริงซึ่งสามารถจะเริ่มมีความเห็นที่ถูกต้องขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริง จึงดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น

~ เมื่อเข้าใจธรรม เริ่มเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำที่เราเคยฟัง

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ผู้ที่ทรงจำแนกพระธรรม เพราะพระปัญญาที่ได้ตรัสรู้ความจริงของธรรม โดยละเอียด โดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้น ทุกคำที่พระองค์ตรัสจากการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีจนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งความจริงถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ต้องฟังพระธรรม เมื่อเข้าใจ จึงเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น ละเอียดขึ้น

~ คุณอาคิล คุณอาช่า ตายวันนี้ได้ไหม (ตายได้) รู้ไหมว่าจะตายเมื่อไหร่? รู้ไหมว่าตายแล้วไปไหน? ทุกขณะกำลังเดินทางไปถึงที่ที่จะถึงเมื่อตายแล้ว การกระทำที่เป็นกุศลก็มี การกระทำที่เป็นอกุศลก็มีแล้วแต่กรรมใดในสังสารวัฏฏ์ทั้งหมดถึงพร้อมที่จะให้ผลเมื่อตายแล้วจุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันที เพราะกรรมหนึ่งถึงพร้อมที่จะทำให้เป็นคนที่ไม่ใช่คุณอาคิล ไม่ใช่คุณอาช่าอีกต่อไป

~ เกิดในเทวโลกได้ไหม? (ได้) จากคุณอาคิลเดี๋ยวนี้ เป็นคนในเทวโลกทันทีได้ เมื่อจุติจิตเกิด ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ คุณอาช่า จะเกิดในนรกก็ได้ใครจะรู้ ตราบใดที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ยังไม่ได้ดับความติดข้องในความเป็นเรา ไม่มีใครสามารถรู้ได้ ว่า จะเกิดที่ไหนและจะเป็นใครต่อไปไม่ใช่คนนี้ แต่จะเป็นคนในนรกหรือบนสวรรค์หรือเป็นสัตว์ดิรัจฉานก็ได้

~ มั่นใจหรือยังว่า ทุกชีวิต กำลังเดินไปทุกขณะเพื่อที่จะถึงชาติต่อไปเป็นคนใหม่ต่อไป เพราะฉะนั้น มีอะไรเป็นที่พึ่ง?

~ สมัยพุทธกาล มีพระภิกษุที่ได้ฟังธรรมมาก เข้าใจธรรม มากแต่ไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะอะไร? เพราะไม่ได้ประพฤติตามที่ได้เข้าใจ บางคนฟังเพราะอยากเก่ง อยากรู้มากๆ อยากเข้าใจมากๆ แต่นั่นไม่ใช่พระพุทธประสงค์ ความรู้การเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อความเป็นเรา ไม่ใช่พระประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ จากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนได้ยินคำว่าหิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป) ฟังธรรม เข้าใจธรรม แต่ไม่ประพฤติตาม เพราะไม่มีหิริความละอายที่รู้ว่าธรรมสำหรับประพฤติตาม ไม่ใช่เพียงฟังให้เข้าใจเท่านั้น และไม่มีโอตตัปปะ ไม่เห็นโทษของความไม่รู้ ซึ่งขณะนั้นจะนำมาซึ่งอกุศลอีกมาก

~ ขณะที่ฟัง รู้จักหิริ รู้จักโอตตัปปะ ความละอาย เห็นโทษของสิ่งที่ไม่ดีก็จะเป็นเหตุให้เริ่มประพฤติดี

~ ไม่มีใครรู้ว่าแต่ละคนมีกิเลสมากแค่ไหน อาศัยฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงรู้ความหมายของแต่ละคำ และรู้จักตัวจริงของกิเลสที่กำลังมี

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า หิริ โอตตัปปะ เป็นธรรมที่คุ้มครองโลกไม่ให้ตกไปในทางฝ่ายที่ไม่ดี

~ ไม่มีคุณอาคิล ไม่มีคุณอาช่า แต่ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง หิริเป็นหิริ โอตตัปปะเป็นโอตตัปปะ อหิริกะ (ความไม่ละอายต่อบาป) เป็นหิริ ไม่ได้ อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่อบาป) เป็นโอตัปปะไม่ได้

~ ถ้าไม่รู้จักหิริ โอตตัปปะ อหิริกะ อโนตตัปปะ ก็จะเป็นอกุศลไปตลอด

~ ฟังธรรมเพื่อรู้จริงๆ ในสิ่งที่กำลังมีขณะนั้น จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล

~ ทุกวัน มีเห็นบ้าง มีได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง คิดนึกถึงสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนั้นบ้าง แล้วไม่เข้าใจ ไม่รู้ความจริง ขณะนั้น เป็นอกุศลทั้งหมด ใครจะเป็นเหตุช่วยให้อกุศลไม่เกิดขณะนั้น นี่คือ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีผู้ที่ดับกิเลสแล้วเป็นที่พึ่ง มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มิฉะนั้นแล้ว จะพึ่งเมื่อไหร่ พึ่งอย่างไร

~ เริ่มเห็นประโยชน์ของทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีทุกขณะให้รู้ตามความเป็นจริง มิฉะนั้นแล้ว สังสารวัฏฏ์จะมืดแล้วก็จะลึกลงไปด้วยความไม่รู้อีกประมาณไม่ได้ ไม่มีวันออกจากความมืดและความไม่รู้ได้เลย

~ ธรรมทั้งหมด ไม่เว้นเลย ลึกซึ้งไหม?

~ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีคำของพระองค์ จะรู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้ที่เห็นก็ลึกซึ้ง เห็น เดี๋ยวนี้ เกิดจริงๆ ดับจริงๆ แต่ไม่รู้ เพราะความลึกซึ้งของเห็น

~ เริ่มรู้จักธรรมหรือยัง? ธรรมอะไรเป็นโลกียะ เนื่องกับโลก? ทุกอย่างที่เกิดขึ้นดับไปเดี๋ยวนี้ เป็นโลกียะทั้งหมด

~ อะไรไม่ใช่โลกียะ? (นิพพาน) นอกจากนิพพานมีอะไรอีกที่ไม่ใช่โลกียะ? โลกุตตรธรรม ๙ เป็นโลกุตตรจิต ๘ เป็นนิพพาน ๑

~ เข้าใจทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ละเอียดขึ้นว่า ไม่ใช่เรา ทั้งหมดจนกว่าจะมั่นคงจนสภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา ปรากฏจริงๆ

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว พระองค์ทรงเห็นอะไรไหมได้ยินอะไรไหม คิดอะไรหรือเปล่า?

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีโลกียจิตไหม?

~ จิตเห็น เป็นโลกียะหรือโลกุตตระ?

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นแล้วโกรธไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินแล้วโกรธไหม?

~ ต้องมีความเข้าใจจริงๆ ในทุกคำทุกอย่างอย่างมั่นคง เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเห็น จิตเห็นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอะไร? เห็น เกิดขึ้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศลหรือเป็นวิบากหรือเป็นกิริยา? ลืมไม่ได้ ต้องเป็นหนึ่งเท่านั้น (คือ เห็น เป็นวิบาก)

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในชาตินั้นและในชาติก่อนๆ โน้น มีกรรมไหม? ตราบใดที่ยังไม่ปรินิพพาน ก็จะต้องมีจิตที่เป็นผลของกรรมเกิดใช่ไหม?

~ จิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนปรินิพพาน มีอกุศลไหม? ก่อนปรินิพพาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกุศลไหม?

~ มั่นคงไหมว่า ไม่มีคุณอาช่า ไม่มีคุณอาคิล ไม่มีใครเลย นอกจากธรรม คือ จิต เจตสิก รูป

~ ขณะนอนหลับ จิตที่หลับของพระโสดาบันกับพระอรหันต์ เหมือนกันไหม? ภวังจิตของพระอรหันต์หรือของสัตว์โลกทั้งหมด ทำกิจเดียวกัน แต่ตัวจิตไม่เหมือนกัน สภาพจิตที่ดับกิเลสแล้วกับสภาพธรรมที่ยังมีกิเลส ต้องต่างกัน จิตของพระอรหันต์กำลังหลับ ก็ไม่มีกิเลส เพราะฉะนั้น กำลังเห็น แล้วจะมีกิเลสได้ไหม?

~ คนที่ได้ฟังธรรม กับ คนที่ไม่ได้ฟังธรรม ภวังคจิต ต่างกันไหม? ตื่นขึ้น ต่างกันไหม? เห็นด้วยกัน คนหนึ่งเข้าใจ อีกคนไม่เข้าใจ ต่างกันไหม? แล้วตอนหลับจะไม่ต่างกันหรือ? เพราะฉะนั้น การสะสมอยู่ที่จิตแต่ละขณะ จากการเห็นแล้วเป็นอะไร เป็นกุศล อกุศล เข้าใจหรือไม่เข้าใจ ดับแล้วก็สะสมอยู่ในจิตสำหรับเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งขณะต่อๆ ไป

~ คนที่ไม่ฟังทำไม ไม่เข้าใจธรรม ละอายไหม? ไม่ฟังธรรมเลย มีความละอายอะไร? [เขาอาจจะละอาย อย่างเช่น ละอายต่อการไปลักทรัพย์หรือว่าการทำอกุศลอื่นๆ] เพราะฉะนั้น มีระดับของความละอาย เขาละอายที่จะไปลักทรัพย์ แต่ไม่ละอายที่จะเข้าใจธรรม ใช่ไหม?

~ สิ่งที่เคยเข้าใจว่าเป็นเรา ก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง แม้แต่ความละอาย ความไม่ละอาย ความโกรธ ความเสียใจทั้งหมด เป็นธรรม เพราะฉะนั้น เขาจะมีความเข้าใจธรรมและเห็นใจคนอื่นเพิ่มขึ้น

~ ถ้าเขาเห็นประโยชน์สูงสุดของการเข้าใจถูกต้องและเห็นโทษมากของความไม่เข้าใจ ก็จะทำให้เขาสละชีวิตทั้งหมดเพื่อที่จะให้คนอื่นได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์เป็นการดำเนินตามรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ได้ทรงดำเนินไปแล้ว

~ ต้องไม่ลืมว่า จะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ก็ได้ สิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงขณะนี้ เพราะไม่มีใครรู้ว่า จากโลกนี้ไปแล้วจะมีโอกาสได้ฟังคำจริงนี้อีกหรือเปล่าในสังสารวัฏฏ์

~ ยินดีด้วยในกุศลของทุกคน และในหิริโอตตัปปะ ที่เห็นประโยชน์ของการที่จะได้เข้าใจความจริง มิฉะนั้นแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะรู้ความจริงได้เลย


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 26 มี.ค. 2565

    ...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ยินดีในความดีของคุณสุคิน ยินดีในความดี อ.คำปั่น และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 26 มี.ค. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลของคุณสุคินและทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
petsin.90
วันที่ 26 มี.ค. 2565

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Selaruck
วันที่ 26 มี.ค. 2565

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่งเหนือกเกล้า

กราบขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของอาจารย์คำปั่นเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Sea
วันที่ 26 มี.ค. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่ง และยินดีในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 27 มี.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เมตตา
วันที่ 27 มี.ค. 2565

กราบยินดีในความดีทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
tim7755tim
วันที่ 27 มี.ค. 2565

เกิดขึ้นแล้วดับ เป็นอนัตตา จริง แต่ไม่ทุกข์ เพราะไม่ใช่เรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่งเกิดตามเหตุปัจจัย

กราบบูชาคุณพระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยจิตที่บริสุทธิ์

กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 28 มี.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
palsawangpattanagul
วันที่ 28 มี.ค. 2565

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Lai
วันที่ 28 มี.ค. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์บริหารวนเขตต์ อนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ