ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕๓

 
khampan.a
วันที่  27 มี.ค. 2565
หมายเลข  42927
อ่าน  1,474

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕๓



~ ต้องอาศัยกาลเวลาในการอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะขัดเกลากิเลส
(เครื่องเศร้าหมองของจิต) เมื่อเห็นกิเลสมากเท่าไร ก็รู้ว่าจะต้องอาศัยกาลเวลานานมากทีเดียว กว่าที่จะขัดเกลากิเลสนั้นๆ ได้ โดยที่ไม่ขาดการฟังพระธรรม และไม่ขาดการที่จะพิจารณาตนเอง เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ได้ฟังทั้งหมด เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาและการขัดเกลากิเลสทั้งสิ้น

~ สิ่งอื่นใดก็ไม่มีค่าเท่ากับความเข้าใจถูกเห็นถูก เพราะเหตุว่าทุกคนต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน อาจจะเป็นเดี๋ยวนี้ก็ได้ เย็นนี้ก็ได้ แต่สิ่งที่มี คือ มีความเข้าใจถูก จะค่อยๆ สะสมสืบต่อไป ก็มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังอีก เพราะเหตุว่า คนที่ไม่มีโอกาสได้ฟัง มีมาก แต่คนที่มีโอกาสได้ฟัง มีน้อย ตามการสะสม

~ เข้าใจพระธรรมจากการฟัง ก็จะเป็นการสะสมให้ความเข้าใจนั้นเพิ่มขึ้น เพราะว่าใครก็ไม่สามารถทำให้ปัญญาเกิดขึ้นได้ นอกจากการได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไตร่ตรองจนกระทั่งมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น

~ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงไว้ เราจะไม่รู้เลยว่าความไม่รู้มากมายมหาศาล เพียงแค่ลืมตา ก็ไม่รู้แล้ว กิเลสก็เกิดแล้ว ก็ไม่รู้

~ ปุถุชน เป็นผู้ที่มีกิเลสมากมายมหาศาล โดยไม่รู้ตัวเลย คิดว่าดี เป็นคนดีแล้ว แต่ความไม่รู้ ยังมีอยู่

~ เห็นคุณของพระธรรม ว่า อนุเคราะห์ให้ชีวิตทั้งชีวิต ซึ่งเกิดมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ได้มีโอกาสได้รู้ความจริงซึ่งยากที่จะรู้ เมื่อรู้แล้วก็เห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ได้เบื่อหน่าย ไม่ได้ท้อถอย แต่รู้ว่าชีวิตควรจะดำเนินไปอย่างไร ที่ขาดไม่ได้คือการที่จะได้เข้าใจธรรม เท่าที่จะมีโอกาสตามเหตุตามปัจจัย และทำความดีทุกขณะที่สามารถจะกระทำได้

~ เคยโกรธใคร จะไม่ให้อภัยคนนี้แล้ว แต่ธรรมเตือนใจ มาแล้ว "ความโกรธเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เป็นอกุศลธรรม เกิดแล้วจะสะสมสืบต่อไปทุกชาติ" เพราะฉะนั้น ขณะนั้น อภัยเลยทันทีหรือยัง? คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ล้ำค่า เพราะสามารถที่จะทำให้สภาพธรรมที่เป็นอกุศล ค่อยๆ เบาบางลงจนกระทั่งสามารถเป็นผู้ที่ไวในกุศล

~ ถ้าสามารถที่จะช่วยให้คนใดคนหนึ่งแม้เพียงหนึ่งคน ได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรม นั่น เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะช่วยให้คนนั้นออกจากสังสารวัฏฏ์

~ เห็นโทษของอกุศล ว่า โทษนั้น ไม่ได้เป็นโทษของคนอื่นทั้งสิ้น แต่เป็นโทษของตัวเองเท่านั้น แล้วยังจะเพิ่มโทษให้กับตนเองทุกวันหรือ?

~ กิเลส เป็นโทษกับตนเอง นำไปนรก

~ ไม่มีอย่างอื่นใดทั้งสิ้นที่จะกล้าสู้กับกิเลสหรือจะทำลายกิเลสได้ นอกจากความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยตามความเป็นจริง ไม่ลืมกำลังของปัญญา แต่ต้องมีปัญญา ไม่ใช่ไม่มีปัญญาแล้วไปคิดถึงกำลังของปัญญา

~ ถ้าไม่เห็นโทษของอกุศล กระทำอกุศลอยู่เนืองนิตย์ ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา วันหนึ่งใครจะรู้ได้ว่า ท่านจะกระทำอกุศลกรรมหนักเพียงไร เพราะว่าการที่จะกระทำอกุศลกรรมหนักๆ ได้ ย่อมมาจากการกระทำไปทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งขาดความละอายแล้วก็สามารถที่จะกระทำทุจริตกรรมที่ร้ายแรงได้

~ เจริญกุศลทุกประการ เพื่อที่จะขัดเกลาอกุศล ด้วยความจริงใจที่จะละคลายอกุศล ไม่ใช่ต้องการหรือปรารถนาสิ่งอื่น นี่คือ ผู้เห็นคุณของพระธรรม และเห็นโทษของอกุศล และก็รู้ว่า สิ่งที่ควรเจริญในชาตินี้คือปัญญา เพราะเหตุว่าสิ่งอื่นไม่สามารถจะติดตามไปได้ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีอยู่ ก็ติดตามไปไม่ได้ แต่ปัญญาความเข้าใจพระธรรมจากชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่ง ก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น

~ การฟังธรรมทุกครั้ง เพื่อละความหวัง ละความต้องการ ละการยึดถือธรรมในขณะนี้ว่าเป็นเราเป็นเขาหรือว่าเป็นใคร คือ ฟังธรรมให้เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม นี่คือจุดประสงค์ของการฟัง

~ โดยมากคิดว่าเข้าใจแล้ว แต่ความจริงยังไม่ได้เข้าใจ อย่างเช่น พูดถึง "เห็น" เป็นนามธรรม (สภาพที่น้อมไปสู่อารมณ์) บางคนคิดว่าเข้าใจแล้วก็ผ่านไป สนใจเรื่องอื่น แต่ความจริง แต่ละคำลึกซึ้ง แม้แต่คำว่า ธรรม หรือว่าแต่ละคำที่กล่าวถึง ควรเข้าใจละเอียดยิ่งขึ้น แล้วก็ไม่ลืม ธรรมเป็นอนัตตา สะสมแค่นี้ไปเรื่อยๆ ฟังแค่ไหน เข้าใจเรื่องที่กำลังฟัง ฟังเรื่องวิถีจิต (จิตที่เกิดขึ้นโดยอาศัยทวารหนึ่งทวารใดในการรู้อารมณ์) ไม่ใช่จำชื่อวิถีจิต แต่เข้าใจความเป็นไปของธรรม ซึ่งเป็นอย่างนี้โดยที่ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ เพื่อที่จะได้มั่นคงในความเป็นอนัตตา

~ น่าโกรธไหมคนอื่น? ลองคิดดู เป็นเพราะกรรมของเราเองหรือเปล่า ที่ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ที่ไม่น่าพอใจ อย่าคิดว่าจากคนอื่น แม้แต่เสียงที่คนนั้นอาจจะมีเจตนา จงใจ ตั้งใจที่จะกล่าวคำให้ท่านกระทบกระเทือนใจ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะกรรมของท่านเองแล้ว ท่านจะไม่ได้ยินเสียงนั้นเลย อาจจะนอนหลับสนิท หรือแม้ได้ยินก็ผ่านไป ไม่สนใจ มีหู ก็เหมือนหูหนวก คือ ไม่สนใจคำที่จะทำให้จิตใจขุ่นมัว เศร้าหมอง ไม่สบาย และถ้าระลึกได้ว่า เป็นเพราะกรรมของเรา และในขณะนั้นก็เป็นแต่เพียงเสียงซึ่งเกิดแล้วก็ดับไปเท่านั้นเอง แต่สัญญาความจำในความเป็นตัวตน ในความเป็นสัตว์ ในความเป็นบุคคล ทำให้ไม่ลืมแล้วก็คิด แล้วก็โกรธคนอื่น นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ขณะนั้นตกอยู่ใต้อำนาจของความโกรธ

~ ถ้าเข้าใจชีวิตตามความเป็นจริง จะเห็นชัดว่า กำลังก้าวไปสู่อะไร? ไปสู่เหวที่จะตกลงไปลึกๆ ไปสู่ห้วงน้ำใหญ่ หรือค่อยๆ ขยับออกให้พ้นจากทางนั้น แต่ในวันหนึ่งๆ จะเห็นได้ว่า ก้าวไปสู่ทางที่จะทำให้มัวเมามากกว่าการก้าวไปสู่ทางที่จะสร่างจากความเมา ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ทุกวันจะต้องถูกครอบงำด้วยอกุศล ซึ่งเหมือนกับสลบไสลไปด้วยความมัวเมา ไม่มีวันสร่าง แต่เมื่อใดที่มีความเข้าใจพระธรรมและพิจารณา รู้ความคิดของตนเอง ก็จะรู้ว่า ทางที่ควรจะก้าวไปนั้น ควรเป็นทางกุศลมากกว่าจะให้มัวเมาโดยไม่สร่าง

~ มิตร ตรงกันข้ามกับศัตรู ถ้าใครเป็นมิตรหรือว่าเป็นมิตรกับใคร หมายความว่า เป็นเพื่อนพร้อมที่จะเกื้อกูลและหวังดี จะแข่งดีกับเพื่อน ได้ไหม? โกรธเพื่อน ได้ไหม? เพราะฉะนั้น ขณะนั้น เป็นสภาพที่เป็นมิตรจริงๆ คือ หวังดี ขณะนั้นพร้อมที่จะเกื้อกูล ถ้าเกื้อกูลแล้ว เขาอาจจะแสดงกิริยาอาการ หรือคำพูดที่ไม่ดีกลับมา เมตตาหรือเปล่า? ไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไร? เรื่องของเขา แต่เราหวังดีที่จะให้เขาเป็นคนดี หวังดีที่จะให้เขาทำดี เขาไม่ดีอย่างที่เราหวัง ก็เรื่องของเขา แต่ว่าเราพร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล โดยเราไม่ต้องโกรธหรือเดือดร้อน โกรธหรือเดือดร้อนเมื่อไหร่ ขณะนั้น ไม่ใช่เมตตา จะบอกว่าเมตตาไม่ได้

~ ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีกว่าจะมีแต่ละคำให้เราได้เข้าใจ เพื่อตัวเราที่จะไม่เป็นอกุศล ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลงสารพัดอย่างตั้งแต่เล็กน้อยที่สุดจนถึงใหญ่ที่สุด การฟังพระธรรม ก็เป็นบุญ เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ความดี ถ้าเข้าใจเมื่อไหร่ ก็เกิดได้ คิดดีกับคนอื่นได้ไหม? แค่นั้นก็เป็นบุญ ไม่ใช่คิดร้ายกับคนอื่น

~ มีใครบ้างไหมที่ไม่มีความทุกข์เลย? และคนที่บอกว่าเป็นทุกข์มากนั้น ทุกข์อะไร ทุกข์กายมากหรือทุกข์ใจมาก เพราะว่า ความทุกข์มี ๒ อย่าง ทุกข์กาย เมื่อมีกายก็มีทุกข์ แต่ทุกข์ใจ แม้กายไม่เป็นทุกข์ แต่ใจก็เป็นทุกข์ ซึ่งไม่น่าจะต้องเป็นทุกข์เลย ในเมื่อกายไม่เป็นทุกข์ ทำไมต้องให้ใจเป็นทุกข์ในเมื่อกายไม่เดือดร้อนอะไรเลย ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย แต่แม้กระนั้น ความทุกข์ก็มีทั้งทุกข์กายและทุกข์ใจ ผู้ที่เป็นทุกข์มี และผู้ที่ดับทุกข์แล้วก็มี ซึ่งผู้ที่จะดับทุกข์ต้องเป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญาแล้วเท่านั้นจึงจะดับทุกข์ได้ ถ้าไม่อบรมเจริญปัญญาไม่สามารถดับทุกข์ได้เลย

~ ความเข้าใจพระธรรมที่มากขึ้น จะทำให้ละคลายความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมทั้งหลาย ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเรา เป็นเขา ซึ่งความจริง เป็นธรรมที่เพียงสามารถปรากฏทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง และ ทางใจ ก็คิดนึก แล้วก็หมดไป นี่คือ ความไม่เที่ยง สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เกิดปรากฏแล้วก็ดับไป ควรหรือที่จะติดข้อง? เพราะฉะนั้น ปัญญา คือ ความเข้าใจ ความรู้สภาพธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริงเท่านั้นที่สามารถดับความติดข้อง ความยึดถือและความเห็นผิดว่าสภาพธรรมทั้งหลายที่เกิดดับ เป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ประโยชน์ คือ จากที่ไม่เคยเข้าใจธรรม ก็เข้าใจ ว่า ธรรม เป็นสิ่งชั่วคราว เกิดแล้วก็หมดไป ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่า ธรรม เป็นสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้ ก็ไม่เดือดร้อน



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕๒



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
petsin.90
วันที่ 27 มี.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
swanjariya
วันที่ 27 มี.ค. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 27 มี.ค. 2565

    ขอบพระคุณ และยินดีในความดีของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Sea
วันที่ 27 มี.ค. 2565

ลึกซึ้ง ไพเราะมากๆ กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 28 มี.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Naiyadee
วันที่ 28 มี.ค. 2565

อนุโมทนาสาธุค่ะ ได้อ่านคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว #บุญ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
มังกรทอง
วันที่ 28 มี.ค. 2565

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
tim7755tim
วันที่ 28 มี.ค. 2565

กราบนอบน้อมพระศาสดาด้วยจิตที่บริสุทธิ

กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจาร

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 28 มี.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 28 มี.ค. 2565

    กราบยินดีในความดีของ ทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Lai
วันที่ 28 มี.ค. 2565

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Kalaya
วันที่ 29 มี.ค. 2565

กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
kukeart
วันที่ 29 มี.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
tim7755tim
วันที่ 29 มี.ค. 2565

ทุกสิ่งในโลกนี้เกิดขึ้นเพราะกรรมหรือเหตุและปัจจัยที่ทำไว้ ไม่มีใครบังคับได้ เพราะมีกิเลส เป็นอนุสัย ความเคยชินละยาก การเห็นการเกิดดับ แต่มีบางขณะจิตก็ระลึกได้ ละได้เช่นความโกรธ ได้ยินคำพูดที่ไม่น่าพอใจ เสียงที่ไม่พอใจ แต่ก็ระลึกทันว่าเป็นเพียงเสียงที่เกิดขึ้นได้ยินเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวก็ดับ สัตว์โลกย่อมเห็นแก่ความสุขของตัวเอง ชิงดีชิงเด่นกัน แต่ไม่รู้ว่าเป็นกิเลสสะสมไปเรื่อยจนเป็นอนุสัยความเคยชิน ใครจะบอกใครได้ มันเป็นเหตุปัจจัยของแต่ละตัวสัตว์ที่สร้างเหตุผล ก็ตามมาไมาสด้าสาม

น้อมกราบบูชาพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยจิตที่บริสุทธิ์

กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ