อิริยาบถปิดบังทุกข์ ข้อความนี้หมายถึงอย่างไร
อิริยาบถปิดบังทุกข์ ข้อความนี้หมายถึงอย่างไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ที่มีการสมมติเรียกว่าเป็นอิริยาบถต่างๆ กล่าวคือ ยืน เดิน นั่ง นอน นั้นก็เพราะมีความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมที่ประชุมรวมกัน ซึ่งเกิดดับเป็นไปอย่างรวดเร็วสั้นแสนสั้น จึงทำให้หลงยึดถือว่า เป็นเรา เป็นสัตว์บุคคลที่ยืน เดิน นั่ง นอน ซึ่งปิดบังไม่ให้เห็นทุกขลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดดับตามความเป็นจริง ไม่ได้ใส่ใจในความเป็นจริงของธรรม ที่จะเพิกอิริยาบถได้ ก็ในขณะที่สติเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ในขณะนั้นไม่มีท่านั่ง ท่ายืน ท่าเดิน ท่านอน มีแต่ธรรมที่กำลังปรากฏ เช่น ในขณะที่ระลึกรู้สี ก็รู้ที่สีตามความเป็นจริง หรือในขณะที่ระลึกรู้แข็ง ก็รู้ที่แข็ง นั่นเอง ซึ่งจะขาดความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นไม่ได้เลยทีเดียว สิ่งสำคัญที่สุดคือการฟังพระธรรมให้เข้าใจ สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย ครับ
ขอเชิญอ่านคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ดังนี้
ผู้ถาม : ขอให้อธิบายเรื่อง "อิริยาบถปิดบังทุกข์"
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ : ที่ว่า "อิริยาบถบังทุกข์" นั้น ต้องเข้าใจด้วยว่าหมายถึง ทุกขลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่เฉพาะทุกขเวทนา แม้ว่าขณะนี้จะนั่งนอน ยืน เดิน โดยยังไม่เมื่อย อิริยบถก็ปิดบังทุกขลักษณะซึ่งเป็นการเกิดดับของนามธรรมและรูปธรรมที่เกิดรวมกันในอิริยบถนั้นๆ
ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับของนามธรรมและรูปธรรมนั้น ไม่ใช่รู้อิริยาบถหนึ่งแล้วเปลี่ยนเป็นอีกอิริยาบถหนึ่ง จึงกล่าวว่าอิริยาบถปิดบังทุกข์และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะต้องกล่าวว่าการเปลี่ยนอิริยาบถปิดบังทุกข์ ซึ่งไม่ใช่รู้ว่าอิริยาบถนั้นเองปิดบังทุกข์ แต่ที่พระธรรมแสดงว่าอิริยาบถปิดบังทุกข์นั้น ก็เพราะ การเกิดรวมกันของนามรูปเป็นอิริยาบถต่างๆ จึงปิดบังไม่ให้รู้ทุกขลักษณะของแต่ละรูปแต่ละนามที่กำลังเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
บางท่านสารภาพว่าเพิ่งนั่งใหม่ๆ พอถูกถามว่าเป็นทุกข์ไหมก็ตอบว่าไม่เป็น เมื่อไม่เป็นทุกข์แล้ว อิริยาบถจะบังทุกข์ได้อย่างไร เมื่อทุกข์ไม่มี จะกล่าวว่าอิริยาบถปิดบังทุกข์ไม่ได้ ต้องมีทุกข์อยู่จึงจะกล่าวได้ว่าอิริยาบถปิดบังทุกข์ ความจริงถึงแม้ว่าอิริยาบถใดไม่มีทุกขเวทนาเกิดขึ้น อิริยาบถนั้นก็ปิดบังทุกข์ไว้แล้ว เพราะไม่เห็นการเกิดดับของนามรูปในขณะนั้น
เมื่อไม่อบรมเจริญปัญญาให้รู้ลักษณะของนามและรูป ก็เข้าใจผิดว่ารู้ทุกข์ขณะที่พิจารณาก่อนเปลี่ยนอิริยาบถ แต่ว่ารู้ทุกข์อะไร ในเมื่อยังไม่รู้ลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตนของสภาพรู้ทางตากับสิ่งที่ปรากฏทางตา สภาพได้ยินกับเสียงที่ปรากฏทางหู สภาพรู้กลิ่นกับกลิ่น สภาพรู้รสกับรส สภาพรู้โผฏฐัพพะและโผฏฐัพพะ สภาพคิดนึกสุขทุกข์ต่างๆ แม้แต่สภาพธรรมที่คิดจะเปลี่ยนอิริยาบถนั้น ก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่ตัวตน เป็นนามธรรมชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เมื่อไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามปรกติตามความจริง ปัญญาก็สมบูรณ์ขึ้นตามลำดับขั้นไม่ได้ จึงไม่ประจักษ์ทุกขอริยสัจจ์ เพราะปัญญายังไม่ประจักษ์ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...