มีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาปรากฏ มีนาคม 2565
เมื่อคิดว่าตัวเองตายไปแล้วฟื้น
เมื่อวันศุกร์ที่ 18 มี.ค. 2565 มีไข้สูงจนรู้สึกไม่สบายตัว หลังจากไปหาหมอตั้งแต่วันจันทร์ วันพุธ ตรวจเลือดแล้วไม่พบสาเหตุว่าทำไมจึงเป็นไข้ จึงไปโรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้านที่ใช้บริการประจำ โดยไปที่ห้องฉุกเฉินเวลาประมาณ 1 ทุ่ม เจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่รับตรวจคนเป็นไข้สูงในเวลาฉุกเฉิน ให้มาเวลาราชการ ทั้งๆ ที่มีผลการตรวจโควิดซึ่งมาตรวจเมื่อวันจันทร์ว่าเป็นลบมาให้ดู สามีจึงพาไปโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้าน วัดไข้ได้เกือบ 39 องศา หมอสั่งเจาะเลือด พบว่าเกล็ดเลือดต่ำไม่ถึง 50,000 เกล็ดต่อไมโครลิตร (คนปกติควรมี 150,000 – 400,000 เกล็ดต่อไมโครลิตร) หมอบอกว่า ต้องอยู่ ICU เพราะอันตรายมาก ถ้าต่ำว่า 30,000 เลือดจะไหลไม่หยุดได้ ทั้งทางเลือดกำเดา หรือตามไรฟัน หรือใต้ผิวหนัง หรือในช่องท้อง เราฟังหมออธิบายแบบเบลอๆ รู้สึกลอยๆ ระหว่างนั่งรอเข้าห้อง ICU รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคนพูดไกลๆ ไกลมาก แล้วก็เงียบสนิท รู้สึกเหมือนลอยขึ้นไปข้างบน มองลงมาเห็นตัวเองนั่งบนรถเข็น สามียืนอยู่ข้างๆ แล้วก็ได้ยินเสียงพยาบาลพูดว่า คนไข้ชักเกร็ง หมดสติไป 1 นาที ลืมตาขึ้นมาก็เห็นสามียืนอยู่หลังรถเข็น มีพยาบาลหลายคนมาช่วยเข็นรถเข้าห้องฉุกเฉิน หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ชัดเจน รู้แต่ว่า พยาบาลมาเอกเรย์ปอด บอกว่า หมอสงสัยว่า อาจจะเป็นโควิดก็ได้ หมอให้น้ำเกลือและยาฆ่าเชื้อ ตื่นขึ้นมาตอนเช้ารู้สึกสบายตัวขึ้น สามีนำมือถือและ ipad พร้อมหูฟังและที่ชาร์จมาให้ ถึงรายการท่านอาจารย์สนทนาธรรมภาษาไทยฮินดีพอดี ได้ฟังตอนที่ท่านสนทนากับคุณอาช่าว่า คนเราตายได้ทุกขณะ ... และอีกมาก ฟังแล้วสบายใจมากขึ้น ที่ขณะนี้ยังไม่ตาย และยังโชคดีที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเพื่อสะสมความเข้าใจเพิ่มขึ้นต่อไปอีกไม่รู้กี่ขณะ แต่ขณะเหล่านี้มีค่าอย่างยิ่งในสังสารวัฏฏ์ คิดถึงที่ตัวเองลอยขึ้นข้างบน มองลงมาเห็นตัวเองและสามี ได้กราบเรียนท่านอาจารย์ทางไลน์ว่า ไม่สบาย เป็นไข้สูง อยู่ห้อง ICU เมื่อท่านสนทนาธรรมจบ ก็กรุณาโทรมาสนทนาธรรมด้วยความเมตตา ทำให้สบายใจว่าได้เจริญกุศลด้วยการสะสมความเข้าใจพระธรรมมากขึ้นค่ะ
อยู่ห้อง ICU ได้ 1 คืน หมอก็บอกว่า ตรวจโควิด ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่แล้ว ปรากฏว่าไม่เป็น แต่ตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสในกระแสเลือด ให้ยาฆ่าเชื้อแล้วอาการดีขึ้นมาก จึงย้ายมาอยู่ห้องธรรมดา เกล็ดเลือดขึ้นเป็น 70,000 กว่า วันรุ่งขึ้นเกล็ดเลือดสูงขึ้นกว่า 90,000 จึงได้กลับบ้าน ให้วิตามินซีและพาราเซตทามอลมากินเท่านั้นเอง
กลับมาบ้านจึงเล่าให้สามีฟังว่า รู้สึกเหมือนลอยขึ้นไปข้างบน มองลงมาเห็นตัวเองบนรถเข็น และสามียืนอยู่ข้างๆ รู้สึกตัวว่าได้ยินพยาบาลพูดว่า คนไข้ชักเกร็ง หมดสติไป 1 นาที เขาบอกว่า ที่จริงไม่ใช่อย่างนั้น เขายืนอยู่หลังรถเข็น มองเห็นเราชักเกร็ง ตาเหลือกขึ้นไปข้างบน จึงจับบ่าเขย่า แล้วเรียกพยาบาล เราก็ลืมตารู้สึกตัวทันที ไม่ถึงนาทีหรอก ที่เราคิดว่า เราลอยขึ้นข้างบน คงฝันไป เพราะถ้าในภูมิที่มีขันธ์ 5 จิตต้องอาศัยรูปจึงจะเกิดได้ เช่น จิตเห็นต้องอาศัยตา คนตาบอดจึงเห็นไม่ได้ จิตได้ยินต้องอาศัยหูเป็นที่เกิดของจิต คนหูหนวกจึงไม่ได้ยินเสียง ได้กลิ่นต้องอาศัยจมูกเป็นที่เกิดของจิตรู้กลิ่น ลิ้มรสต้องอาศัยลิ้นเป็นที่เกิดของจิตรู้รส รสจึงปรากฏได้ สัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ต้องอาศัยกายเป็นที่เกิดของจิตรู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึงไหว จิตอื่นๆ นอกจากนี้ทั้งหมดก็ต้องอาศัยใจ (หทยวัตถุ) เป็นที่เกิดของจิตนั้นๆ เช่น คิดนึก เป็นต้น ถ้าตายแล้ว จุติจิตเกิดขึ้นต้องมีปฏิสนธิจิตเกิดต่อทันที สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้แล้ว ไม่สามารถจะกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีกเลย ต้องเป็นความคิดนึกเหมือนฝันนั่นเอง ทำให้คิดถึงคนที่เล่าว่า ตายแล้วฟื้นขึ้นมา ได้ไปพบเห็นพ่อแม่ญาติพี่น้องที่ตายไปก่อนแล้ว นั่นเป็นความคิดนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเคยรู้เคยเห็นมาก่อนนั่นเอง ตายแล้วฟื้นจึงไม่มี ตายแล้วก็ตายเลย ความรู้ขั้นปริยัติจึงสำคัญมากที่ทำให้รู้เหตุผลของสภาพธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง อยู่มาจนอายุ 72 ปี เพิ่งรู้ว่า ฝันว่าลอยขึ้นไปเห็นตัวเองเป็นอย่างไร ดูเป็นจริงเป็นจังเสียจนใจหายว่า หรือเราจะตายไปแล้วฟื้นขึ้นมา เสียวในใจคิดว่า คุณวันชัย ภู่งามจะเขียนคำไว้อาลัยในกระดานสนทนาของ มศพ. ว่าอย่างไร
กราบเท้าขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่กรุณาให้พระธรรมเป็นทาน ทั้งในยามดีและยามไข้ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม เมื่อท่านทราบว่าป่วย ก็ส่ง Amino Vit อาหารเสริมบำรุงสุขภาพมาให้ ทานไปได้ 4 วัน ไปพบหมออีกครั้ง เกล็ดเลือดขึ้นเป็น 200,000 กว่า ขอบคุณสามีที่ช่วยดูแลอย่างดีทั้งในยามดีและยามไข้ ขอบคุณญาติมิตรที่เมื่อรู้ว่าป่วย ก็เกิดกุศลจิตอวยพรให้หายป่วยค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบขอบพระคุณพี่แดงที่เล่าความไม่สบายกายและยังเล่าถึงอาการต่างๆ ทั้งที่เพิ่งฟื้นจากความไม่สบายกาย พี่แดงมีพระธรรมเป็นที่พึ่งจึงมีโอากาสมาเล่าเรื่องข้างต้นให้พวกเราทราบ
และเป็นการเตือนให้ทุกคนตระหนักว่าความตายเกิดได้ทุกขณะ ขณะนี้มีที่พึ่งหรือยัง
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของแม่แดงที่กรุณาเล่าเรื่องราว ให้ระลึกว่าชีวิตนี้สั้นเพียงหนึ่งขณะจิต การมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ค่อยๆ สะสมความรู้ความเข้าใจในลักษณะสภาพธรรมไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใด ความมั่นคงในสภาพธรรมที่ไม่มีเราเขา สัตว์บุคคล หากระลึกได้เมื่อใดก็เป็นเหมือนเครื่องช่วยชีวิตที่ตามติดไปทั้งโลกนี้ และโลกหน้าค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง กราบยินดีในความดีท่านอาจารย์ดวงเดือน และกราบยินดีในความเข้าใจธรรมของพี่แดงแม้ในยามไข้ และในยามดีก็ยังเกื้อกูลธรรมแก่น้องๆ เสมอมาค่ะ
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์และอาจารย์ดวงเดือน กราบอนุโมทนาพี่แดงที่นำพระธรรมมาแสดงและเตือนใจให้เราไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ความตายรออยู่ทุกขณะจิต ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตาเดียว✨
ยินดียิ่งในกุศลของพี่แดงด้วยค่ะ ที่ให้ผู้อื่นได้เข้าใจธรรมะ อะไรจะเกิดก็เพราะปัจจัย
สุดยอดคำอธิบายในธรรมะ น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
เรื่องของพี่แดง ช่วยให้ไม่ประมาทในการใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้น ไม่ละเลยการทำความดี และ เข้าใจพระธรรม โดยไม่หวังผล ด้วยความเป็นอนัตตา ... ไม่พัก ไม่เพียร เข้าใจ คือ ทางสายกลาง ค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตทุกๆ ประการ ของพี่แดงในบทความนี้ ซึ่งมีประโยชน์ยิ่ง ให้ได้ไตร่ตรอง ถึงชีวิตที่เกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ว่า ควรมีชีวิต เพื่อ ปัญญาปรากฏ แม้น
ยังไม่ปรากฎ ก็ควรใฝ่ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพต่อไป
กราบแทบเท้าบูชาพระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพรักอย่างสูงค่ะ ท่านเป็นมารดาทางธรรม ที่มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ เหลือประมาณ และ ความเมตตาอันล้นเหลือ นะคะ