ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕๖

 
khampan.a
วันที่  17 เม.ย. 2565
หมายเลข  43014
อ่าน  1,019

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕๖



~
สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบให้เป็นมรดกที่ล้ำค่ากับชาวพุทธ ก็คือ คำจริงทุกคำที่เป็นประโยชน์ทั้งพระธรรมและพระวินัย เพราะฉะนั้น ทุกคนถ้าเห็นคุณอย่างนี้ บูชาคุณด้วยความเป็นผู้ตรง ศึกษาธรรมให้เข้าใจ ประกาศคำสอนที่ถูกต้องเพื่อให้คนอื่นได้มีโอกาสได้รู้ได้เข้าใจถูก ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในชาติต่อๆ ไป

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว แต่พระธรรมเป็นศาสดา เพราะฉะนั้น ที่ใดที่มีธรรม ที่นั้น เหมือนมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ด้วยตรงหน้า เพราะว่า ต้องมีความเคารพและระลึกถึงพระคุณ เมื่อมีคนที่เข้าใจธรรมแล้วระลึกถึงพระคุณของพระองค์ มีหรือที่จะกระทำผิดจากพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้และไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย

~ พรุ่งนี้ อาจจะตายก็ได้ เย็นนี้ ก็ได้ เดี๋ยวนี้ ก็ได้ แล้วจะมีชีวิตเหลือพอไหมที่จะค่อยๆ เข้าใจธรรมเพื่อที่จะแก้ไขตัวเอง เพราะว่าเราแก้เองไม่ได้ ต้องเป็นปัญญาความเข้าใจที่ถูกต้องที่จะค่อยๆ ลดความไม่รู้และความเห็นผิดซึ่งเป็นรากเหง้าที่จะทำให้ทุจริตต่างๆ และความไม่ดีต่างๆ เกิดขึ้น

~ ธรรม ยาก จะง่ายได้อย่างไร ไม่มีทางง่ายเลย แต่ว่ามีโอกาส มีบุญที่ได้สะสมมาที่จะมีโอกาสได้ฟังคำซึ่งคนที่ไม่สนใจ ไม่ได้สะสมมา ก็จะไม่เห็นประโยชน์ แต่ว่าถ้าเป็นคนที่สะสมมา แม้แต่คำเดียวก็สะดุดใจ รู้ว่าลึกซึ้ง และเป็นประโยชน์มากกับชีวิต

~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังเพื่อละความไม่รู้ แทนที่จะไปคิดว่าเราจะต้องเข้าใจเยอะแยะ แต่ฟังเพื่อละความไม่รู้ ซึ่งแต่ละคำ ทำให้ตรงต่อความเป็นจริงในความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา

~ หนึ่งชาติที่เกิดมาเป็นคนนี้ แล้วก็จะเป็นคนนี้ได้อีกไม่นาน ไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นคนนี้นานเท่าไหร่ ต่อไปก็จะเป็นคนใหม่ เพราะฉะนั้น คนใหม่ก็มาจากคนนี้ คนนี้ทำอะไรไว้สืบเนื่องมาจากแสนโกฏิกัปป์ ก็จะปรุงแต่งให้ขณะต่อไปจากโลกนี้ สู่โลกอื่น เป็นคนใหม่ และไม่รู้ว่ากรรมที่ได้ทำมาแล้วทั้งหมด กรรมไหนจะให้ผล เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่ละเว้นแต่ละโอกาส แต่ละขณะมีค่าอย่างยิ่งที่ได้เข้าใจพระธรรม เพราะว่า ถ้าไม่มีแต่ละหนึ่งขณะ จะไม่มีทางที่จะเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ ลึกซึ้ง ต้องเริ่มด้วยการที่ว่าขณะที่กำลังฟัง คำเดียวเข้าใจจริงๆ หรือยัง ขอให้เข้าใจอย่างมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา ทุกอย่างที่เข้าใจผิดว่าเป็นเรา นั้น แท้ที่จริงแล้ว เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง

~ พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนที่ทำให้สงบจากอกุศล สงบจากความวุ่นวาย สงบจากทุจริตหรืออกุศลทั้งหมด ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ ถ้าได้เข้าใจแล้วทุกคนก็จะค่อยๆ สงบ

~ ถ้าเป็นชาวพุทธจริงๆ บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขแน่นอน เพราะว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของปัญญาที่ทำให้เกิดความสงบทั้งกาย วาจาและใจจนกระทั่งสามารถที่จะดับความไม่สงบคือกิเลสทั้งหมดได้

~ ทุกอย่างเกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น จะเป็นเราหรือจะเป็นของใคร ไม่ได้ ข้อสำคัญ คือ ต้องเกิดอีก ต้องมีคนใหม่ที่มาจากคนนี้ ดีชั่ว อย่างไร ที่ได้สะสมไว้ในชาตินี้ และในชาติก่อนๆ ก็จะติดตามสืบต่อไป เป็นคนต่อไป เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นโทษของความไม่ดี ชาตินี้ก็เป็นคนดีที่สุด เท่าที่จะดีได้ ด้วยการเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

~ ใครก็ตาม ที่ไม่ชอบเราว่าเรา นั่นคือ โทสะ (ความโกรธ) ของเขา แล้วทำไมจะไปเดือดร้อน เห็นไหม? ความไม่รู้ทำให้เดือดร้อนว่าเขาว่าเรา เพราะไม่รู้ ใช่ไหม? แต่ถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่าไม่มีเรา ขณะนั้น ไม่เอาโทษมาใส่ตนเอง คือ ไม่เป็นปัจจัยให้กิเลสที่สะสมมาเพิ่มความเป็นตัวตนขึ้น เพราะมีความเข้าใจถูกต้อง ว่า ไม่มีเรา เพราะฉะนั้น จากการที่เริ่มเข้าใจมั่นคงว่าไม่มีเรา กุศลทั้งหมด จะเจริญขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

~ ให้ทานไปแล้ว แล้วก็รู้สึกว่าเราเป็นคนดีมากที่ให้ทาน และหวังผลว่าที่ให้ทาน จะทำให้เราเกิดบนสวรรค์ หรือมีรูปร่างสวยงาม มีทรัพย์สมบัติมากมาย ขณะนั้นสละกิเลสหรือเปล่า?

~ อธิษฐาน หมายถึง ความตั้งใจมั่นในการเจริญกุศล เพราะเหตุว่าจิตใจของคน ส่วนใหญ่แล้วอกุศลทั้งนั้น ทั้งวัน โอกาสของกุศลน้อยมาก เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีอธิษฐานบารมี ก็เป็นผู้รู้ตัวว่า กิเลสยังเยอะ เพราะฉะนั้น ยังจะต้องอาศัยความตั้งใจมั่นจริงๆ ในการเจริญกุศล มิฉะนั้นแล้วก็จะพลาดให้อกุศลทุกที นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ต้องเห็นความสำคัญของจิตใจไม่หวั่นไหว เมื่อมีความตั้งใจที่จะเจริญกุศล และเมื่อมีโอกาสที่จะทำกุศล ความตั้งใจมั่นนั้นก็เป็นปัจจัยทำให้กุศลนั้นเกิดและสำเร็จได้

~
โลภะก็เป็นธรรมด้วย โทสะก็เป็นธรรม ทุกอย่างก็เป็นธรรม ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น การฟัง ก็เหมือนกับการเตือนไม่ให้ลืม ไม่ว่าจะเกิดโทสะ ถ้าระลึกได้ ขณะนั้นเป็นลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ฟังจนกระทั่งความเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรมจรดกระดูกคือไม่ลืม จึงสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมถูกต้องยิ่งขึ้นได้

~
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อใคร? เพื่อผู้ฟังทุกคนที่จะได้เข้าใจถูก และเมื่อมีความเข้าใจถูกแล้ว ปัญญาก็สามารถที่จะเลือกสรรถือเอาแต่เฉพาะสิ่งที่ถูก แล้วก็ทิ้งสิ่งที่ไม่ควร

~ ผู้ใดที่ยอมรับความจริงที่รู้ว่าตนเองไม่ดี ผู้นั้นก็เริ่มที่จะอบรมเจริญกุศล ที่จะขัดเกลาอกุศลทั้งหลายให้เบาบาง แต่ตราบใดถ้ายังคิดว่าดีแล้ว อกุศลก็จะเพิ่มมากขึ้น เพราะเหตุว่าไม่คิดที่จะละอกุศล เพราะเข้าใจว่าดีแล้ว

~ สำหรับชีวิตในแต่ละชาติ จะเห็นได้ว่า ถ้าในทุกๆ ชาติที่เกิดมามีโอกาส ได้ฟังพระธรรม ถ้ายังไม่ละคลายอกุศลต่างๆ ในชีวิตประจำวันจริงๆ ด้วยความตั้งใจมั่น ด้วยความเพียร ด้วยความอดทน ย่อมไม่ถึงกาลที่จะดับกิเลสได้ เพราะว่ากิเลสมากมายเหลือเกิน เพราะฉะนั้น การที่กุศลแต่ละขณะจะเกิดได้ จะเจริญได้ ต้องอาศัยความเพียร และความอดทนต่อการที่จะไม่เป็นอกุศลในขณะนั้น


~ แต่ละชาติที่เกิดมา เมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรม เห็นค่าของพระธรรม เห็นหนทาง แล้วรู้ว่าไกล เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตนั้น ก็เพิ่มความดี เพราะเหตุว่า ขณะใดก็ตามที่เป็นอกุศล ขณะนั้น ไม่ได้เข้าใจธรรมเลย และก็เพิ่มอกุศลอยู่ตลอดเวลา หนทางยิ่งยาวไปอีก ไกลไปอีก

~ ปัญญานำไปในกุศลทั้งปวง ไม่ต้องห่วงเลย เพราะปัญญารู้ว่า ถ้าอกุศลเกิด ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความโลภ การแข่งดี มายา หรืออะไรก็ตามแต่ ขณะนั้นก็พอกพูนความไม่รู้เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย ระลึกได้แล้วก็เป็นกุศล สิ่งที่ไม่เคยทำ ก็ทำ เพราะกุศลจิตเกิด สามารถที่จะช่วยเหลือ อนุเคราะห์ สงเคราะห์หรือพูด หรือ ทำอะไรก็ได้ ในทางกุศลเพิ่มขึ้นเพราะปัญญา



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ


ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๕๕



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
petsin.90
วันที่ 17 เม.ย. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 17 เม.ย. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และกราบยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Sea
วันที่ 17 เม.ย. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนา อ.คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Wiyada
วันที่ 17 เม.ย. 2565

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย และกราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ ชาตินี้เกิดมาได้พบพระธรรมนับเป็นการเกิดที่ประเสริฐยิ่งค่ะ อนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 17 เม.ย. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Lai
วันที่ 17 เม.ย. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Pornkamol
วันที่ 18 เม.ย. 2565

กราบแทบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาในผลบุญของทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เข้าใจ
วันที่ 18 เม.ย. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
มังกรทอง
วันที่ 18 เม.ย. 2565

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ก.ไก่
วันที่ 18 เม.ย. 2565

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Smornmas
วันที่ 18 เม.ย. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณและอนุโมทนา อ. คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
jaturong
วันที่ 18 เม.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 18 เม.ย. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ