มองไม่เห็นความผิดของตัวเอง
ขอสารภาพถึงความเป็นผู้อ่อนด้อยในการศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาของตัวเองค่ะ (น่าจะต้องเรียกตัวเองให้สอดคล้องกับความเป็นจริงใหม่ว่า คุณประมาทระดับ ซูเปอร์ประมาท) วันนี้ดิฉันเกิดความโกรธถึงขั้นกล่าวผรุสวาจาซึ่งปกติไม่เคยแม้แต่คิดที่จะพูด แม้ไม่กี่คำก็จริง แต่ขณะที่ได้ยินเสียงของตัวเองและตกใจว่ากล่าวคำพูดไม่ดี ก็รู้ว่าสายไป เสียแล้ว ไม่เท่าทันอารมณ์และกิเลสร้ายอย่างมหันต์เสียแล้ว แต่ยังไม่เข็ด ตอนสายของวันเดียวกัน มีวาจายั่วโมโหและเซ้าซี้ไม่เลิก ก็เกิดความโกรธเป็นระลอกไล่กันมาในอกอย่างกับลูกคลื่นวิ่งชนใจตัวเองอย่างแรงจนน่ากลัวว่าจะเอาไม่อยู่ พยายามสุดฤทธิ์ที่จะเตือนตนเองว่าขณะนี้ที่โกรธคนอื่นอยู่นั้น เป็นความผิดของตัวเราที่คนอื่นก็ไม่ได้มองเห็น ตัวเราเองเท่านั้นที่รู้อยู่ คนอื่นเขาไม่ได้รู้ด้วยเลย แต่เราก็ยังเฝ้าโกรธเขาเพราะโทษว่าเขาทำให้โกรธ กว่าที่ความโมโหจะยุติลงได้ก็เฝ้าบอกเฝ้าเตือนตัวเอง ซ้ำอยู่หลายหน อันที่จริง ๒-๓ วันมานี้ มีอยู่หลายหนที่จู่ๆ ดิฉันก็นึกถึงประโยคที่เคยได้ฟังท่านอ. สุจินต์ ถามในเทปการสนทนาธรรมผ่านรายการวิทยุ (นานมาแล้ว) ว่า “ความผิดของคนอื่นเห็นง่ายใช่ไหมคะ แต่ความผิดของตัวเองมองเห็นหรือเปล่าคะ” วันนี้เลยได้ประสบการณ์ความผิดที่ไม่คิดว่าตัวเองจะพูดได้ ความผิดของตัวเองนั้นมันยากจะมองเห็นและเป็นเรื่องประมาทไม่ได้จริงๆ ค่ะ ขอสารภาพผิดอีกที
ความโกรธเมื่อเกิดขึ้น ทำให้ชื่อเสียง ยศ ความดีที่สะสมมาพังพินาศเพราะความโกรธ ทำให้โภคทรัพย์ก็เสื่อม ทำให้ฆ่าตัวเองก็ได้ ฆ่าคนอื่นก็ได้ ไม่มีคนอยากเข้าใกล้ หลงทำกาละ ตายไปเข้าถึงทุคติวิบาตนรก
นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า ชีวิตของผู้ที่เป็นอยู่ด้วยปัญญาว่าประเสริฐที่สุด
ความโกรธ ไม่ใช่สิ่งแปลก เกิดได้เพราะยังไม่ได้ดับกิเลส ยังไม่ถึงขั้นของพระอนาคามี แต่เมื่อสหายธรรมเกิดอกุศลธรรมขึ้น กัลยาณมิตรพึงที่จะเอื้อเฟื้อด้วยธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งปัญญา ที่จะนำไปสู่หนทางที่สามารถปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมได้ความโกรธไม่ใช่สิ่งที่ควรยินดีแม้เพียงเล็กน้อย เส้นผมที่ตกลงบนหน้าผาก จะเป็นเหตุให้เกิดความโกรธได้ไหม ถ้าเป็นเหตุได้ จะปัดออกด้วยความไม่รู้เพราะหลงลืมสติหรือปัดออก เพราะสติเกิดระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ขณะนั้นที่เกิดอาการขุ่นเคืองใจโดยไม่ใช่อาการของตัวตน ทุกอย่างเป็นธรรมะจริงๆ ถ้าวันใดเกิดไม่มั่นคงขึ้นมา โกรธเกิด ก็เป็นเราโกรธ เป็นตัวตน เมื่อนั้นย่อมไม่คิดว่าเป็นธรรมะ ลืมคิดว่าโกรธควรดับ และยิ่งจะเป็นตัวตนที่หนักอึ้งขึ้นอีกหากพ่วงด้วย ความผูกโกรธ ความพยาบาทและจิตที่คิดปองร้าย รังแต่จะเผาใจตัวเองให้ไหม้ดำยิ่งขึ้น มีประโยคหนึ่งจากท่าน อ. สุจินต์ ครับผมพอจะจำได้โดยสรุปว่า "ความไม่ดีของผู้อื่นที่เขากระทำกับเรา ก็เป็นสภาพธรรมสภาพหนึ่ง เกิดเพียงชั่วขณะก็ดับ ดับไปนานแล้วแต่เราก็ยังเก็บมาคิด เก็บมาโกรธ หลงลืมสติ ไม่เห็นว่าสภาพที่โกรธนั้นเป็นเพียงสภาพธรรมหนึ่งที่เขาไม่รู้อะไรกับเราแล้ว เขาอาจจะเพลิดเพลินใจอยู่มีแต่เราที่คิดถึงเขาด้วยความโกรธ"
ขอบพระคุณทุกท่านที่ชี้แนะค่ะ ความโกรธนั้น ฆ่าความดีได้ทั้งหมดจริงๆ จะตั้งใจฟังธรรม ศึกษาพระธรรมให้มากขึ้นและรอบคอบขึ้นค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เรื่องพิจารณาว่าธรรมเกิดขึ้นและดับไปแล้วจะโกรธทำไมคิดได้ย่อมเพิ่มขันติ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 609
การทำความเสียหายด้วยธรรมใดและทำในที่ใด ธรรมเหล่านั้นแม้ทั้งหมดก็ดับไปในขณะนั้นเอง. บัดนี้ใครพึงทำความโกรธแก่ใคร. และใครผิดแก่ใครเพราะธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา พิจารณาดังนี้ควรเพิ่มพูนขันติสัมปทาด้วยประการฉะนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 83
" เธออย่าได้กล่าวคำหยาบกะใครๆ , ชนเหล่าอื่นถูกเธอว่าแล้ว จะพึงตอบเธอ, เพราะการกล่าวแข่งขันกันให้เกิดทุกข์ อาชญาตอบพึงถูกต้องเธอ, ผิเธออาจยังตนไม่ให้หวั่นไหวได้ ดังกังสดาลที่ถูกกำจัดแล้วไซร้ เธอนั่นย่อมบรรลุพระนิพพาน, การกล่าวแข่งขันกัน ย่อมไม่มีแก่เธอ."
เรื่อง ว่าเขาแล้วก็ควรอดทนที่จะถูกผู้อื่นว่าด้วย
เชิญคลิกอ่านที่นี่
เรื่อง โทษของบุคคลอื่นเห็นได้ง่าย โทษของตนเห็นได้ยาก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท
เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔- หน้าที่ 58
ข้อความบางตอนจาก เรื่อง เมณฑกเศรษฐี
"โทษของบุคคลเหล่าอื่นเห็นได้ง่าย, ฝ่ายโทษของตนเห็นได้ยาก; เพราะว่า บุคคลนั้น ย่อมโปรยโทษของบุคคลเหล่าอื่น เหมือนบุคคลโปรยแกลบ, แต่ว่าย่อมปกปิด (โทษ) ของตน เหมือนพรานนกปกปิดอัตภาพด้วยเครื่องปกปิดฉะนั้น."
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
“ความผิดของคนอื่นเห็นง่ายใช่ไหมคะ แต่ความผิดของตัวเองมองเห็นหรือเปล่าคะ วันนี้เลยได้ประสบการณ์ความผิดที่ไม่คิดว่าตัวเองจะพูดได้ ความผิดของตัวเองนั้นมันยากจะมองเห็นและเป็นเรื่องประมาทไม่ได้จริงๆ ค่ะ ขอสารภาพผิดอีกที ขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งค่ะ คุณ pornpaon จะมีสักกี่คนคะ ที่จะเห็นกิเลสของตัวเองเหมือนอย่างที่คุณเห็น คนส่วนใหญ่ คิดว่าตัวเองรู้แล้ว และรู้ดีกว่าคนอื่นด้วย และมักคอยจะเที่ยวไปแนะนำสอนคนอื่นเค้าอยู่เสมอ ว่าควรจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่เคยมองเห็นกิเลสของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ขออนุญาตยกคำกล่าวเตือนสติพวกเราอีกครั้งหนึ่งว่าขณะที่จิตของเราเป็นอกุศล เราเคยสังเกตเห็นบ้างหรือไม่? หรือเราเห็นแต่อกุศลจิตของบุคคลอื่น แค่นี้พอที่จะเตือนใจของเราได้ไหม? อนุโมทนาในจิตที่เป็นกุศลของทุกท่านค่ะ
ถ้าเผื่อว่า วันใดวันหนึ่ง จะมีความคิดแวบเข้ามาเป็นความขุ่นใจคนที่โกรธนั้นๆ อยู่
ก็ขอให้ลองศึกษาถึง พยาบาท ประกอบดูครับเชิญคลิกอ่าน ...