บำเพ็ญความดีสะสมบารมี_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
" บำเพ็ญความดีสะสมบารมี "
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๕
~ เวลาไม่คอยใคร เพราะฉะนั้น การที่เรามีโอกาสที่จะได้ฟังความจริง ได้เข้าใจความจริงซึ่งยากที่สุดที่จะรู้ได้ เป็นขณะที่มีค่าที่สุด ไม่ต้องคำนึงถึงอะไรทั้งหมด ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับการมีความเข้าใจถูกในสิ่งซึ่งไม่เคยรู้มาเลยในสังสารวัฏฏ์
~ คุณอาช่า อยู่คนเดียวหรือเปล่า? ความจริงถึงที่สุด กว่าจะรู้ ก็คือว่า แม้แต่อยู่คนเดียว ก็ไม่มีคน เมื่อไม่มีคนแล้วจะอยู่คนเดียวได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งของพระธรรม จะลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีความเข้าใจขึ้น
~ ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เป็นสิ่งซึ่งไม่มีใครสามารถจะคิดฝันได้เลยว่าเป็นความจริงถึงที่สุด ความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้ เป็นสิ่งที่ยากแสนยากที่ใครจะคิดถึงได้ เพราะฉะนั้น ต้องไม่ลืมเลย คนที่มีโอกาสได้ฟังและได้เข้าใจความจริงแม้เพียงเล็กน้อย ก็มากมายมหาศาลซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในสังสารวัฏฏ์
~ สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ต้องเป็นสิ่งที่ยากสุดที่จะยากได้ในสังสารวัฏฏ์
~ ต้องไม่ลืม คำว่าธรรม หมายความถึงสิ่งที่มีจริง เพียงคำเดียว “ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง” สิ่งที่มีจริง มีจริงๆ ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น ต้องไม่ลืมว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด
~ เป็นโอกาสที่จะได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นโอกาสที่จะได้รู้ความจริง เพราะฉะนั้น ความจริงเป็นสิ่งที่รู้ยาก เพราะแม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่
~ มีธรรม แต่ยังไม่รู้จักธรรม จริงไหม?
~ เมื่อมีโอกาสเข้าใจธรรม เห็นคุณค่าสูงสุด เพราะฉะนั้น ก็แบ่งปันธรรมให้คนอื่นได้มีโอกาสได้เริ่มเข้าใจด้วย เมื่อได้ฟังธรรมแล้วค่อยๆ เห็นความลึกซึ้งของธรรมขึ้นทีละน้อย เพราะฉะนั้น จึงรู้ได้ว่า การที่จะรู้จักธรรมจริงๆ ไม่ง่ายเลย ต้องเห็นประโยชน์สูงสุดจริงๆ ของการที่ได้รู้ความจริง
~ คนที่ไม่เห็นประโยชน์ของการรู้จักธรรม ก็อยู่ในความมืดต่อไป ไม่มีวันออกไปจากความมืดได้ ไม่รู้จักว่าตนเองอยู่ในความมืด ก็ไม่คิดที่จะออกจากความมืด
~ ผู้ที่รู้ว่าอยู่ในความมืด เห็นโทษของการอยู่ในความมืด จึงค่อยๆ หาหนทางออกจากความมืด
~ ปัญญาที่เห็นโทษของความไม่รู้เท่านั้น ที่จะทำให้เริ่มเห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจความจริง
~ การเข้าใจความจริง คือ รู้ความจริง ว่า ยากแสนยากที่สุดที่จะเข้าใจความจริงได้ และมีความเข้าใจถูกต้องว่า หนทางเดียวที่จะรู้ความจริงได้ ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานมากที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริง จากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว ทีละคำ
~ เพราะไม่รู้ความจริง จึงเป็นเหตุให้ทำสิ่งที่เป็นทุกข์โทษภัยต่างๆ ในชีวิต ไม่รู้ตรงกันข้ามกับความรู้ แต่ปัญญาความเข้าใจถูก เห็นโทษของความไม่ดีทุกอย่าง เพราะฉะนั้น จึงต้องอดทนมากที่จะรู้โทษของความไม่ดีและความไม่รู้ จึงฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจความจริงของทุกอย่าง
~ ไม่มีใครรู้ว่า ชาตินี้จะมีอีกนานเท่าไหร่ที่จะรู้ความจริง เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ชาตินี้ ก็คือว่า ทำทุกอย่างที่จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตที่จะเข้าใจพระธรรม
~ ต้องอาศัยความดีทุกขณะทุกทางที่เป็นไปได้ ที่จะละความไม่ดี เพราะฉะนั้น ชีวิตที่ยังเหลืออยู่ จะน้อยจะมากอย่างไร ไม่รู้ได้ แต่ประโยชน์สูงสุด คือ บำเพ็ญความดีสะสมบารมีที่จะรู้ความจริงซึ่งลึกซึ้ง
~ ไม่ใช่เข้าใจผิดตั้งแต่ต้น คิดว่า ธรรมง่าย เพียงปฏิบัติ ทำอะไรด้วยความต้องการก็สามารถที่จะละกิเลสรู้ความจริงได้ นั่น เป็นการเข้าใจผิด ซึ่งเพราะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ต้องไม่ลืม การตรงต่อความจริง นั่นคือ สัจจบารมี
~ มีการให้ คือ ทานที่ประเสริฐที่สุดคือการให้ความรู้ความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง
~ ความประพฤติที่เป็นประโยชน์ เกิดเพราะรู้ความจริง อันนั้น ก็เป็นสีลบารมี (ศีลบารมี) ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเลยทั้งสิ้น ทั้งกาย และวาจา ใจ
~ เนกขัมมะ คือ การละ การสละความไม่ดี อยากบวช อยากเป็นพระ แต่ไม่เข้าใจธรรม ละอะไรได้ไหม?
~ เมื่อรู้ว่าไม่รู้ แล้วก็เห็นโทษของความไม่รู้ และก็รู้ว่าสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงแล้วรู้ได้ นั่นคือ ปัญญาที่ทำให้เกิดการละคลาย แต่ถ้าไม่มีปัญญา เนกขัมมะก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้น คุณความดีทั้งหมด เพื่อละความไม่ดี นั่นเป็นเนกขัมมบารมี ซึ่งทั้งหมดจะขาดปัญญาไม่ได้เลย
~ บารมีทั้งหมด ต้องเป็นเรื่องการละความไม่รู้ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความไม่ดี
~ ต้องเป็นเรื่องตรงที่สุดที่จะเป็นความเข้าใจถูกต้องของตัวเอง ละเอียดลึกซึ้งที่จะเข้าใจแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ เพราะคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าต้องบวช แต่ไม่รู้ว่าบวชคืออะไรและบวชทำไม เป็นบารมี เป็นเนกขัมมะหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น เนกขัมมะ คือ การสละสิ่งที่ไม่ดี สละความไม่รู้
~ เดี๋ยวนี้ที่คุณอาช่ากับคุณอาคิลกำลังฟังธรรม เพื่อละความไม่รู้ซึ่ง (ความไม่รู้) จะเป็นเหตุให้เกิดความไม่ดีทั้งหลาย ขณะนี้ที่กำลังฟังธรรม เป็นเนกขัมมะหรือเปล่า?
~ ไม่ต้องบวช ก็เป็นเนกขัมมบารมี ใช่ไหม? แต่ใครก็ตามที่บวช แต่ไม่เข้าใจธรรมเลย เป็นเนกขัมมะหรือเปล่า (ไม่เป็น) เพราะฉะนั้น บวชหรือไม่บวช ก็ฟังธรรม เข้าใจธรรม เพื่อขัดเกลา ละกิเลสได้ ใช่ไหม?
~ ในพระชาติก่อนๆ ไม่ใช่พระชาติสุดท้ายที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็มีชีวิตทั้งที่เป็นคฤหัสถ์และที่เป็นบรรพชิต แล้วแต่พระชาติไหน จะเป็นอะไร
~ ต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงใจ (สัจจะ) ต่อความจริง จะเข้าใจพระธรรม ศึกษาพระธรรมในชีวิตของผู้ที่ละอาคารบ้านเรือน สละเพศคฤหัสถ์ จะกลับมามีชีวิตเหมือนคฤหัสถ์อีกไม่ได้ แต่ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจ ศึกษาพระธรรม บำเพ็ญเนกขัมมบารมีในเพศคฤหัสถ์ สามารถรู้ความจริง เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามีได้ ไม่ต้องบวชก็ได้ แต่คฤหัสถ์ใดก็ตาม ที่ถึงการรู้ความจริงตรัสรู้ถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว จะมีชีวิตเหมือนอย่างคฤหัสถ์ต่อไปอีกไม่ได้ เพราะฉะนั้น เพศบรรพชิต เป็นเพศของพระอรหันต์
~ ทุกคนบำเพ็ญเนกขัมมบารมีได้ แล้วแต่ว่า จะอยู่ในเพศใด ต้องตรง เป็นสัจจบารมี
~ เดี๋ยวนี้ที่กำลังฟังธรรม เพื่อเข้าใจแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อละความไม่รู้ เพื่อที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงขึ้น เป็นเนกขัมมบารมีหรือเปล่า?
~ ภิกษุที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม เป็นเนกขัมมบารมีหรือเปล่า (ไม่เป็น) เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย
~ ต้องไม่ลืม ฟังธรรมเพื่อเข้าใจสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน และได้ยินคำไหน ไม่ใช่เพียงจำ แต่ต้องเข้าถึงความเป็นจริงของสิ่งนั้นด้วย
~ ฟังธรรม เพื่อเข้าใจธรรม เพื่อรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่การคิดเอง
~ ถ้าฟังธรรม เพื่อเราเป็นคนเก่ง เพื่อใครๆ จะรู้ว่าเราเก่ง นั่น ไม่ใช่บารมีแน่นอน
~ เบาสบายไหมที่ฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริง? เบาสบาย จากการที่เป็นทาสของเรา เป็นกิเลสที่ต้องการทุกอย่างเพื่อเรา เพราะความจริง เป็นธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น ทุกอย่างทั้งหมดทั้งชาตินี้และทุกชาติในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่เราเลย เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
~ จะรู้ความจริงได้ เมื่อไหร่ ไม่สามารถจะตอบได้เลย นานเท่าไหร่ โดยความเป็นอนัตตา ถูกต้องไหม? นี่คือ ความหมายของอนัตตาซึ่งทำให้ไม่ต้องไปหวังอะไรเลย ไม่ต้องไปทำอะไรเลย เพราะขณะนั้น ทำไปด้วยความไม่รู้ และด้วยความหวัง
~ พระสารีบุตรรู้ก่อนไหม ว่า จะได้เป็นพระโสดาบันเมื่อได้ฟังท่านพระอัสสชิ?
~ ถ้าไม่เคารพคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ศึกษาให้เข้าใจในความลึกซึ้งจริงๆ ก็จะเป็นผู้ที่ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ความเป็นเพื่อนที่ดีและการเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุด ต้องพิจารณาไตร่ตรองคำของพระองค์ที่ลึกซึ้ง จนค่อยๆ เข้าใจถูก จึงสามารถที่จะช่วยให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย ได้ เป็นกุศลสูงสุดในชีวิตและในสังสารวัฏฏ์
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน คุณอาคิล คุณอาช่าและทุกๆ ท่าน
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง และกราบยินดีในความดีของทุกๆ ท่านค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ อ.สุจินต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบขอบพระคุณคณาจารย์ทุกท่านครับ
เป็นโอกาสที่ได้ฟังคำจริงที่ไพเราะเป็นธรรมวาที
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณผู้ร่วมสนทนา และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกๆ ท่าน กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาและบูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้พระธรรมทุกคำที่ทรงสอนเหล่าสัตว์และเทวดา