อกุศล ไม่ผ่องใส ไม่สะอาด_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันอาทิตย์ที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๕
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
" อกุศล ไม่ผ่องใส ไม่สะอาด "
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันอาทิตย์ที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๕
~ ได้ยินคำว่า อัตตะ หรือ อัตตา หมายความว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่เป็นสิ่งที่ละเอียดที่สุด สำคัญที่สุดซึ่งต้องละก่อน ถ้าละได้ก็จะไม่มีความเห็นผิดใดๆ เลย เพราะขณะนี้ เดี๋ยวนี้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
~ เข้าใจว่า มีโลกใหญ่ มีคนเยอะ เป็นความเห็นผิดหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น หนึ่งๆ ๆ รวมกันทำให้เข้าใจว่า เป็นหนึ่งต้นไม้ หนึ่งดอกไม้ หนึ่งรองเท้า หนึ่งขนคิ้ว หนึ่งผม เป็นต้น อะไรก็ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจว่า สิ่งที่มีไม่เกิดดับ รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นก็คือ อัตตวาทุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวตน)
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ละเอียดลึกซึ้ง เพราะพระองค์ตรัสรู้ประจักษ์แจ้งความจริง เพราะฉะนั้น จะเริ่มรู้จักความจริงว่า ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น แต่มีสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ นี่คือ เริ่มที่จะค่อยๆ ละความยึดมั่นว่า มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด
~ เห็นดอกไม้เป็นดอกไม้ เป็นอัตตวาทุปาทานหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น บางคนก็คิดว่า การยึดถือเห็นว่า เป็นเรา เป็นอัตตวาทุปาทาน การคิดว่า กำลังได้ยิน เป็นอัตตวาทุปาทาน แต่ทั้งหมดที่มีแล้วไม่รู้ความจริงว่า ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ทั้งหมดเป็นอัตตวาทุปาทาน ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจคำนี้เลย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ความจริงว่า เพราะไม่รู้ว่าขณะนี้โลกทางตา ไม่ได้เห็นคน ไม่ได้เห็นสัตว์ แต่เห็นสิ่งที่กระทบตา เดี๋ยวนี้กำลังมีสิ่งที่กระทบตา และสิ่งที่กระทบตาเท่านั้นที่ปรากฏหนึ่งขณะที่เห็น เพราะฉะนั้น จะเป็นคน เป็นสิ่งของ เป็นเราเป็นเขา ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ยังไม่รู้จักโลกจริงๆ เลย
~ เพียงได้ฟังคำว่า โลก หรือ โลกะ ก็ยากที่จะรู้ว่า ความจริง ไม่ใช่อย่างที่เราคิด เพราะฉะนั้น มีความเข้าใจผิดนานแสนนานมาแล้ว ไม่มีทางที่จะรู้ว่า โลก ไม่ใช่สิ่งที่เราเคยคิดว่า มีคนเยอะๆ มีสิ่งของมากๆ แต่เป็นโลกที่ปรากฏเพียงทีละหนึ่งอย่าง
~ กำลังเห็น ไม่ใช่กำลังได้ยิน ไม่ใช่กำลังคิดนึก เป็นโลกทางตาที่เกิดขึ้นเห็นและมีสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นให้เห็น ถ้าไม่มีโลกนี้ คือ ไม่มีโลกเห็น อะไรก็ปรากฏให้เห็นไม่ได้เลยว่ามี แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น ก็รู้ความจริงว่าสิ่งที่ปรากฏให้เห็นจะปรากฏทางอื่นไม่ได้เลย โลกเป็นแต่ละโลกจริง โลกเกิด โลกดับ แล้วไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่กลับมาอีก อีกโลกหนึ่งไม่มีอะไรนอกจากเสียงและได้ยิน ไม่มีเห็น ไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ถ้าโลกไม่เกิดไม่ดับ ไม่มีทางที่จะละความติดข้องว่า สิ่งที่รวมกันนั้นเป็นสิ่งหนึ่ง ถ้าโลกไม่ปรากฏว่าโลกหนึ่งเกิดดับ ก็เป็นโลกที่รวมกันปรากฏว่าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้น ไม่ใช่พูดง่ายๆ ว่า ไม่มีอาช่า ไม่มีสุจินต์ ไม่มีสุคิน ไม่ใช่ง่ายๆ อย่างนั้น แต่ต้องเป็นความเข้าใจขึ้นในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทีละหนึ่ง
~ ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง จะใช้คำอะไรภาษาอะไรก็ได้ แต่หมายความว่า คำนั้นทำให้ค่อยๆ เข้าใจความจริงในภาษาของตนๆ
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสธรรมในภาษาบาลี คนอื่นรู้ว่าหมายความถึงอะไรในภาษาของตนๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า จักขุวิญญาณ ภาษาไทยใช้คำว่า เห็น แต่เป็นสิ่งเดียวกัน หมายความถึงสิ่งเดียวกัน เดี๋ยวนี้กำลังเห็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เห็นคืออะไร ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้ามีคนถามว่า จักขุวิญญาณ คืออะไร เดี๋ยวนี้มี จักขุวิญญาณไหม เมื่อมี ต้องรู้ว่า คืออะไรตามความเป็นจริง
~ เห็นกับสิ่งที่กำลังถูกเห็น เป็นสิ่งเดียวกันหรือเปล่า? นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราพูดธรรมทุกเรื่อง แต่เราไม่รู้จักธรรมจริงๆ นี่เป็นหนทางที่จะให้เริ่มรู้ว่า ธรรมจริงๆ แต่ละหนึ่งๆ เป็นอย่างไร ที่ไม่ใช่เรา ถ้าเราพูดเรื่องธรรมทุกอย่างไปหมด แต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นอะไร ไม่มีประโยชน์เลย
~ ถ้าไม่รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ การศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาทหรือเรื่องอะไรอื่นๆ ไม่มีประโยชน์เลย เพราะไม่สามารถจะรู้สิ่งที่กำลังมีได้
~ ต้องเริ่มต้นจากขณะนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร กำลังเห็น พระองค์ตรัสเรื่องเห็นหรือเปล่า? กำลังเห็น ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น ใช่ไหม? ต้องเป็นการที่จะไตร่ตรองจนกระทั่งมั่นคงในการที่จะเข้าใจถูกต้องตามลำดับ ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่มีในแต่ละขณะ ก็จะไม่รู้จักธรรมเลย
~ เห็นโต๊ะ ได้ไหม เห็นมือถือ ได้ไหม? เพราะฉะนั้น โทรศัพท์เป็นอัตตา โต๊ะเป็นอัตตา ใช่ไหม สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ซึ่งไม่เป็นอะไรเลย
~ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น สามารถที่จะรู้เห็นได้ไหม?
~ กำลังฟังธรรม กำลังศึกษาธรรม กำลังเข้าใจธรรมที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ใช่ไหม? ถ้าไม่พูดเรื่องเห็นให้รู้ความจริง จะชื่อว่า ศึกษาธรรม ฟังธรรม หรือเปล่า? เพราะฉะนั้น สิ่งที่ถูกเห็น ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น แต่มีจริงๆ
~ ธรรมที่มีจริง ที่เกิดขึ้น แต่ไม่รู้อะไร เป็นรูปธรรม เสียงเป็นรูปธรรมหรือเปล่า? ทำไมเป็นรูปธรรม กลิ่นเป็นรูปธรรมหรือเปล่า รูปธรรมมีหลายอย่างหรือมีอย่างเดียว? ถ้าไม่เกิดขึ้น จะมีไหม ที่ตัวอาช่ามีแข็งไหม? แข็งรู้อะไรหรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ไม่มีคุณอาช่า แต่มีรูปธรรม สิ่งที่เกิดขึ้นไม่รู้ เป็นรูปธรรม แต่ถ้าไม่มีสภาพรู้เกิดขึ้นรู้ อะไรก็ปรากฏไม่ได้ เข้าใจธรรม ต้องขณะที่ธรรมนั้นๆ มีให้เข้าใจ
~ ขณะนี้ สีสันวรรณะปรากฏ เพราะสิ่งนั้นกระทบตาแล้วมีธาตุรู้ซึ่งไม่ใช่สีสันวรรณะเกิดขึ้นรู้เฉพาะสีสันวรรณะที่ปรากฏเท่านั้น มีใครทำให้สิ่งที่ปรากฏทางตา ปรากฏได้ไหม? แต่มีธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นเห็นสิ่งนั้น
~ เสียงมีไหม ทำไมว่ามีเสียง มีเสียงปรากฏจึงรู้ว่ามีเสียง แต่ถ้าไม่ได้ยิน เสียงก็ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้น ได้ยินมีจริงๆ เกิดขึ้นได้ยินรู้เสียงเท่านั้น กำลังได้ยินเสียง เป็นคุณอาช่าได้ยินหรือเปล่า? และเสียงเป็นเสียงคุณอาช่าหรือเปล่า? เสียงที่ได้ยินเมื่อกี้นี้อยู่ไหน? เพราะฉะนั้น ไม่มีใครเลยใช่ไหม มีแต่ธาตุรู้กับธาตุที่เกิดขึ้นแต่ไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้น ไม่ลืม มีธาตุรู้กับธรรมที่ไม่รู้ มีนามธรรมกับรูปธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นปรากฏว่ามี
~ เวลาสภาพธรรมรวมกันปรากฏ ไม่รู้ความจริงว่า เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดดับ ก็ยังเป็นความเห็นว่า เป็นอัตตา เป็นอัตตานุทิฏฐิ (ความเห็นผิดว่ามีตัวตน) เพราะฉะนั้น ทุกคำที่ได้ยินจะต้องเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะฉะนั้น มีการเข้าใจมั่นคง ยึดมั่น ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นเป็นอัตตวาทุปาทาน
~ เป็นความยากมากที่สะสมความยึดมั่นในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมานานมาก เมื่อมีความยึดมั่นว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็มีความเห็นผิดต่อไปอีกมากมายหลายอย่าง เพราะฉะนั้น อัตตวาทุปาทาน คือ ความยึดมั่น เมื่อมีอัตตานุทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มั่นคง จึงเป็นอัตตวาทุปาทาน เพราะฉะนั้น อัตตวาทุปาทาน ก็คือ อัตตานุทิฏฐิ
~ เพราะมีการไม่รู้ความจริงว่าธรรมแต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่ง จึงมีอัตตานุทิฏฐิ และมีการยึดมั่นในความเห็นอื่นๆ เพิ่มขึ้น เป็นทิฏฐุปาทานและมีการประพฤติตามความเห็นนั้นๆ ไหว้ต้นไม้ เป็นต้น ก็เป็นสีลัพพตุปาทาน (ยึดมั่นถือมั่นในข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด)
~ ถ้าไม่รู้ธรรมเดี๋ยวนี้ จะเป็นพระโสดาบันได้ไหม? เพียงความรู้ว่าเป็นธรรมเดี๋ยวนี้ที่ต้องรู้ จึงจะละความไม่รู้และความติดข้องในความเป็นตัวตนได้ ไม่สามารถที่จะละความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกายได้) ได้ ถ้าไม่รู้ความจริง จะสามารถละความยินดีติดข้องในรูปที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ ในเสียงในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ได้ไหม? เพราะฉะนั้น หนทางเดียว คือ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่มีจริง ยังไม่รู้ จึงต้องค่อยๆ ฟังให้เข้าใจขึ้น ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ก็ ต้องฟังและค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกว่าจะรู้ในขณะที่สิ่งนั้นปรากฏตามที่ได้ฟัง หนทางอื่น มีไหม? (ไม่มี)
~ ถ้าเข้าใจนิดหน่อย สามารถที่จะละความติดข้องว่าเป็นเราได้ไหม? (ไม่ได้) เดี๋ยวนี้ มีความเข้าใจจากขั้นการฟังทั้งๆ ที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเกิดแล้วดับ
~ สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เกิดจริงๆ และดับจริงๆ แต่เร็วมาก และก็มีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อทันทีที่สิ่งหนึ่งดับไป จึงไม่ปรากฏการเกิดดับของสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้
~ เดี๋ยวนี้ที่ยังไม่เข้าใจแต่ละหนึ่งตามความเป็นจริงและไม่ประจักษ์การเกิดดับ มีหนทางที่จะรู้ความจริงอย่างนี้ได้ไหม? หนทางนั้นคืออะไร? หนทางเดียวหรือมีหนทางอื่นอีก? นี่คือ สัจจบารมีและอธิษฐานบารมีที่เข้าใจมั่นคงอย่างนี้
~ อกุศลทุกประเภท ไม่ผ่องใส ไม่สะอาด เพราะฉะนั้น อกุศลทุกประเภทปิดบังความจริงที่กำลังเป็นจริงเดี๋ยวนี้
~ การเห็นประโยชน์ ทำให้จิตผ่องใส เป็นศรัทธาที่มั่นคงขึ้น ที่จะอบรมเจริญปัญญาในขณะที่เข้าใจถูกและเห็นถูกตามที่ได้ฟัง
~ คนที่ได้ยินคำว่า ปฏิจจสมุปบาท อายตนะ ขันธ์ ธาตุ แต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นอะไร ไม่ใช่ผู้ที่มีสัจจะตรงต่อความจริง สิ่งนี้เป็นอย่างไรต้องตรงตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ที่สามารถเข้าใจได้ไม่เปลี่ยนแปลง จึงเป็นสัจจบารมีและอธิษฐานบารมี
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงละเอียดลึกซึ้งมาก ต้องไตร่ตรองจนกว่าจะรู้ถูกต้องตามความเป็นจริง
~ ความไม่รู้และอกุศลธรรมทั้งหมดไม่สะอาด ปิดบังความจริง ด้วยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ละชั่ว คนที่ไม่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดเอง พอได้ยินคำว่า ละอกุศล ละชั่ว เขาคิดว่าอย่างไร เขาคิดว่า เขาต้องละชั่ว เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ละชั่ว ถ้าคิดเอง แสดงว่า เขาไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คนที่เคารพสูงสุดในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่คิดเอง เขาต้องฟังทุกคำตั้งแต่คำแรก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลาย ทั้งหมด ไม่เว้นเลย ทั้งปวง เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น คนที่คิดเองว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้ละชั่ว เขาจะละชั่ว ขณะนั้นเขาไม่ได้ละชั่ว เพราะเหตุว่า เป็นเขา ไม่ใช่ธรรม
~ เมื่อเห็นผิดว่า เป็นตัวเขา และเขาคิดว่า ละชั่วคือเขาละชั่ว เขาไม่รู้จักคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ซึ่งจะต้องเป็นคำที่เปลี่ยนไม่ได้เลย จะต้องเข้าใจขึ้นๆ จากทุกคำที่พระองค์ทรงแสดง ด้วยเหตุนี้ จึงต้องฟังทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเคารพ ไตร่ตรองละเอียดลึกซึ้งจนเข้าใจ จึงจะเป็นปริยัติ
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้ง จึงต้องเริ่มต้นด้วยการฟังและเข้าใจความหมายของธรรมซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ทั้งหมดและเดี๋ยวนี้ด้วย
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความเข้าใจถูก ความเห็นถูก เป็นปัญญาซึ่งทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
~ คนที่ไปสำนักปฏิบัติเข้าใจธรรมหรือเปล่า? ปริยัติไม่ใช่จำนวน ไม่ใช่คำ ไม่ใช่เรื่อง แต่เป็นการเข้าใจถูกว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีการฟัง การศึกษาให้เข้าใจอย่างละเอียด ไม่สามารถที่จะรู้ความไม่ใช่ตัวตนได้ เพราะฉะนั้น ถึงแม้ฟังแล้ว ก็ยังต้องมีปัญญาต่อไปอีก จึงมีปฏิปัตติ และปฏิเวธ แต่ไม่ใช่ปฏิปัตติ อย่างที่เขาคิด
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบยินดีในกุศลของคุณสุคิน คุณอาคิล คุณอาซ่าและทุกๆ ท่าน