ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๖๕

 
khampan.a
วันที่  19 มิ.ย. 2565
หมายเลข  43252
อ่าน  1,017

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๖๕



~ พระพุทธศาสนา คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นคำสอนที่จะนำไปสู่การรู้ความจริงของทุกอย่างจนกระทั่งสามารถที่จะขัดเกลาความไม่รู้ตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติให้ค่อยๆ น้อยลง เพราะเหตุว่า ความไม่รู้ทำให้เกิดความไม่ดีทั้งหมด ความไม่รู้ความจริง จะนำไปสู่ความดีจนถึงที่สุดไม่ได้

~ เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ทุกขณะก็ผ่านไปด้วยความไม่รู้ เดี๋ยวนี้เป็นธรรม ไม่ต้องไปแสวงหา เกิดมาก็เป็นธรรม ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกขณะเป็นธรรม จะรู้ไม่ใช่ไปรู้ที่อื่น แต่รู้ธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้

~ กุศลจิตเกิด สละสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เป็นทานกุศล ซึ่งก็คือ ธรรม ไม่ใช่เรา พระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ก็เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง

~ ก่อนฟังพระธรรม เป็นเราโดยตลอด แต่เมื่อเริ่มได้ฟังพระธรรม ก็เริ่มเข้าใจว่า มีแต่ธรรม ไม่มีเรา

~ พระพุทธพจน์ (คำของพระพุทธเจ้า) ควรค่าแก่การฟังเป็นอย่างยิ่ง ทุกคำเป็นวาจาสัจจะ และไม่ใช่ให้เชื่อตาม แต่ต้องฟังให้เข้าใจ พิจารณาไตร่ตรองตามว่าเป็นจริงอย่างนั้นหรือไม่ เช่น ไม่มีเรา มีแต่สภาพธรรม

~ เรากำลังฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริง เพื่อเข้าใจขึ้น จนกว่าจะรู้ถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง เพราะปัญญาเจริญขึ้น

~ บอกว่าธรรม ยากมาก แล้วจะเข้าใจธรรมอย่างง่ายๆ ได้อย่างไร ต้องเป็นผู้ตรง

~ ไม่รู้จึงฟังพระธรรม ถ้าไม่ฟังพระธรรม นั่นแสดงว่า ต้องการที่จะไม่รู้อีกต่อไป

~ ทุกคนโกรธ โกรธอะไร ไม่มีประโยชน์ โกรธเห็น โกรธได้ยิน โกรธคิ้ว โกรธตา โกรธทำไม ก็เพราไม่รู้ ก็รวมสิ่งนั้นว่าเป็นคน เป็นเรื่องราวต่างๆ แต่ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว เสียเวลาไหม โกรธอะไร เขาไม่เดือดร้อนเลย คนที่เราโกรธไม่เดือดร้อน แต่ผู้โกรธนั่นแหละเดือดร้อน เพราะกิเลสของตนเอง

~ คนที่มีโทสะเดือดร้อน คนที่ไม่มีโทสะ ไม่เดือดร้อนเลย และคนที่มีโทสะ เมื่อมีความเดือดร้อนแล้ว ใจร้อนมากเพิ่มขึ้น เป็นเหตุให้กระทำสิ่งที่ไม่สมควร ผิดปกติทางกาย ทางวาจา นำความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้คนอื่นด้วย

~ เมื่อโกรธเกิดขึ้นแล้ว ดีไหม? (ไม่ดี) ใครเดือดร้อน? โกรธเกิดที่ไหนไม่เป็นสุข จะทำให้คนที่มีความโกรธ เป็นสุข เป็นไปไม่ได้เลย เพราะลักษณะนั้นเป็นสภาพที่เดือดร้อน แม้จิตในขณะนั้น ก็มีโทสะหรือความขุ่นเคืองใจเกิดร่วมด้วย ขณะนั้นเดือดร้อนจริงๆ

~ เวลาที่ไม่รู้ ก็ทำสิ่งที่ไม่รู้ เมื่อรู้แล้ว จะทำอีกหรือเปล่า? เป็นหน้าที่ของชาวพุทธที่จะต้องดำรงรักษาพระพุทธศาสนา และไม่กลัวที่จะเผยแพร่สิ่งที่ถูกต้อง มิฉะนั้นแล้ว คำสอนต่างๆ ที่ถูกต้องดีงามก็จะเสื่อมไป ผิดหรือที่จะพูดความจริง

~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ สามารถที่จะให้ผู้พิจารณาขัดเกลากิเลสอกุศลธรรมได้อย่างละเอียด เพราะเหตุว่า ชี้ให้เห็นโทษของตนเอง ซึ่งยากที่จะเห็นได้ เป็นศาสดาแทนพระองค์ เป็นดุจครูอาจารย์ผู้คอยชี้โทษ เป็นกัลยาณมิตร คือ มิตรแท้ ผู้ที่ชี้ให้เห็นโทษของตนเอง

~ มีใครโกรธบุคคลที่ชี้โทษบ้างไหม? หรือว่าโทษของเราก็ต้องเราเห็น ไม่ใช่ให้คนอื่นบอก ความสำคัญตนมีมากมายหลายลักษณะจริงๆ เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะพิจารณาว่า มีจิตใคร่ที่จะเป็นผ้าเช็ดธุลีหรือยัง ถ้าระลึกถึงผ้าเช็ดธุลี คือ ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะได้รับคำชมหรือคำติ หรือการกระทำทางกายวาจาที่ควรไม่ควรจากบุคคลใดก็ตาม ก็เป็นผู้ที่สามารถจะไม่หวั่นไหวได้ ก็จะถือผู้ที่ชี้โทษให้ ว่า เป็นผู้มีคุณ

~ ภัยที่มองไม่เห็น มองไม่เห็นจริงๆ เพราะอยู่ที่ไหน? อยู่ที่จิตทุกขณะ ลองคิดดู อันตรายอย่างอื่นยังไม่มาถึงทุกขณะ ไฟไหม้ น้ำท่วม ความเจ็บไข้ ความพลัดพรากต่างๆ ก็ยังไม่มาถึงทุกขณะ แต่ภัยนี้เกิดกับจิตทุกขณะที่อกุศลเกิด แล้วใครจะเห็น ภัยที่ใหญ่มาก เพราะใครก็ไม่สามารถกำจัดภัยนี้ออกไปได้ ไม่มีทางเลย นอกจากปัญญา

~ มิตรจริงๆ เป็นผู้ให้ประโยชน์เกื้อกูล ไม่คิดร้าย พร้อมจะช่วยเหลือเกื้อกูล ใครเป็นอย่างนี้ได้ พระผู้มีพระภาคตรัสแสดงไว้ตามความเป็นจริงว่า นี่คือ ลักษณะของมิตร

~ การฟังธรรม ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน ไม่ใช่เรื่องรวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องอยากจะเข้าใจ แต่ขณะใดที่ฟังแล้วเข้าใจ ขณะนั้นเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจสิ่งที่เคยฟังแล้วเข้าใจแล้วนั่นแหละเพิ่มอีก และเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจขึ้นอีก ในความไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด

~ ทุกคนเกิดแล้วต้องเป็นไปตามกรรม ตามเหตุตามปัจจัย ตามการสะสม ตามกุศลและอกุศลที่สะสมมา บังคับบัญชาไม่ได้เลย แต่เมื่อมีโอกาสได้ฟังสิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็สามารถที่จะทำให้เกิดความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงได้

~ มั่นคงว่าไม่ใช่เราแล้วจะหวั่นไหวไหม? ใครว่า ใครไม่ชอบ ใครจะว่าอย่างโน้นอย่างนี้ จะหวั่นไหวไหม? โรคร้ายจะมา จะไม่มา ก็มีเหตุปัจจัยที่จะเกิด เพราะฉะนั้น ก็ทำดีที่สุด

~ มีสมบัติอะไรในโลกซึ่งคนในโลกนี้เอาไปได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดๆ ก็ตามที่มีอยู่ ตั้งแต่บรรพบุรุษซึ่งได้ชื่อว่าครอบครองมีสิ่งเหล่านั้น แต่ก็จากไปหมด ไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยสักอย่างเดียว

~ ไม่มีอะไรที่จะไปละความไม่รู้และความชั่วทั้งหลายได้ นอกจากความเข้าใจถูก เพราะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความไม่ประมาทและด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

~ งอกงามในพระพุทธศาสนา หมายความว่าอย่างไร? ต้องมีความเข้าใจด้วย ถ้าฟังธรรมแล้วไม่เข้าใจ จะชื่อว่างอกงามไหม? เพราะฉะนั้น งอกงามในพระพุทธศาสนา หมายความว่า มีความเข้าใจความลึกซึ้งของพระธรรม เพื่อที่จะขัดเกลากิเลส เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีกายสุจริต วาจาสุจริต ใจสุจริต ก็จะงอกงามไม่ได้ จะนำมาซึ่งความสุขไม่ได้

~ โอกาสที่ยังเหลืออยู่ที่ประเสริฐที่สุด ก็คือ ได้ฟังสิ่งซึ่งเป็นความจริงถึงที่สุดซึ่งจะติดตามต่อไปเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะเข้าใจตรง อะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว อะไรจริง อะไรเท็จ เพราะฉะนั้น การรู้ความจริงเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ทำให้คนนั้นเป็นคนที่ตรง เมื่อเป็นคนตรง จะไม่เห็นผิดเป็นชอบ จะไม่เห็นชั่วเป็นดี แล้วก็สามารถที่จะตรงจนละสิ่งที่ชั่วได้

~ อกุศลธรรมก็เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ควรที่จะเห็นอกุศลของตนเองตามความเป็นจริงว่า เป็นสิ่งซึ่งมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดก็เกิดปรากฏ และเมื่ออบรมธรรมที่เป็นกุศลมากขึ้น ธรรมที่เป็นกุศลนั่นแหละ จะขัดเกลาบรรเทาธรรมที่เป็นอกุศลให้น้อยลงได้

~ จาคะ คือ การสละ ตั้งแต่เริ่มสละวัตถุซึ่งไม่ยากเท่ากับสละความเป็นเรา ความเป็นตัวตน เพราะความเป็นตัวตน มากมายมหาศาลแล้วก็เหนียวแน่นมาก

~ การกล่าวถึงสิ่งที่ผิดว่าผิด การกล่าวถึงสิ่งที่ถูกว่าถูก เป็นการอนุเคราะห์คนอื่น ด้วยความเป็นมิตรด้วยความหวังดีที่จะให้เขาเข้าใจได้ถูกต้องว่าอะไรถูก อะไรผิด



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๖๔



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 19 มิ.ย. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
petsin.90
วันที่ 19 มิ.ย. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 20 มิ.ย. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง และกราบยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Sea
วันที่ 20 มิ.ย. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง กราบขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 20 มิ.ย. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
tim7755tim
วันที่ 20 มิ.ย. 2565

ขอนอบน้อมแด่พระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 20 มิ.ย. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เข้าใจ
วันที่ 20 มิ.ย. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Lai
วันที่ 21 มิ.ย. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เจียมจิต สุขอินทร์
วันที่ 23 มิ.ย. 2565

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
มังกรทอง
วันที่ 23 มิ.ย. 2566

ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
มังกรทอง
วันที่ 23 มิ.ย. 2566

ฟังธัมมาท่านให้ ไม่หยุด คงมั่นอันประดุจ เพชรได้ พึงขอกราบในพุทธ ปีติ นั่นแล นบอาจารย์สุจินต์ไว้ ยกเกล้าตลอดมา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ