ไทย-ฮินดี 09 กรกฏาคม 2565
Thai-Hindi 09 July 2022
- ได้ยินคำว่า ขันธ์ หมายความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงขันธ์ แน่นอนว่าไม่ใช่คำของคนอื่น
- สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้คืออะไร เห็นมีจริง ขันธ์มีจริง เพราะฉะนั้น เห็นเป็นขันธ์รึเปล่า
- สิ่งที่มีจริงทุกสิ่งเป็นขันธ์ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นหนึ่งใช่ไหม
- เห็นเป็นขันธ์ เห็นมีหนึ่ง เพราะฉะนั้นเห็นเป็นขันธ์หนึ่งใช่ไหม
- เห็นเมื่อกี้นี้ดับ หมายความว่า เห็นเป็นขันธ์หนึ่งใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นทุกคำสำหรับเข้าใจ ไม่ใช่บอกให้จำ
- เห็นมีจริง ขันธ์มีจริง เพราะฉะนั้น เห็นเป็นขันธ์ใช่ไหม
- เห็นเมื่อกี้นี้ดับ เห็นหนึ่งดับใช่ไหม
- เห็นหนึ่งดับ เพราะฉะนั้นเห็นนั้นแหละเป็นขันธ์หนึ่ง
- สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นขันธ์ เพราะฉะนั้นเห็นมีจริงหนึ่ง เป็นขันธ์หนึ่ง เห็นที่มีจริงเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เห็นเมื่อกี้นี้ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นขันธ์หนึ่งและเห็นเดี๋ยวนี้เป็นอีกขันธ์หนึ่งใช่ไหม
- ได้ยินหนึ่งเป็นขันธ์ใช่ไหม ได้ยินเมื่อกี้นี้ดับแล้ว เป็นอีกขันธ์หนึ่ง และได้ยินใหม่เป็นอีกขันธ์หนึ่งใช่ไหม
- คิดเป็นขันธ์รึเปล่า เป็นขันธ์หนึ่งดับไป คิดอีกเป็นอีกขันธ์หนึ่ง คิดแล้วก็ดับไปใช่ไหม
- เห็นทั้งหมดเป็นหนึ่งขันธ์รึเปล่า เพราะฉะนั้น จักขุวิญญาณขันธ์หมายความถึงอะไร
- ไม่เข้าใจคำว่า ขันธ์ ใช่ไหมว่า หมายความถึงขันธ์หนึ่ง หนึ่งชนิด เช่น จักขุวิญญาณขันธ์ แต่ละหนึ่ง เห็นเป็นหนึ่งขันธ์
- จักขุวิญญาณเกิดดับ 2-3 ขณะ กี่ขันธ์ แต่ละหนึ่งเป็นหนึ่งขันธ์
- ส่วนใหญ่คนจะเข้าใจว่าจักขุวิญญาณทั้งหมดเป็นหนึ่งขันธ์ เป็นรูปขันธ์ เป็นจักขุวิญญาณขันธ์ แต่ความจริงหมายความว่า แต่ละหนึ่งเป็นขันธ์
- สิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วดับเป็นขันธ์ทุกขันธ์ใช่ไหม แต่ละขันธ์คือแต่ละหนึ่งของสิ่งที่มีจริง มีอะไรที่ไม่ใช่ขันธ์
- ปรมัตถธรรมมีเท่าไหร่ สิ่งที่มีจริงมีอะไรบ้าง
- ต้องตั้งต้นใหม่จริงๆ การสนทนาเป็นประโยชน์อย่างยิ่งจะได้รู้ว่า จำหรือเข้าใจ ทำให้ดูเหมือนเข้าใจเพราะจำได้แต่ความจริงไม่ได้เข้าใจจริงๆ
- ธรรมไม่ง่าย แต่ถ้าคิดว่า ธรรมง่ายเพราะจำได้นั้นไม่ถูกต้อง หมายความว่า ต้องเริ่มรู้ว่า ธรรมลึกซึ้ง ยาก เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ คนอื่นไม่รู้
- ฟังแล้วไม่ลืมว่า ต้องเข้าใจจริงๆ ทั้งหมด สิ่งที่มีจริงลึกซึ้งมาก ต้องไม่ลืม ต้องเข้าใจในความลึกซึ้งนั้นด้วย
- ฟังดีๆ แล้วไตร่ตรองและคิดดีๆ แล้วตอบ ไม่ใช่จำได้แล้วรีบตอบ
- เรากำลังจะพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ทำไมเราพูดถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพราะว่า แม้เราพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ แต่ยังไม่เข้าใจความจริงของสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นต้องเริ่มคิดว่า ความจริงของสิ่งที่มีจริงเป็นอย่างไร
- ฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรอง คิดดีๆ ไม่รีบตอบหรือคิดจะตอบให้ถูก แต่ฟังคำถามดีๆ และ ต้องเข้าใจว่า คำตอบที่ตอบนั้นคืออะไรจริงๆ ไม่ใช่ตอบเพราะจำได้ รีบตอบ
- เดี๋ยวนี้มีอะไรรึเปล่า ไม่ต้องรีบตอบ เดี๋ยวนี้มีอะไร แค่เห็นเท่านั้นไม่ต้องตอบอะไรมาก
- ไม่เห็นได้ไหม กำลังเห็น ไม่เห็นได้หรือ ไม่ใช่ ถ้า เราพูดความจริงว่า เดี๋ยวนี้มีอะไร
- ถ้าตอบว่า ถ้า หมายความว่าคิด ไม่เห็นใช่ไหม จะเข้าใจสิ่งที่มีจริง ต้องค่อยๆ คิดแล้วตรง เป็นสัจจะ ไม่เปลี่ยน
- เพราะฉะนั้นไม่ใช่ความเข้าใจ เป็นแต่เพียงความจำและคิดเท่านั้น
- ฟังคำถามดีๆ กำลังเห็น มีอะไร เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นมีอะไร ต่อไปนี้เรียนใหม่ ไตร่ตรอง แล้วเข้าใจขึ้นๆ กำลังเห็นเดี๋ยวนี้มีอะไร เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เดี๋ยวนี้มีอะไร
- กำลังเห็นเดี๋ยวนี้มีอะไร เป็นเรื่องที่ทุกคนเหมือนเข้าใจหมด แต่จริงๆ แล้วเมื่อได้ยินคำถามจะรู้ไหมว่า จะตอบว่า อย่างไร ฟังคำถาม เข้าใจคำถาม และรู้ว่า จะตอบอย่างไรเมื่อได้พิจารณาไตร่ตรองคำถามแล้ว ถามว่า มีอะไร
- จึงต้องศึกษา ต้องฟังจนกว่าจะเข้าใจ มิฉะนั้นจะไม่รู้จักเห็นเลย ทั้งๆ ที่มีเห็น กำลังเห็น ก็ไม่รู้ว่าอะไรเพราะไม่ละเอียด
- ทำไมดิฉันถามอย่างนี้ เพราะถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ จะไม่มีการเข้าใจคำว่า สติปัฏฐานรู้อะไร จะใช้คำว่า สติปัฏฐาน ไปทำวิปัสสนา แต่ไม่ละเอียดพอว่า สติรู้อะไรจึงเป็นสติปัฏฐาน ถ้าไม่มีความรู้เรื่องสิ่งที่มีจริงขณะนี้ จะสามารถเข้าใจสิ่งนั้นได้ไหม เพราะฉะนั้นให้เข้าใจสิ่งที่อยู่ตรงนี้ ให้เข้าใจตรงนี้ว่า ไม่รู้ตรงนี้ ไปคิดเรื่องอื่นหมดแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงให้รู้ตามลำดับถึงเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นจะไม่มีสติรู้ตรงนี้ เดี๋ยวนี้เลย
- ต้องเข้าใจความลึกซึ้ง ไม่เว้นเลยว่า ไม่รู้อะไร ต้องฟังเพื่อเข้าใจ เข้าใจอะไร เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ให้ถูกต้อง
- ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้แล้วจะเข้าใจอะไร เพราะฉะนั้นคำตอบของเขาอยู่ที่ฟังคำถาม เดี๋ยวนี้มีอะไร
- กำลังเห็นเดี๋ยวนี้มีอะไร ฟังคำถาม ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น ไตร่ตรอง ตรงคำถาม กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มีอะไร
- กำลังเห็นเดี๋ยวนี้อะไร ถ้าไม่รู้ สติปัฏฐานได้ไหม ให้เริ่มรู้ เริ่มตรงตั้งแต่คำแรก กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ มีอะไร ตรงเป็ะ จะได้รู้ว่าสติปัฏฐานคืออะไร รู้ได้ไหม พระองค์ตรัสสอนคำแรกจนถึงคำสุดท้ายเพื่ออะไร ไม่อย่างนั้นก็เพื่อจำ ไม่ใช่เพื่อเข้าใจความจริง เพื่อเป็นเรื่องต่างๆ จำไว้แล้วก็ลืมแต่ไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น มีอะไร
- นี่เป็นเหตุที่จะให้เข้าใจ ตอบมานานเรื่องจักขุวิญญาณ เรื่องอะไรทั้งหมด แต่ยังไม่เข้าใจอะไร เป็นเหตุที่จะให้เริ่มคิดให้ละเอียดว่า ฟังธรรมเป็นเรื่องที่มีจริงแต่ลึกซึ้งมาก คิดว่าเข้าใจแล้วหรือ ถ้าเข้าใจตอบคำถามธรรมดาอย่างนี้สิ
- ตอบว่า มีเห็นแต่บอกว่า ยังไม่เข้าใจเรื่องเห็น แต่จะพูดเรื่องคิด แล้วจะเข้าใจเห็นไหม
- ถามเรื่องเห็น บอกว่าไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นพูดเรื่องอะไรก็เข้าใจเรื่องนั้น เวลาที่ไม่เข้าใจเรื่องเห็นแล้วพูดเรื่องอื่น หมายความว่า ไม่ต้องการเข้าใจเรื่องเห็นใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นกำลังเห็นมีจริงแล้วไม่เข้าใจเรื่องเห็น สามารถจะเข้าใจเห็นได้ไหม ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสแล้ว
- มีเห็นแล้วไม่พูดเรื่องเห็น จะสามารถเข้าใจเรื่องเห็นได้ไหม เพราะฉะนั้นจะเข้าใจเห็นที่กำลังเห็นไหม จะเข้าใจเห็นไหมหรือจะไม่เข้าใจ ทำอย่างไรจะเข้าใจ เวลานี้ไม่ฟัง จะไปฟังเรื่องคิดใช่ไหมเพราะฉะนั้นเมื่อไหร่จะเข้าใจเห็น
- แต่เรากำลังพูดเรื่องเห็นแล้วถามเรื่องคิด จะเข้าใจเห็นไหม ทราบไหมว่า ทำไมพูดเรื่องนี้นาน บางคนอาจจะเบื่อ
- พูดนานมากเพื่อให้มีความเข้าใจในความเป็นคนตรง เพราะทุกคนไม่สามารถที่จะรู้ความลึกซึ้งของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เลย เพราะเห็นความไม่ลึกซึ้งจึงคิดที่จะผ่านไปๆ ถึงสิ่งอื่น
- เพราะฉะนั้นไม่เห็นความติดข้อง ความต้องการในสิ่งอื่นซึ่งไม่ใช่สิ่งที่กำลังมี
- สติปัฏฐานคืออะไร เดี๋ยวนี้สนใจอะไร
- ตอนนี้อยากจะเข้าใจเห็นเพราะอะไร ต้องให้รู้จริงๆ ว่า เขาไม่รู้ ใครก็ไม่รู้ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ทุกคำของพระองค์ลึกซึ้งเพราะฉะนั้นเราสนทนากันเพื่อจะดูว่า ใครคิดอย่างไร ใครเข้าใจอย่างไร ก็สนทนากันได้ เพราะฉะนั้นกลับมาที่ขณะนี้กำลังเห็น มีอะไร
- กำลังเห็นใช่ไหมเดี๋ยวนี้ คิดดีๆ แค่ประโยคเดียว กำลังเห็น มีอะไร
- ฟังดีๆ สนทนาธรรมต้องตรง ตรงต่อความเป็นจริง ไม่อย่างนั้นปัญญาเกิดไม่ได้ ความเข้าใจไม่มีเพราะไม่ตรง สำคัญที่สุดคือ ความตรงต่อความจริง
- ต้องฟังคำถาม ต้องตรง ถ้าไม่ตรงไม่เข้าใจธรรม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นต้องเป็นสัจจบารมี ตรงต่อความจริง ต้องเข้าใจถูกต้อง ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ตรง จะตรงได้อย่างไรในเมื่อไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องตรงทุกคำ ละเอียดขึ้นๆ แม้แต่คำที่ดูเหมือนธรรมดาแต่ตรงไหม คำตอบตรงรึเปล่า พิจารณาได้เลยด้วยตัวเองว่า คำตอบตรงไหม เริ่มรู้จักว่า ตรงหรือไม่ตรงใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นต้องเริ่มเข้าใจ ธรรมลึกซึ้ง ไม่คิดไม่ไตร่ตรองจะเห็นได้อย่างไร ทุกคนเห็นหมด มีใครไม่เห็น แต่ธรรมลึกซึ้ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยพระองค์เอง พระองค์ตรัสรู้ความลึกซึ้งของสิ่งที่มีจริงๆ เมื่อเห็นมีจริงความลึกซึ้งของเห็นคืออย่างไร
- เพราะฉะนั้นเริ่มไตร่ตรองด้วยตัวเอง ไม่ใช่ฟังคนอื่นมานั่งบอกว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่แม้แต่เพียงคำถาม ก็ต้องตรง มิฉะนั้นจะไม่สามารถเข้าใจอะไรได้ ถามอย่างหนึ่ง ตอบอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง คิดอย่างหนึ่ง แล้วจะเข้าใจได้อย่างไรในสิ่งที่มี
- เพราะฉะนั้นทุกคำในกถาวัตถุ ท่านถามกัน คนจะไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจว่า ต่างหมายความว่าอะไร แต่ผู้ที่เข้าใจจะรู้ว่า พูดถึงอะไร
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ กำลังเห็น มีอะไร ทุกคนเข้าใจจริงไหม กำลังเห็น มีเห็น ถูกต้องไหม
- ไม่รู้จักเห็นใช่ไหม จึงเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นก็ไม่ต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะไม่มีใครรู้จักความจริงของเห็น กำลังเห็นมีเห็นแน่ๆ เพราะกำลังเห็น แต่ความจริงของเห็นคืออะไร ไม่รู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ ที่จะรู้ความจริงของเห็น ใช่ไหม
- เพราะฉะนั้นต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงรู้ว่า ทุกสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ลึกซึ้งอย่างยิ่งเพราะไม่มีใครรู้จัก
- การฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำเพื่อพิจารณาไตร่ตรองว่า เป็นความจริงอย่างนั้นรึเปล่า เพราะลองถามอีกที เห็นเป็นอะไร
- ถามว่า เห็นเป็นอะไร ตอบว่า เห็นเป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงมีแต่เห็นเท่านั้นหรือ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงมีหลายอย่างแต่ถามเฉพาะเห็นว่า เห็นเป็นอะไร
- เห็นเป็นนาม นามเป็นอย่างไร สิ่งที่มีจริงที่รู้มีกี่อย่าง มีหลายอย่างหรือมีอย่างเดียว
- จิตมีหลายอย่างหรือมีอย่างเดียวคือเห็น เพราะฉะนั้น เห็นเป็นอะไร จิตเห็นเป็นอะไร
- ฟังคำถามอีกที ถามว่า จิตเห็นเป็นอะไร จิตเห็นไม่ใช่จิตได้ยิน จิตเห็นไม่ใช่จิตคิด จิตเห็นเป็นอะไรได้
- เพราะฉะนั้นจิตเห็นเป็นจิตคิดไม่ได้ เป็นจิตอื่นไม่ได้ จิตเห็นเป็นจิตเห็นได้เท่านั้นถูกต้องไหม
- จิตเห็นเป็นเราได้ไหม เป็นแมวได้ไหม จิตเห็นไม่ใช่เราเห็นใช่ไหม เริ่มเข้าใจธรรม เปลี่ยนไม่ได้ ธรรมต้องเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น จิตเห็นเป็นขันธ์รึเปล่า
- จิตเห็นก่อนเดี๋ยวนี้ กับจิตเห็นเดี๋ยวนี้เป็นขันธ์รึเปล่า เป็นประเภทเดียวกันแต่ไม่ใช่อันเดียวกัน
- จิตเห็นเป็นขันธ์ที่เป็นอดีตเพราะหมดแล้ว ขันธ์ที่เป็นอดีตจะเป็นขันธ์เดี๋ยวนี้ได้ไหม
- เพราะฉะนั้นขันธ์เกิดดับจึงเป็นอดีต เป็นปัจจุบัน และเป็นอนาคตสำหรับขันธ์ที่จะเกิดแต่ยังไม่เกิด
- อะไรไม่ใช่ขันธ์บ้าง ปรมัตถธรรม ธรรมมีเท่าไหร่
- ดีนะคะ เป็นคนตรง เพราะฉะนั้นยังไม่รู้จุดหมายใช่ไหม เพราะฉะนั้นเริ่มต้น ทำไมถึงมาฟังธรรม
- เพราะฉะนั้นเข้ามาฟังเพื่ออยากจะรู้ความจริงใช่ไหม บอกว่าอยากจะรู้ความจริงก็ต้องรู้ว่า ความจริงคืออะไรที่อยากรู้
- ต้องการรู้ความจริงใช่ไหม ความจริงมีหลายอย่าง ความจริงที่ต้องการรู้คืออะไร ขอให้เป็นความคิดและคำถามของคุณมานิชเองทีละข้อเพื่อความชัดเจน
- มีมานิชรึเปล่า หรือมีอะไร เป็นคำถามให้ไปไตร่ตรองและสนทนาคราวต่อไป คำถามคือ อะไรเป็นมานิช