ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๖๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๖๘
~ การสนทนาธรรม เป็นมงคลอย่างยิ่งสำหรับพุทธบริษัทที่จะพร้อมเพรียงกันแล้วก็สนทนา เพื่อให้ได้รับความกระจ่าง เพราะฉะนั้น ทุกเรื่องเปิดเผย แล้วก็ตรงต่อความเป็นจริง ผิดก็คือผิด ให้ผิดเป็นถูก ไม่ได้ และถูกก็ต้องถูก ใครจะบอกว่าสิ่งที่ถูกเป็นผิด ผู้นั้นก็ไม่ตรง เพราะฉะนั้น สัจจบารมีเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าไม่มีสัจจบารมี ก็หลงผิดเข้าใจว่าสิ่งที่ผิดเป็นถูก
~ ถ้าให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง เป็นประโยชน์ไหม? ตัวเองจะเป็นอย่างไร ใครจะรัก จะชังไม่สำคัญเลยทั้งสิ้น พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่จะต้องดำรงไว้ เพื่ออนุเคราะห์คนอื่น ตามพุทธประสงค์ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีทำให้เราเข้าใจและคนอื่นที่เขาสามารถจะเข้าใจได้ด้วย
~ คำจริง เป็นคำที่ควรกล่าวอย่างยิ่ง เพื่อประโยชน์ของทุกคนที่จะได้รับประโยชน์จากการที่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยินคำว่าพระพุทธศาสนา ต้องเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงด้วย ไม่ใช่คิดเอง
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ทุกอย่าง ทรงแสดงความจริงทุกอย่างที่มีจริงๆ ทั้งหมดอย่างละเอียดยิ่ง เพื่อให้เห็นว่า ไม่มีใครเลย มีแต่ธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้
~ ไม่ว่าใครทำผิด ถ้าสำนึกแล้วก็แก้ตัวหรือว่ากระทำคืน คือ จะไม่ทำอย่างนั้นอีกต่อไป นั่นเป็นความเจริญในอริยวินัย ไม่ใช่ผิดก็ปล่อยให้ผิดต่อไป
~ ใครที่ทำผิด รู้ว่าทำไม่ดี เกิดสติระลึกได้ก็ทำกุศล เพราะว่าได้ทำอกุศลมาแล้ว อย่างหลายคนเคยฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยมามาก ศึกษาธรรมแล้วก็เลิก และทำกุศลเพิ่มขึ้น การระลึกถึงอกุศลที่ได้ทำแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้ทำกุศลได้
~ มีธรรมจริงๆ เป็นอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่ออนุเคราะห์ให้เราเข้าใจถูกต้อง จนกว่าจะรู้ความจริง ซึ่งเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ วันหนึ่ง รู้ได้ แต่ไม่ใช่การพยายามด้วยความไม่รู้ ด้วยความเป็นเรา จากความเป็นปุถุชนแล้วก็จะถึงการที่รู้ความจริงของสภาพธรรมจนไม่เห็นผิดว่าเป็นเราอีกต่อไป นั่นก็เป็นสิ่งซึ่งทุกคนก็เห็นว่าต้องเป็นเรื่องที่ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ต้องเป็นผู้ที่ตรง
~ การฟังธรรม เมื่อเข้าใจแล้ว ไม่เป็นโมฆะ ไม่เสียเวลา ไม่ว่างเปล่า เป็นสาระที่สุดในชีวิต เพราะว่า สามารถที่จะสะสมสืบต่อไป
~ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ บริวาร หรือสิ่งใดๆ ก็ตาม ที่เข้าใจว่าเป็นของเรา เมื่อจากโลกนี้ไปก็เห็นกันชัดเจน ว่าไม่ใช่ของคนที่จากไปแน่นอน
~ เมื่อพูดถึงความเจริญ คนส่วนใหญ่ก็คิดถึงความเจริญด้านวัตถุ แต่ว่าใจเป็นอย่างไร ที่กำลังเดือดร้อน และจะเดือดร้อนต่อไปอีก ก็เพราะจิตใจเจริญหรือเปล่า หรือว่าไม่มีความเจริญ เพราะไม่มีความรู้ ด้วยเหตุนี้ การแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ใช่แก้ด้วยอย่างอื่น แต่แก้ด้วยสภาพของจิตซึ่งได้ฟังพระธรรมและมีความเข้าใจ ซึ่งทำให้แม้แต่คิด แม้แต่ทำ ก็ถูกต้องยิ่งขึ้น
~ ผู้ที่เข้าใจเรื่องเมตตา จะทราบได้ว่า เมตตาจะเกิดเมื่อมีสัตว์บุคคลเป็นอารมณ์ ไม่ว่าจะเห็นใคร ที่ไหน และอยู่ในสภาพการณ์อย่างไร ผู้ที่มีจิตเมตตาก็มีความเป็นมิตรไมตรีที่จะเกื้อกูลทันที ขณะนั้น จิตก็ผ่องใสไม่เดือดร้อน
~ อยากเจริญเมตตาไหม หรืออยากจะท่อง? วันหนึ่งท่องมาก แต่ว่าไม่เมตตาเลย หรือว่าไม่ต้องท่อง แต่คิดถึงใครก็คิดด้วยจิตที่เมตตา และก็คิดแต่ประโยชน์ที่จะเกื้อกูลบุคคลอื่น แล้วเวลาที่พบกัน ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทาย มีปฏิสันถาร (ต้อนรับ) เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ยากไหม หรือไม่ยากเลย ง่ายมาก อันนี้ต้องแล้วแต่จิตใจของแต่ละบุคคล แต่ว่า พระธรรมเริ่มจะส่องเป็นกระจกอย่างดีที่จะเห็นทุกซอกมุมของจิตใจของตนเองว่า เป็นบุคคลประเภทใด แต่ต้องเป็นผู้ตรงด้วย
~ ทุกคนต้องจากโลกนี้ไป ซึ่งวันหนึ่งก็จะถึงเวลาที่ไม่รู้ว่าโลกนี้เป็นอย่างไร เพราะว่าจากไปสู่โลกอื่น แต่จะจากไปสู่ที่ไหน ถ้าเป็นผลของกุศล บุญ ชื่อว่า ตาณะ เพราะหมายความว่า เป็นที่ต้านทานของผู้ไปสู่ปรโลก คือ จะต้านทานไม่ให้ไปสู่อบายภูมิทั้ง ๔ ซึ่งเป็นภูมิที่ไหลไปโดยง่ายตามอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว
~ ไม่น่าจะยากเลย ใครได้ดีมีสุข ก็ยินดีด้วย จิตใจก็เบิกบานแช่มชื่นผ่องใส ในขณะนั้นเป็นกุศลแล้ว แต่ถ้าไม่รู้สึกอย่างนั้น คงจะไม่รู้ว่า ขณะนั้นเป็นอกุศล เพราะเหตุว่า ตัตรมัชฌัตตตา (สภาพที่เป็นกลาง ไม่เอนเอียงด้วยอกุศล) ไม่เกิด ไม่เป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า เพราะอะไรจึงไม่ยินดีด้วยในความสุขหรือในสมบัติของคนอื่น
~ เห็นคุณค่าของการเป็นผู้มีจิตเหมือนผ้าเช็ดธุลีไหม? มีความอ่อนน้อม ไม่มีมานะ ไม่มีความสำคัญตน ถ้าเป็นผ้าเช็ดธุลีได้เสมอๆ ก็เป็นความสบายใจ ไม่ว่าใครจะประพฤติต่อท่านด้วยกายวาจาอย่างไร ไม่เดือดร้อนเลย เพราะไม่ถือตนว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญ
~ ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรม รู้ไหมว่า จิตนี้ไม่สะอาดเลย เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ วันหนึ่งๆ หัวหน้าใหญ่ก็ไม่พ้นจากโลภะ โทสะ และโมหะเป็นพื้นอยู่ ถ้าไม่เข้าใจธรรมเลย ก็ยิ่งสะสมทับถมทวีคูณ เพิ่มขึ้นในเรื่องของความดำ ความไม่สะอาด ความมืดสนิท
~ ประโยชน์ของการเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือ ควรที่จะได้ขัดเกลา ละคลายกิเลส ถ้ามีปัญญาแล้ว จะไม่หวั่นเกรงต่อความตายเลย เพราะอย่างไรก็จะต้องตายอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ก่อนตายจึงสำคัญมาก ทำดี หรือ ทำชั่ว?
~ ขอให้ฟังพระธรรมต่อไปเรื่อยๆ ไม่ใช่คิดเองไปเรื่อยๆ
~ กุศลธรรมแต่ละอย่าง เป็นสิ่งที่จะขัดเกลากิเลส ละคลายกิเลสให้น้อยลง เพราะฉะนั้น จึงควรเป็นผู้ที่มีความประพฤติไม่ขาดสายในการเจริญกุศล
~ ชีวิตไม่ได้ยืนยาวเลย คนที่เราโกรธและเราผู้ที่โกรธเขา ในที่สุดแล้วก็จะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะเห็นประโยชน์ของกุศลธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ขัดเกลา ละคลายกิเลสของตนเอง
~ อยู่ดีๆ แท้ๆ ก็หาทุกข์ให้กับตนเอง ด้วยการไปโกรธคนอื่น
~ ขณะที่ไม่อภัยให้บุคคลอื่น ขณะนั้นพิจารณาดูว่า เพราะรักตัวเองหรือเปล่า จึงทำให้ไม่สามารถอภัยในความผิด หรือในความบกพร่องของคนอื่นได้ ซึ่งลึกลงไปจริงๆ เป็นเพราะความรักตัว ความยึดมั่นในตัวตนหรือเปล่า การสละความเห็นแก่ตัวขั้นอภัยทาน ทำให้สละความคิดร้าย สละความแค้นเคือง สละความผูกโกรธ สละความไม่หวังดี สละความไม่เป็นมิตร สละความไม่เกื้อกูล สละความไม่มีน้ำใจต่อคนอื่น
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๖๗
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง กราบอนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง และกราบยินดีในความดีทุกท่านค่ะ