พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์แล้วเสด็จไปจำพรรษา
ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทรงแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา
[เล่มที่ 60] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๖ - หน้าที่ ๓๓๑
กล่าวความจำเดิมแต่ท่านพระปิณโฑลภารทวาชะ ถือเอาบาตรไม้จันทน์แดง ในสำนักของราชคหเศรษฐี ได้ด้วยฤทธิ์แล้ว พระศาสดาตรัสห้ามการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ แก่ภิกษุทั้งหลาย. ครั้งนั้น เหล่าเดียรถีย์คิดกันว่า พระสมณโคดม ทรงห้ามการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์เสียแล้ว ที่นี้แม้ตนเองก็คงจักกระทำไม่ได้ ครั้นถูกพวกสาวกของตนซึ่งขายหน้าไปตามกันพูดว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายถือเอาบาตรด้วยฤทธิ์ไม่ได้แล้วหรือ ก็พากันแถลงว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย นั่นมิใช่เป็นการที่พวกเราจะกระทำได้ยากเลย แต่ที่พวกเราไม่ถือเอาเพราะคิดกันว่า ใครเล่าจักประกาศคุณที่ละเอียดสุขุมของตนแก่พวกคฤหัสถ์เพื่อต้องการบาตรไม้อันเป็นประหนึ่งศพ ฝ่ายพวกสมณศากยบุตรพากันสำแดง ถือเอาไปเพราะเป็นคนโง่ ใจโลเล พวกเธออย่าคิดเลยว่า การกระทำฤทธิ์เป็นเรื่องหนักของพวกเรา เพราะพวกเราน่ะพวกสาวกของสมณะ โคดมจงยกไว้เถิด แต่จำนงจะแสดงฤทธิ์กับพระสมณโคดม แม้นว่าพระสมณะโคดมจักกระทำปฏิหาริย์อย่างหนึ่ง ฝ่ายพวกเราจักกระทำให้ได้สองเท่า.
ภิกษุฟังเรื่องนั้นแล้วพากันกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข่าวว่าพวกเดียรถีย์จักพากันกระทำปฏิหาริย์ พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงพากันกระทำเถิด แม้เราก็จักกระทำบ้าง. พระเจ้าพิมพิสารทรงสดับเรื่องนั้น เสด็จมากราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข่าวว่าจักทรงการทำปาฏิหาริย์
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระเจ้าพิมพิสาร ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้วมิใช่หรือ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่ามหาบพิตร นั่นอาตมาภาพบัญญัติแก่หมู่สาวก แต่สิกขาบทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มี มหาบพิตร เหมือนอย่างว่า ดอกไม้และผลไม้ในพระอุทยานของมหาบพิตร ทรงห้ามไว้แก่ชนเหล่าอื่น มิได้ทรงห้ามแก่บพิตร ฉันใด ข้อนี้ ก็พึงเห็นเทียบเคียง ฉันนั้น พระเจ้าพิมพิสาร ทูลถามสืบไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์จักทรงกระทำปาฏิหาริย์ ณ ที่ไหนพระเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ณ โคนไม้คัณฑามพฤกษ์ใกล้ประตูเมืองสาวัตถี ขอถวายพระพร
พระเจ้าพิมพิสาร ทูลถามว่า ในเรื่องนั้นพวกหม่อมฉันจะต้องทำอะไรบ้าง
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ไม่มีอะไรเลย มหาบพิตร.
ครั้นวันรุ่งขึ้น พระศาสดาทรงกระทำภัตกิจเสร็จ ก็เสด็จจาริกไปหมู่มนุษย์พากันถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าทั้งหลาย พระศาสดาจักเสด็จไป ณ ที่ไหน พระเจ้าข้า พวกภิกษุบอกว่า ไปกระทำยมกปาฏิหาริย์กำราบเดียรถีย์ ณ โคนไม้คัณฑามพฤกษ์ ใกล้ประตูเมืองสาวัตถี. มหาชนฟังถ้อยคำของพวกภิกษุเหล่านั้นแล้วคิดว่า พระปาฏิหาริย์จักมีทีท่าน่าอัศจรรย์เป็นไฉน พวกเราต้องไปดูปาฏิหาริย์นั้น แล้วปิดประตูเรือน ไปกับพระศาสดาเลยทีเดียว.
พวกอัญเดียรถีย์ก็พากันบอกว่าแม้พวกเราก็จักพากันกระทำปาฏิหาริย์ ณ สถานที่ที่สมณโคดม กระทำปาฏิหาริย์ พากันติดตามพระศาสดาไปกับพวกอุปัฏฐากเหมือนกัน. พระศาสดาเสด็จถึงเมืองสาวัตถีโดยลำดับ พระราชาทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข่าวว่าจักทรงกระทำปาฏิหาริย์หรือพระเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า จักกระทำ ขอถวายพระพร
พระราชา ทูลถามว่า เมื่อไรพระเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ในวันที่ ๗ จากวันนี้ เป็นวันเดือนอาสาฬหะ (เดือน ๘)
พระราชา กราบทูลว่า หม่อมฉันจะทำมณฑปพระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า อย่าเลยมหาบพิตร ท้าวสักกะจักกระทำมณฑปแก้วขนาด ๑๒ โยชน์ ในที่กระทำปาฏิหาริย์ของอาตมาภาพ
พระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันขอป่าวร้องเรื่องนี้ในพระนคร พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ป่าวร้องเถิด มหาบพิตร
พระราชา ตรัสสั่งธรรมโฆสก (ผู้ป่าวร้องธรรม) ขึ้นเหนือหลังช้างที่ประดับประดาแล้วทำการโฆษณาทุกๆ วันจนถึงวันที่ ๖ ว่า ได้ยินว่า พระศาสดาจักทรงกระทำพระปาฏิหาริย์กำราบเดียรถีย์ ณ โคนไม้คัณฑามพฤกษ์ใกล้เมืองสาวัตถีในวันที่ ๗ แต่วันนี้.
พวกเดียรถีย์รู้ข่าวว่าจักทรงกระทำพระปาฏิหาริย์ ณ โคนไม้คัณฑามพฤกษ์ ก็พากันให้ทรัพย์แก่พวกเจ้าของให้ตัดต้นมะม่วงที่ใกล้เมืองสาวัตถีเสีย. ถึงวันเพ็ญแต่เช้าตรู่ ธรรมโฆสกป่าวร้องก้องสนั่นว่า พระปาฏิหาริย์ของพระผู้ทรงพระภาคจักปรากฏในวันนี้. ด้วยอานุภาพแห่งเทวดาได้เป็นประหนึ่งว่า ยืนปรากฏป่าวร้องที่ประตู ชมพูทวีปทั้งสิ้น. ชนเหล่าใดๆ เกิดคิดจะไป ชนเหล่านั้นก็เห็นตนถึงเมืองสาวัตถีทีเดียว. ประชุมชนได้มีปริมณฑล ๑๒ โยชน์. พระศาสดาเสด็จเข้าสู่พระนครสาวัตถีแต่เช้าตรู่ เมื่อโปรดสัตว์แล้วเสด็จออก. คนเฝ้าพระอุทยานชื่อคัณฑะ กำลังนำผลมะม่วงสุกผลใหญ่ ขนาดหม้อสุกงอมทีเดียวไปถวายพระราชา พบพระศาสดาที่ประตูพระนคร คิดว่า ผลมะม่วงสุกสมควรแก่พระตถาคตเจ้าแท้ๆ จึงได้ถวาย.
พระศาสดาทรงรับประทับนั่ง ณ ส่วนหนึ่ง ใกล้ประตูพระนครนั้นเอง เสวยเสร็จตรัสว่า อานนท์ เธอจงให้เมล็ดมะม่วงนี้แก่คนเฝ้าอุทยานเพื่อปลูกตรงนี้ ต้นมะม่วงนี้จักมีนามว่า คัณฑามพะ. พระเถระเจ้าได้กระทำตามนั้น คนเฝ้าอุทยานคุ้ยดินแล้วปลูก. ทันใดนั้นเองรากทั้งหลายก็ชำแรกเมล็ดหยั่งลงไป หน่อสีแดงขนาดเท่าหัวคันไถ ก็ตั้งขึ้น. เมื่อมหาชนกำลังดูอยู่นั่นเอง ต้นมะม่วงมีลำต้นวัดรอบถึง ๕๐ ศอก มีกิ่งยาว ๕๐ ศอก โดยส่วนสูงเล่า ก็มีประมาณ ๑๐๐ ศอก ทันทีทันใด ต้นมะม่วงนั้นก็ออกช่อและมีผลมากมาย ต้นมะม่วงนั้นระย้าระยับด้วยดอกและผล มีสีเหมือนสีทอง มีรสอร่อย ปรากฏประหนึ่งเต็มท้องฟ้า. เวลาต้องลมพัดผลสุกอันอร่อยทั้งหลายก็หล่นลง พวกภิกษุที่พากันมาทีหลังต่างก็มาฉัน. ถึงเวลาเย็นท้าวสักกเทวราชทรงรำพึงทราบว่า การสร้างรัตนมณฑปเพื่อพระศาสดา เป็นภาระของพวกเรา ทรงส่งวิษณุกรรมเทพบุตรไปสร้างมณฑปแก้ว ๗ ประการ มีประมาณ ๑๒ โยชน์ ดารดาษด้วยอุบลเขียว เทพดาในหมื่นจักวาลพากันมาประชุมด้วยประการฉะนี้.
พระศาสดาทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์กำราบเหล่าเดียรถีย์ มิใช่เป็นเรื่องทั่วไปกับสาวก ทรงทราบความที่ชนเป็นอันมากพากันเลื่อมใส เสด็จลงประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์ ทรงแสดงธรรม ฝูงปาณชาติ ๒๐ โกฏิพากันดื่มน้ำอมฤต. ต่อจากนั้นทรงพระดำริว่า ก็พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อน ทรงกระทำปาฏิหาริย์แล้วเสด็จไป ณ ที่ไหน ทรงทราบว่า เสด็จไปสู่ดาวดึงส์พิภพจึงเสด็จลุกจากพระพุทธอาสน์ ย่างพระบาทเบื้องขวาเหยียบเขายุคนธร พระบาทซ้ายเหยียบยอดเขาสิเนรุ แล้วเสด็จเข้าจำพรรษาเหนือบัณฑุกัมพลศิลา โคนปาริฉัตตกพฤกษ์ ภายในระยะกาล ๓ เดือน ทรงแสดงพระอภิธรรมกถาแก่ฝูงเทวดา.
ขอถวายความนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พร้อมทั้งพระธรรม และพระอริยสงฆ์