เหตุดี ผลต้องดี แต่ทำไมบางคนทำแต่เหตุดีมาทั้งชีวิต ถึงได้ผลไม่ดี

 
lokiya
วันที่  24 ก.ค. 2565
หมายเลข  43386
อ่าน  530

คนที่ช่วยเหลือบุคคลอื่นมาทั้งชีวิต แต่บั้นปลาย พิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทรัพย์สินเสียหาย ถูกโกงจนหมดตัว


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 24 ก.ค. 2565

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

[เล่มที่ 42]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ -
หน้าที่ ๒๑

แม้คนผู้ทำบาป ย่อมเห็นบาปว่า ดี ตลอดกาลที่บาป ยังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใดบาปเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นบาปว่า ชั่ว ฝ่ายคนทำกรรมดี ย่อมเห็นกรรมดีว่า ชั่ว ตลอดกาลที่กรรมดียังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใดกรรมดีเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นกรรมดีว่า ดี


[เล่มที่ 33] พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ ๑๖๘

คนหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น คนทำเหตุดี ย่อมได้ผลดี ส่วนคนทำเหตุชั่ว
ย่อมได้ผลชั่ว


[เล่มที่ 57] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓- หน้าที่ ๒๙๓

“ท่านอย่าได้ทำบาปนะ บาปใดอันท่านทำไว้ บาปนั้นจะเผาผลาญท่านในภายหลัง บุรุษทํากรรมเหล่าใดไว้ ทางกายทวาร วจีทวาร และมโนทวาร เมื่อเขากลับได้ผลของกรรมนั้น ย่อมพบกรรมเหล่านั้นเองในตน ผู้ทำกรรมดีย่อมเสวยผลดี แต่ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมเสวยผลชั่วช้าลามก ไม่น่าปรารถนา แท้จริง แม้ในทางโลก บุคคลหว่านพืชเช่นใดไว้ ย่อมนำไปซึ่งพืชนั้น คือ ย่อมเก็บผล ได้รับผล เสวยผลอันสมควรแก่พืชนั้นเอง”


[เล่มที่ 33] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ ๑๗๒

[๑๗๐] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่วิบากอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ แห่งกายสุจริต จะพึงเกิดขึ้นนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ (คือ เป็นไปไม่ได้) ดูกร ภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่วิบากอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ แห่งกายสุจริต จะพึงเกิดขึ้นนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้

[๑๗๑] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่วิบาก อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ แห่งวจีสุจริต จะพึงเกิดขึ้นนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่วิบากอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ แห่งวจีสุจริต จะพึงเกิดขึ้นนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้

[๑๗๒] ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ข้อที่วิบาก อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ แห่งมโนสุจริต จะพึงเกิดขึ้นนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่วิบากอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ แห่งมโนสุจริต จะพึงเกิดขึ้นนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้



ชีวิตของแต่ละบุคคลที่ดำเนินไปในแต่ละขณะนั้น เป็นความจริง เป็นธรรม ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวง อย่างเด็ดขาด ยังต้องมีการเกิดอยู่ต่อไป บางขณะย่อมเป็นการกระทำเหตุที่ดี คือ กุศล บางขณะเป็นการกระทำเหตุที่ไม่ดี คือ อกุศล ตามการสะสม บางขณะเป็นผลของกุศล มีการได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ที่ดี ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ บางขณะเป็นผลของอกุศล ซึ่งจะตรงกันข้ามกับผลของกุศล ไม่มีใครทำให้เลย โทษใครไม่ได้

เนื่องจากว่าในอดีตชาติอันยาวอย่างนับไม่ถ้วน แต่ละคน ก็ได้กระทำทั้งกรรมดี และกรรมไม่ดี การที่กรรมใดจะให้ผลนั้น ไม่อาจเลือกได้ ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาได้

จะเห็นได้จริงๆ ว่า เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว ดังนั้น ที่ได้รับผลที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ นั้น ต้องเป็นผลของอกุศลกรรมที่ตนเองได้เคยกระทำแล้วในอดีต เมื่ออกุศลกรรม ถึงคราวให้ผล ผลก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นไปตามควรแก่เหตุ โดยที่ไม่สามารถจะทราบได้ว่า เป็นผลของกรรมอะไร ในชาติไหน

บางคนทำดีมาโดยตลอด ในชาตินี้ ไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยเบียดเบียนใคร แต่เขาก็ได้รับสิ่งที่ไม่ดี เช่น ป่วยเป็นโรคต่างๆ บ้าง ถูกโกงทรัพย์สินบ้าง เป็นต้น เขาก็อาจจะมีความคิดว่า ความดีที่เขาทำนั้น ไม่ดีเลย แต่ตามความเป็นจริงแล้ว เป็นเพราะกรรมชั่วในอดีต ที่เขาเคยทำไว้ ถึงคราวให้ผล นั่นเอง ผลที่ไม่ดีเช่นนั้น จึงเกิดขึ้น ส่วนกรรมดี ที่เขาทำในชาตินี้ ยังไม่ได้ให้ผล ซึ่งเมื่อใดที่กรรมดี ให้ผล ก็ต้องให้ผลเป็นผลที่ดี เมื่อนั้น เขาก็ย่อมจะประจักษ์ชัดด้วยตนเองว่า กรรมดี ให้ผลดีเท่านั้น จริงๆ ครับ


...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.ค. 2565

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
lokiya
วันที่ 24 ก.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
สิริพรรณ
วันที่ 25 ก.ค. 2565

กราบขอบพระคุณด้วยความเคารพค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ทรงศักดิ์
วันที่ 30 ก.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ