ความเข้าใจว่าไม่มีเราขั้นปริยัติ
ขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า
ความเข้าใจว่า ร่างกายเป็นรูป เกิดจากการปรุงแต่งของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม และมีสภาพไม่รู้อะไรเลย เกิดแล้วเสื่อมสุดท้ายแตกดับไม่เหลือ ระหว่างที่ยังมีชีวิตก็จะมีธรรมอีกประเภทหนึ่งที่มีลักษณะรู้ ได้แก่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส รู้โกรธ รู้ง่วง รู้เหงา รู้อิจฉา รู้รัก รู้ชัง รู้จำ ฯลฯ เรียกว่าจิต เจตสิก จึงทำให้ชีวิตเป็นไป ที่คิดว่าเป็นเราแท้จริงเป็นเพียงรูป จิต เจตสิก จึงไม่มีตรงไหนที่เป็นเราเลย
สรุปได้ความเข้าใจอย่างมั่นคงว่า ไม่มีเรา มีแต่รูป จิต และเจตสิก เท่านั้นที่ทำกิจเป็นไป
เมื่อรูปแตกดับตามเหตุปัจจัย จิตที่ยังมีอวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารและวิญญานปฏิสนธิเป็นรูปใหม่ในภพใหม่ ตราบใดที่ยังมีอวิชชาก็ต้องท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์ไม่รู้จบ โดยที่ไม่มีเรา
ทราบว่าเป็นเพียงความเข้าใจยังไม่ถึงขั้นปฏิปัติ และเนื่องจากฟังธรรมจากบ้านธรรมฯไม่นาน ยังไม่ได้ศึกษาความละเอียดของรูป และจิตเจตสิกชนิดต่างๆ แต่ละประเภทเลย
ความเข้าใจนี้เป็นปัญญาที่ถูกต้องที่จะนำไปสู้ปัญญาระดับสูงขึ้นต่อไปหรือไม่อย่างไรครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง นั้น เป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง ก็ต้องได้อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย จุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ก็เพี่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม แต่ละหนึ่งๆ ที่ไม่ใช่เรา
จากประเด็นที่ท่านผู้ถาม ได้กล่าวมานั้น เป็นการได้เริ่มต้นในการฟังพระธรรมจริงๆ เริ่มรู้ว่า อะไรที่เป็นสิ่งที่ควรศึกษาให้เข้าใจ ซึ่งไม่พ้นจากสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก และ รูป ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นตัวตน นั้น แท้จริงแล้ว ก็คือ ธรรม แต่ละหนึ่งเท่านั้น แต่ความละเอียดของพระธรรมมีมาก ก็ขอให้ได้ฟัง ได้ศึกษา พิจารณาไตร่ตรองในความเป็นจริงของธรรมต่อไป ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ....