ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๒

 
khampan.a
วันที่  7 ส.ค. 2565
หมายเลข  43443
อ่าน  1,677

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๒



~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะทรงตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง เมื่อทรงตรัสรู้แล้วก็ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพื่อให้คนที่เกิดมาแล้วไม่รู้อะไรเลย ได้ค่อยๆ เริ่มเข้าใจ ค่อยๆ รู้ความจริงยิ่งขึ้น

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณา รู้ว่า ชาวโลกถ้าไม่ฟังคำของพระองค์ ไม่มีทางที่จะรู้อะไรเลยทั้งสิ้นตั้งแต่เกิดจนตาย ชาวพุทธเข้าใจอย่างนี้หรือเปล่า ว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำเป็นคำที่ฟังแล้วไม่ใช่เข้าใจได้ทันที ฟังแล้วต้องไตร่ตรองจนกระทั่งมีความเข้าใจว่าทุกคำถูกต้องตามความเป็นจริงและกำลังมีในขณะนี้

~
สัจจะ ความจริงใจ เป็นธรรมที่ส่งเสริมให้กุศลทั้งหลายเกิดขึ้น และเจริญขึ้นด้วย เพราะว่าเป็นผู้ที่จริงใจต่อการที่จะขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น ขณะใดที่กุศลไม่เกิด และเกิดระลึกได้ว่าเราเป็นผู้ที่จริงใจต่อการที่จะเจริญกุศล ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้กุศลเกิดได้ หรือว่าในขณะที่อกุศลกำลังเกิด ไม่เป็นผู้ที่จริงใจที่จะละคลายอกุศล ขณะนั้นก็ปล่อยให้อกุศลเจริญขึ้น แต่ว่าขณะที่อกุศลเกิดแล้ว เป็นผู้ที่จริงใจต่อการที่จะละคลายอกุศล ขณะนั้นกุศลก็เกิดได้

~ การฟังธรรม ไม่ใช่เรื่องรีบร้อน ไม่ใช่เรื่องรวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องอยากจะเข้าใจ แต่ขณะใดที่ฟังแล้วเข้าใจ ขณะนั้นเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจสิ่งที่เคยฟังแล้วเข้าใจแล้วนั่นแหละเพิ่มอีก และเวลาที่ฟังอีก ก็เข้าใจขึ้นอีก ในความไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด

~
ถ้าไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เมื่อไม่รู้ความจริงก็ทำให้เกิดอกุศลความไม่ดีต่างๆ มากมาย ซึ่งอกุศลทั้งหลาย ความไม่ดีทั้งหลาย ความไม่รู้ ไม่สามารถที่จะทำให้ประจักษ์แจ้งความจริงได้ เพราะฉะนั้น ต้องเห็นโทษของความไม่รู้ เห็นโทษของอกุศล เพราะว่า ความไม่รู้และอกุศล จะไม่สามารถเข้าใจความจริงที่กำลังเป็นอย่างนี้เดี๋ยวนี้เลย

~ ไม่ควรที่จะประมาทในเรื่องของอกุศล และก็จะเห็นได้ว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ย่อมเป็นประโยชน์ในทุกทางที่จะให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณาธรรมโดยละเอียดจริงๆ เพราะเหตุว่า ถ้าต้องการที่จะเจริญปัญญา เจริญกุศล ก็ต้องไม่ประมาทที่จะรู้จักอกุศลของตนเองด้วย

~ เมื่อเข้าใจธรรมเมื่อไหร่ เท่าไหร่ ก็ละความไม่ดีไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยและก็ทำสิ่งที่ดีเพิ่มขึ้น ทั้งหมดเพื่อขัดเกลาชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความไม่รู้และความไม่ดี ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปจากความไม่รู้ความจริง เป็นรู้ความจริง ความรู้ความเข้าใจนั้น จึงค่อยๆ ละความไม่ดีจนกว่าจะประจักษ์แจ้งความจริงได้

~ คนที่ทำชั่ว ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เห็นโทษของความชั่ว แต่ผู้ที่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว รู้จักตัวเอง จึงสามารถที่จะเห็นความชั่วของตัวเอง และการเข้าใจความชั่วว่าเป็นโทษ จึงค่อยๆ ละความชั่วได้

~ ในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นผู้มีเมตตาแล้ว ก็จะทำให้กุศลจิตอีกหลายประการเกิดได้ แต่ข้อสำคัญต้องเป็นผู้ตรงจริงๆ เมตตาจึงเป็นธรรมเครื่องอยู่ของผู้ประเสริฐ ถึงแม้ว่าจะมีใครกล่าวร้าย ว่าร้าย หรือว่ามีกิริยาอาการที่ไม่เหมาะสมประการใดก็ตาม บุคคลผู้นั้นก็ไม่หวั่นไหว

~ ผู้สงบจริงๆ ต้องเป็นขณะนั้นไม่ใช่อกุศลธรรม และสงบจริงๆ ถึงที่สุด คือ เป็นผู้ที่ไม่มีกิเลส ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ บางครั้งก็สงบเป็นกุศล บางครั้งก็ไม่สงบเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น เราจะรู้อย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าเราไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ สงบ ไม่ง่าย เพราะว่าสะสมที่จะไม่สงบมานานแสนนาน เพราะฉะนั้น แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประโยชน์สูงสุด คือ ให้รู้ความจริงซึ่งไม่สามารถที่จะรู้เองได้และต้องเป็นผู้ที่ละเอียดรอบคอบ

~ ถ้าความดีเกิดขึ้น ขณะนั้น ความไม่ดีคืออกุศลก็เกิดไม่ได้ สะสมกุศลไปชั่วขณะเล็กๆ น้อยๆ ที่กุศลเกิด หนทางเดียว ไม่มีทางอื่นเลย โดยเฉพาะเมื่อมีความเข้าใจถูกต้อง ว่า ไม่ใช่เรา ก็เพิ่มการที่จะฟังธรรมเพื่อที่จะรู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เรา เพราะไม่มีคำอื่นที่จะทำให้เห็นว่าไม่ใช่เรา นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น

~ แต่ละชาติที่เกิดมา เมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรม เห็นค่าของพระธรรม เห็นหนทาง แล้วรู้ว่าไกล เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตนั้นก็เพิ่มความดี เพราะเหตุว่า ขณะใดก็ตามที่เป็นอกุศล ขณะนั้นไม่ได้เข้าใจธรรมเลยและก็เพิ่มอกุศลอยู่ตลอดเวลา หนทางยิ่งยาวไปอีก ไกลไปอีก

~ ทางไปสู่นรก ก็มี ทางไปสู่การเกิดเป็นเปรตก็มี ทางไปสู่การเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ก็มี ทางไปสู่สุคติ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา ก็มี ทางไปสู่พระนิพพาน ก็มี แต่เพราะไม่รู้ จึงเดินไปตามทางอันจะทำให้ตนเองไปเกิดในอบายภูมิ คือ กระทำอกุศลกรรม

~ คนที่ไม่รู้ คนที่มีอกุศล น่าสงสารไหม หรือจะโกรธเขาดี? ถ้าสามารถจะช่วยคนนั้นให้เป็นคนดีสักนิดหนึ่ง พร้อมจะทำทันที ไม่รีรอเลย เพราะความดีเป็นสิ่งที่หายากมาก โอกาสที่จะเกิดขึ้นก็ยาก เกิดก็น้อย

~ เครื่องผูกที่มั่นคง ได้แก่ กิเลสทั้งหลายทั้งปวง มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ไม่เว้นแม้แต่ประเภทเดียว ผูกไว้ไม่ให้กุศลธรรมเกิดขึ้น ซึ่งพาให้ตกต่ำเพียงอย่างเดียว ไม่นำประโยชน์ใดๆ มาให้เลยแม้แต่น้อย

~ ไม่รั้งรอที่จะกระทำความดีเท่าที่สามารถจะกระทำได้ เพราะเหตุว่าแม้ว่าจะกระทำความดีสักเท่าไร ก็ยังไม่พออยู่นั่นเอง ตราบใดที่เมื่อไม่กระทำความดี จิตก็ต้องเป็นอกุศล

~ ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็เห็นโทษเห็นภัยของอกุศลจริงๆ ว่า ถ้าวันนี้ยังไม่เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย วันต่อๆ ไป อกุศลก็ย่อมเพิ่มพูนขึ้น

~ สำหรับทุกคน ไม่มีอะไรที่จะดี ประเสริฐเท่ากับคุณความดี เพราะฉะนั้น ก็เตือนแล้วใช่ไหมว่า คนที่จากไป เป็นใครก็ตามแต่ แต่ที่เป็น นั่น ก็มาจากชาตินี้และชาติก่อนๆ ที่สะสมมา เหมือนเราทุกคนที่อยู่ตรงนี้ มาจากไหน ก็มาจากแต่ละชาติที่สะสมจนถึงชาตินี้ และชาตินี้ทั้งชาติก็สะสมที่จะปรุงแต่ง สำหรับคนที่จะเกิดต่อจากชาตินี้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นการเตือนให้รู้ว่า ความดี ดีกว่าอย่างอื่น

~ ไม่ว่าจะศึกษาวิชาการใดๆ มามากอย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีวันรู้ความจริงตั้งแต่เกิดจนตาย

~ เกิดมาแล้ว ตายแน่นอน ไม่มีเราอีกต่อไป สิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเราด้วย เมื่อตายแล้ว อย่าว่าแต่ทรัพย์สมบัติเลยที่นำติดตัวไปไม่ได้ แม้แต่ร่างกายก็ไม่สามารถนำเอาติดตามไปได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะสะสมสิ่งที่ไม่ดีมากยิ่งขึ้น เมื่อตายไป ก็หอบเอาสิ่งที่ไม่ดี คือ กิเลสซึ่งเปรียบเสมือนขยะ ไปด้วย

~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้น คือ ปัญญา (ความเห็นถูกต้อง) ทุกข์เกิดเพราะไม่รู้ความจริง แต่ปัญญาเกิดไม่เป็นทุกข์เลย เพราะเข้าใจถูก ว่า ไม่มีอะไร นอกจากสิ่งที่เกิดแล้วดับไปชั่วคราว แล้วจะไปเดือดร้อนกับอะไร เพราะดับหมดแล้วไม่เหลือเลย

~ ความเพียรที่เป็นไปกับการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา พร้อมทั้งเจริญกุศลทุกๆ ประการ เป็นความเพียรที่ควรประกอบ ควรอบรมให้มีขึ้นเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะคล้อยไปสู่การดับกิเลสได้ในที่สุด



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๗๑



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เจียมจิต สุขอินทร์
วันที่ 7 ส.ค. 2565

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
capacitor4
วันที่ 7 ส.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 7 ส.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Junya
วันที่ 7 ส.ค. 2565

กราบเท้าระลึกถึงพระคุณของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และกราบอนุโมทนากับอาจารย์คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
petsin.90
วันที่ 7 ส.ค. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
มังกรทอง
วันที่ 7 ส.ค. 2565

การศึกษาตั้งแต่เบื้องต้น คือการฟังพระธรรม ก็ต้องเริ่มให้ถูกต้องว่า แท้จริงแล้ว ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมแต่ละอย่างที่เกิดจากเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วในแต่ละขณะ ซึ่งความเข้าใจถูกตั้งแต่ต้นนี้ จะนำไปในหนทางที่ถูกต้องในการอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ ตามความเป็นจริงต่อๆ ไป น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ สาธู ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 7 ส.ค. 2565

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
swanjariya
วันที่ 7 ส.ค. 2565

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 7 ส.ค. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 7 ส.ค. 2565

ขอบพระคุณ และยินดีในความดี อ.คำปั่น ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เมตตา
วันที่ 7 ส.ค. 2565

ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
สิริพรรณ
วันที่ 8 ส.ค. 2565

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยที่มีพระคุณสูงที่สุด
กราบบูชาพระคุณของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่ง
และกราบอนุโมทนากับอาจารย์คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เมตตา
วันที่ 8 ส.ค. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Thanapolb
วันที่ 8 ส.ค. 2565

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

อนุโมทนาในกุศลวิริยะของอาจารย์คำปั่น และกุศลจิตของทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
jaturong
วันที่ 8 ส.ค. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
tim7755tim
วันที่ 8 ส.ค. 2565

น้อมกราบพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยจิตบริสุทธิ์ กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
เข้าใจ
วันที่ 8 ส.ค. 2565

กราบขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
สิริพรรณ
วันที่ 10 ส.ค. 2565

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยที่มีพระคุณสูงที่สุด

กราบบูชาพระคุณของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่ง

และกราบอนุโมทนากับอาจารย์คำปั่นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
xaychlisaengthxng7
วันที่ 13 ส.ค. 2565

ขอนอนบน้อมแด่พระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น กราบอนุโมทนากุศลธรรมค่ะอาจารย์

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ