ทำตนให้ลำบากหรือเปล่า

 
ajarnkruo
วันที่  24 ก.ค. 2550
หมายเลข  4355
อ่าน  1,372

ผมตั้งใจจะลาออกจากงานเดิมในวันพรุ่งนี้ แล้วก็จะหางานใหม่ทำ ก็คงจะสอนหนังสือเด็กเหมือนเดิมแต่คงไม่ใช่โรงเรียนดังๆ ในตัวเมืองเชียงใหม่อีกแล้ว คิดว่าโรงเรียนแถวๆ ตัวอำเภอที่ใกล้บ้านคงจะดีกว่าเพราะ ๒ ปีขี่รถไปทำงานไกลๆ ช่วงหลังๆ ผลที่ได้ ทำให้กลับมาคิดว่า ๑. เงินสำคัญกับตนไหม? ตอบ (ในใจ) ถ้าไม่ติดว่ายังต้องอุปการะพ่อแม่ ก็ไม่อยากได้เท่าไร มีก็ห่วง ๒. กำลังทำตนเองให้ลำบากมากไปหรือเปล่า? ตอบ เพิ่งมารู้เอาตอนนี้ก็สายเสียแล้ว เหตุแห่งทุกข์จริงๆ คือ ตอนที่สมัครทำงานที่นี่เมื่อ ๒ ปีที่แล้ว ๓. ท้อไหม? ตอบ ก็มีบ้าง ธรรมดา ใครจะไม่ทุกข์ใจในเมื่อยังมีกิเลส แต่ทุกครั้งที่ตั้งใจจะไปลาออก ก็จะลังเลเพราะยังมีเยื่อใยกับที่นี่ (อกุศลอีกเหมือนกัน) แล้วก็ถามตัวเองว่า

๑. ทำไมปุถุชนจึงเหงา ว้าเหว่ ติดพันกับผู้คนหนอ

๒. ทำไมปุถุชนจึงต้องแสวงหาความมั่นคงให้กับชีวิตหนอ

๓. ทำไมปุถุชนจึงยึดมั่นแต่ในผลประโยชน์ตรงหน้าหนอ

๔. ทำไมปุถุชนจึงกลัวความไม่มีในลาภมากเท่าที่เคยได้ กลัวภัยต่างๆ ในชีวิต หนอ

๕. ทำไมปุถุชนจึงยอมลำบากอย่างไม่ฉลาดเพื่อให้ตนสุข โดยมองไม่เห็นว่า สิ่งนั้นเป็นทุกข์หนอ ทั้งหมดนี้ โลภะ เป็นเหตุหรือหนอ ผมพอจะคิดคำตอบให้ตัวเองได้ในบางข้อครับ แต่คิดว่าหลายท่านต้องมีประสบการณ์มากกว่าแน่นอน จึงเรียนถามถึงความคิดเห็น ถ้าเป็นไปได้ขอช่วยยกพระธรรมในพระไตรปิฎกให้ได้อ่านเป็นธรรมทานด้วย จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 25 ก.ค. 2550

ธรรมดาของปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิวิจิกิจฉา อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ มายา สาเถยยะ สารัมภะ ปมาทะและกิเลสอื่นๆ ก็ยังมีอยู่เต็มที่เพราะยังไม่ได้ละด้วยมรรคปัญญา ดังนั้นอาการดังกล่าวที่ท่านเขียนมาทั้งหมด เป็นอาการของกิเลสทั้งสิ้นสำหรับผู้ที่ดับกิเลสได้ทั้งหมดแล้ว คือ พระอรหันต์ ท่านย่อมไม่มีอาการดังกล่าวเลย

เชิญคลิกอ่านที่นี่

ว่าด้วยปุถุชน

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
study
วันที่ 25 ก.ค. 2550
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 25 ก.ค. 2550
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ajarnkruo
วันที่ 25 ก.ค. 2550

ขออนุโมทนา ด้วยใจจริงครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wirat.k
วันที่ 25 ก.ค. 2550

เราต่างก็เกิดมาแล้ว เพราะยังมีกิเลส จึงเกิด ผู้ไม่เกิดอีกมีเพียงพระอรหันต์ ajarnkruo เป็นผู้สะสมบุญบารมีมาดีจึงได้เกิดเป็นมนุษย์ มีศรัทธาในพระธรรมคำสอนแล้วยังสนใจในพระสัทธรรมที่ถูกตรง นี่ก็เป็นสิ่งที่นับว่าเกิดได้ยากแต่เราต่างก็มีกรรมเป็นของๆ ตน ต้องได้รับผลของกรรมตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมไว้เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ก็มีกิจต้องหาเลี้ยงปากท้อง ต้องบริหารกาย ต้องเจ็บป่วย ฯลฯ ซึ่งหากเกิดในสุคติภูมิเช่นสวรรค์ชั้นที่สูงๆ ก็ไม่ต้องทำกิจนี้ เมื่อเกิดแล้วแบบนี้ก็จำเป็นต้องดำเนินชีวิตไป แต่สิ่งที่จะสะสมได้คือปัญญาความเข้าใจถูก และกุศลอื่นๆ ที่สามารถเจริญได้หลากหลายในมนุษโลก เช่นการเลี้ยงดูบำรุงมารดาบิดา ทำทานศึกษาพระธรรม ขอเป็นกำลังใจให้ ajarnkruo ตั้งใจทำการงานหาเลี้ยงชีพและครอบครัว ด้วยความขยันหมั่นเพียร พร้อมกับฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมตามกำลังสติปัญญาที่จะกระทำได้ ท่านก็ได้มาถูกที่ถูกทางแล้ว ที่นี่ศึกษาพระธรรมที่ถูกตรงตามพระไตรปิฎก เป็นเหตุเป็นผลให้ผู้ศึกษาพิจารณาไตร่ตรองเอง สำหรับกิเลสมีกันครบถ้วนสำหรับปุถุชนอย่างเราๆ เพราะยังไม่ได้ดับกิเลสเลย ปัญญาในขณะนี้ก็เป็นขั้นการฟัง ยังไม่ถึงขั้นมรรคจิตเกิดแต่ประการใด จึงเป็นเรื่องปกติที่กิเลสทุกระดับขั้นจะมารุมเร้าเมื่อไหร่ก็ได้ตามการสะสมของเราเองครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 25 ก.ค. 2550

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

เชิญคลิกอ่านที่นี่...

โทษของกาม[มหาทุกขักขันธสูตร]

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 25 ก.ค. 2550
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 25 ก.ค. 2550

เรื่อง ญาติพี่น้อง ทะเลาะกันเพราะ ความยินดีพอใจ (โลภะ) ใน รูป เสียง....

เชิญคลิกอ่านที่นี่....

วิวาทกันเพราะกาม[มหาทุกขักขันธสูตร]

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ajarnkruo
วันที่ 26 ก.ค. 2550

ขอเล่าเหตุการณ์เพิ่มเติมจากวันก่อนว่า ความผูกพันสนิทสนมนี่เป็นทุกข์จริงๆ (อาจจะยาวไปหน่อยครับ) หลังจากตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ก็เลยเดินเข้าไปบอกกับหัวหน้าระดับที่สอนว่า "ครู ... ครับ มีเรื่องจะขอพูดด้วยครับ" หัวหน้าก็ดูเหมือนจะรู้ว่าผมกำลังจะพูดอะไร เธอยิ้มให้แล้วก็พูดว่า "อย่าเชียวนะนะ อย่าพูดว่าจะลาออกนะ" ผมก็เงียบไป แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดออกไปว่า "จะขอลาออกครับ" พูดยังไม่ทันจะจบดี น้ำตาของหัวหน้าผมก็ไหลอาบแก้ม ผมอึ้ง แล้วก็สะอึกตามไปด้วยพากันเสพทุกข์ร่วมกันสองคน ไหลไปตามโทมนัสเวทนากับโทสะที่เกิดเพราะได้เห็น ได้ยิน จนหลงลืมสติ พอสติเกิดระลึกได้ถึงสภาพที่เป็นทุกข์ ก็เลยยิ้มให้หัวหน้า แล้วจึงค่อยๆ บอกถึงเหตุผลที่ต้องลาออก หัวหน้าก็พูดว่า "ก็ไม่เคยคิดว่าจะไปจากที่นี่เร็วขนาดนี้ คิดว่าอาจจะอยู่อีกสักปี หรือสองปี (รู้ว่าผมจะต้องไปสักวัน) " ทั้งๆ ที่มีโอกาสพบปะพูดคุยกันไม่กี่คำ เคยพูดหยอกกันบ้าง แซวกันบ้าง แต่ไม่เคยรู้ว่า หัวหน้าจะอาลัยกันมากถึงขนาดนี้ ที่ผ่านมาก็เพียงแต่ทำงานตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ ตามความสามารถเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อยากทำให้ใครมาเดือดร้อนเพราะตนเหลาะแหละ ละเลยงาน คิดว่าอาจจะเป็นเพราะมีชีวิตลูกจ้างที่ประสบกับความลำเค็ญเหมือนกัน ก็เลยเกิดความผูกพันที่เคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมา ผู้มีอำนาจข้างบนเค้าว่ายังไง บังคับให้ไปอบรมที่ไหน บีบคั้นให้ทำตามยังไง ก็ต้องก้มหน้ารับทำ แล้วก็ช่วยเหลือกันให้ผ่านพ้นไปทีละเปลาะๆ ผักชีโรยหน้าไปบ้างก็มี ตั้งใจเต็มที่ก็มี ชีวิตปุถุชนก็คงจะต้องทุกข์บ้างสุขบ้าง แต่ก็ยังดีที่ได้รู้ว่า ตัวเองยังมีกิเลสอยู่เต็มครบ และหนาแน่น เป็นบุญที่ชาตินี้ มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมเพื่อให้เข้าใจ และเกิดความเห็นถูกว่า ทุกสิ่งที่เคยยึดถือนั้นเป็นธรรมะ จึงสามารถน้อมปฏิบัติตามได้ถูกทาง โดยไม่ประมาท (มากเท่าแต่ก่อน) ซึ่งก็ยังคงจะต้องเตาะแตะๆ ล้มลุกคลุกคลานไปทีละนิดๆ ขอขอบพระคุณทุกท่านจริงๆ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
wirat.k
วันที่ 26 ก.ค. 2550

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
อิสระ
วันที่ 27 ก.ค. 2550

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
แวะเข้ามา
วันที่ 28 ก.ค. 2550
โลภะเป็นเหตุแน่นอน ติดทุกอย่างที่ขวางหน้า ที่นำมาซึ่งความหวังและความสุข
หนีจากความไม่ติดในอกุศล ก็ไม่พ้นให้ติดกุศลจนได้
 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ajarnkruo
วันที่ 30 ก.ค. 2550

ขอขอบพระคุณครับ ยอมรับว่าติดอยู่จริงๆ ยังละไม่ได้ แต่ไม่หมดความเพียรในการละครับ ขึ้นชื่อว่า ติด จะมากจะน้อยก็เป็นโทษ กระทู้นี้จึงขอเป็นตัวอย่างของอกุศลที่เกิดกับผม ว่าต่อไปควรจะเป็นผู้ตรงจริงๆ ว่า ติดแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าติด ไม่ใช่ติดแล้วเฉไป เอียงไป ไม่ตรงต่อสภาพความเป็นจริงของกุศลหรืออกุศลที่เกิดกับจิตในขณะนั้นขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับการตอบกระทู้ของคุณแวะเข้ามา (อย่าเพิ่งโกรธกันเสียก่อนนะครับ) คือผมแปลข้อความของท่านของได้ ๒ ความคิดดังนี้ครับ

๑. ตอนแรกที่อ่านกุศลจิตเกิดครับ ผมคิดว่าท่านช่วยชี้แนะ คือ บอกขุมทรัพย์ เตือนให้ระลึกรู้ตัวเองว่า กำลังหนีการเกิดอกุศลแต่ก็ไปติดในกุศลอยู่ ซึ่งในความคิดแรกนี้ ผมได้อนุโมทนาในความเป็นกัลยาณมิตรครับ

๒. แต่ด้วยกิเลสที่ยังมี สังขารธรรมก็ปรุงแต่งให้เกิดความขุ่นใจเล็กๆ แล้วก็คิดว่า ท่านกำลังเพ่งโทษผมอยู่หรือเปล่า (มีความเป็นตัวตนเข้ามา โดยเข้าใจว่า เค้าว่าเรานี่) ดันคิดต่อไปอีกว่า ทุกคนก็ติดกันทั้งนั้น ใครจะแสวงหาความทุกข์ถ่ายเดียว ไม่แสวงหาความสุขกันบ้างซึ่งก็ดับไปแล้วทั้งจิตฝ่ายขาวและจิตฝ่ายดำ ตอนแรกด้วย

(ข้อ ๑ .) ก็เลยพิมพ์ขอบคุณอย่างขะมักเขม้น แต่พอ (ข้อ ๒.) เกิด ก็คิดจะพิมพ์ตอบโต้ แต่เห็นว่าจะเป็นการกระทำที่ไม่ดี (ความกลัวและละอายบาปเกิด) ก็

เลยลบข้อความนั้นไป แล้วก็คิดให้ใจกว้างขึ้น (เมตตาเกิด) คือ ลักษณะภาษาการตอบกระทู้ของแต่ละท่านมีความแตกต่างกันตามการสั่งสมของจิต ไม่มีใครบังคับให้ท่านตอบตามอัธยาศัยผู้อื่นได้ ฉะนั้นสิ่งที่ควรจะระวัง คือ จิตของตนเอง ว่าอ่านเสร็จแล้วจะเป็นผู้ตรงต่อกุศลจิตหรืออกุศลจิตที่เกิดหรือไม่ ยังไงก็ตาม อย่างน้อยผมก็ขอบอกเป็นอุทาหรณ์เตือนใจตัวเอง และหลายๆ ท่านที่บางทีอาจจะพลาดพลั้งไปโดยตอบกระทู้พาดพิงหรือเฉือดเฉือนใจผู้อื่นไป โดยที่ท่านอาจจะไม่รู้ตัวด้วยมานะที่มี ซึ่งผมก็เคยเป็นเช่นนั้นครับ ถึงตอนนี้เห็นโทษแล้วและกำลังเพียรละอยู่ (ไม่ใช่ด้วยตัวตนที่จะไปทำอะไรนะครับ) เรามาตอบกระทู้โดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อ่านดีกว่าไหมครับ ท้ายที่สุดกุศลจิตก็ชนะ จึงขออนุโมทนาคุณแวะเข้ามาด้วยใจจริง (อันนี้พิมพ์ด้วยธรรมฝ่ายขาวครับ)

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
แวะเข้ามา
วันที่ 30 ก.ค. 2550

ไม่ได้มีเจตนาต่อว่าใคร ... แต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกคน ที่ยังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ คิดจะสู้กับกิเลส ถ้าไม่เข้มแข็ง ก็ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ไม่ต้องห่วงนะ ... เรื่องแค่นี้ไม่โกรธกันง่ายๆ หรอก ชีวิตนี้ยังต้องเจออะไรอีกเยอะ เราเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรนักหนา ไม่งั้นคงไม่มาศึกษาพระธรรมหรอก เราคงได้คุยกันใหม่เมื่อมีเหตุปัจจัยธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 27 ก.ย. 2566

ยินดีในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ