การเดินอานาปานสติ จะเป็นวิปัสสนาหรือไม่
ถ. คำถามต่อไปถามว่า การเดินอานาปานสติ จะเป็นวิปัสสนาหรือไม่ และทำอย่างไร
สุ. การเดินอานาปานสติไม่มี อานาปานะ หมายถึงลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ซึ่งขณะนี้คนยังไม่ตาย กำลังมีลมหายใจเข้ากำลังมีลมหายใจออก แต่วันหนึ่งๆ หายใจเข้าออกมากเหลือเกิน โดยที่สติไม่ระลึกที่ลักษณะของลมหายใจนั้น
ฉะนั้น ที่เรียกว่าอานาปานสติ ก็คือขณะที่สติระลึกที่ลมหายใจ ไม่ใช่เพียงระลึก แต่ว่ามีการที่จะศึกษาพิจารณาเข้าใจลักษณะที่เป็นลมหายใจ เพื่อที่ปัญญาจะได้รู้ชัดเจนตามความเป็นจริงว่าลักษณะนั้นเป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งแต่ก่อนนี้เคยเป็นเราหายใจ แต่เวลาที่มีการระลึกได้ แล้วระลึกที่ลักษณะของลมแล้วรู้ลักษณะของลม ก็จะรู้ได้ว่าลักษณะนั้นมีจริง แล้วก็ไม่ใช่เราด้วย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
จึงจะเป็นอานาปานสติซึ่งเป็นวิปัสสนา เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่า ลมหายใจเกิดที่กาย เนื่องกับกาย ถ้าปราศจากลมหายใจก็มีชีวิตไม่ได้ ฉะนั้นในขณะนี้เองก็มีลมหายใจ ไม่ต้องมีการเดินอานาปานสติ ขณะใดที่สติเกิดระลึกที่ลมหายใจ แล้วรู้ลักษณะของลมหายใจ ขณะนั้นเป็นอานาปานสติจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดินได้หมด
เพราะว่า "สติเป็นอนัตตา" ถ้าขณะที่กำลังนั่งอยู่นี้แล้วสติเกิด ขณะนั้นเป็นอานาปานสติอีกแล้ว แล้วก็ไม่มีใครบังคับสติด้วย ขณะนี้ทุกคนคิดไม่เหมือนกันเลย ไม่มีใครบังคับความคิดได้ แม้แต่ความคิดของตัวเองก็บังคับไม่ได้ ฉะนั้น สติเป็นอนัตตา ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับให้สติระลึกที่ลมหายใจในขณะที่เดิน ขณะนี้สติอาจจะเกิดระลึกลักษณะของลมหาย ใจก็ได้
เรื่องของการอบรมเจริญปัญญาไม่ใช่เรื่องทำขึ้น แต่สภาพธรรมขณะนี้มีแล้ว รู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ถ้าไปทำสิ่งอื่นมารู้ จะไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะว่าจริงๆ แล้ว ไม่มีคนเลย มีแต่เพียงสภาพธรรม ฉะนั้นเวลานี้ทุกคนรู้สึกเหมือนมีโลก แล้วก็กำลังอยู่ในโลก แต่ถ้ารู้ความจริงแล้วจะรู้ว่าที่โลกปรากฏ เพราะจิตเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียว อย่างโลกทางตา ปรากฏแล้วก็ดับไป ขณะที่เสียงปรากฏเป็นโลกทางหู โลกทางตาดับไปแล้ว ไม่เหลือเลย แล้วมีแต่เฉพาะเสียงที่ปรากฏทางหู แล้วก็ดับไป
ฉะนั้นที่เคยยึดมั่นว่าเป็นเราตั้งแต่ศรีษะตลอดเท้า เป็นแต่เพียงเหมือนฝุ่นละเอียดๆ ซึ่งมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ พร้อมที่จะกระจัดกระจายหมดสิ้นไปทุกขณะ ในขณะที่กำลังเป็นกองฝุ่นซึ่งมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ ก็เป็นปัจจัยให้มีจิตเห็นเกิดขึ้นบ้าง จิตได้ยินเกิดขึ้นบ้าง แต่จิตเห็นก็ไม่เที่ยง จิตได้ยินก็ไม่เที่ยง ฉะนั้นจิตเห็นเมื่อกี้นี้ก็ดับไปแล้ว จิตได้ยินในขณะนี้ ได้ยินแล้วก็ดับไปด้วย แท้ที่จริงแล้วไม่มีใครเลย
ในขณะที่รู้ความจริงอย่างนี้ ผู้นั้นก็จะรู้ได้ว่าคนอื่นก็ไม่มี ฉะนั้นในขณะที่กำลังคิดถึงจิตคนอื่น ขณะนั้นแท้จริงแล้วเป็นจิตของบุคคลนั้นเอง ที่กำลังคิดเรื่องคนอื่นเท่านั้น ถ้าเรื่องที่เป็นจริงก็คือว่า รู้ลักษณะของสภาพธรรม ตามปกติตามความเป็นจริง แล้วก็รู้ว่าไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...