มีผู้เถียงเสมอว่า เวลาเจริญสติปัฏฐานนั้นขับรถยนต์ไม่ได้
ในตอนนี้มีท่านผู้ใดสงสัยในการสติปัฏฐาน ๔ บ้าง หรือยังไม่เข้าใจ ยังไม่เห็นด้วยว่า สิ่งที่มีอยู่ทุกๆ ขณะในชีวิตประจำวันนั้นเป็นสติปัฏฐาน หรือคิดว่าขณะไหนไม่ใช่สติปัฏฐาน ขณะไหนเป็นสติปัฏฐาน
ถ. มีผู้เถียงเสมอว่า เวลาเจริญสติปัฏฐานนั้นขับรถยนต์ไม่ได้
สุ. เวลาขับรถยนต์นั้น ใครขับ มีตัวตน มีสัตว์บุคคลที่กำลังขับรถยนต์หรือเปล่า พิจารณาด้วยตัวของท่านเองว่า ท่านก็เคยขับรถยนต์ เคยดูละคร เคยอ่านหนังสือพิมพ์ เคยโทรศัพท์ ก็เป็นนามเป็นรูปประเภทต่างๆ เป็นโลภะบ้าง เป็นโทสะบ้าง เป็นโมหะบ้าง เป็นกุศลที่เป็นไปในทานบ้าง ในศีลบ้าง ในการเจริญความสงบ เท่านั้นเอง แต่ความรวดเร็วของนามและรูปซึ่งเป็นสังขารธรรม ทั้งจิตก็ดี เจตสิกที่เกิดกับจิตก็ดี รูปก็ดี เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วมากทีเดียว มากจนกระทั่งทำให้ผู้ที่หลงลืมสติ ไม่ได้พิจารณารู้ลักษณะของนามและรูปแต่ละชนิดตามความเป็นจริง เข้าใจผิด ยึดถือว่า เป็นตัวตน เพราะเหตุว่านามรูป เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว
ผู้ที่ยังไม่เจริญสติเลย ก็คิดว่าทุกขณะมีตัวตนแน่นอน แต่ให้ทราบว่า ผู้ที่ตรัสรู้แล้วประจักษ์ลักษณะของนามรูปชัดเจนถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ทุกขณะนั้นเป็นแต่เพียงสภาพรู้อย่างหนึ่ง และสภาพที่ไม่รู้อะไร แต่เป็นสภาพที่ปรากฏให้รู้ได้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ อีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุว่าเมื่อย่อโลกลง จะมีลักษณะที่ต่างกันเป็น ๒ ลักษณะ คือ สภาพรู้อย่าง ๑ และสภาพที่ไม่รู้อย่าง ๑ ถ้าไม่มีสติ ไม่พิจารณา ไม่รู้ลักษณะของนามและรูปชนิดหนึ่งชนิดใดแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะได้รู้เลยว่า โลภะเกิดขึ้นก็ดับไป ทุกคนมีโลภะ ดับไหม ดับ แต่ไม่ประจักษ์ เพียงขั้นการศึกษาว่า โลภะดับ แต่ไม่ประจักษ์ความดับของโลภะ เพราะว่า สติไม่ได้รู้ลักษณะของโลภะที่กำลังปรากฏ กำลังเห็นดับไหม โดยการศึกษาทราบว่า การเห็นเกิดดับทุกขณะ แต่ไม่ประจักษ์การเกิดดับของเห็นที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ เพราะเหตุว่าไม่ระลึกรู้ลักษณะที่กำลังเห็นตามความเป็นจริง
เวลานี้เห็นมีไหม มี ได้ยินมีไหม มี คิดนึกด้วยหรือเปล่า คิดนึกด้วย ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งคิดนึก นี่แสดงถึงความรวดเร็วของจิต แต่โดยสภาพความจริงแล้ว จิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ หรือว่าทีละ ๑ ดวงเท่านั้น จะเกิดพร้อมกันทั้งเห็น ทั้งได้ยิน ทั้งคิดนึกไม่ได้เลย แต่ถ้าผู้นั้นเจริญสติ เห็นก็ยังคงเป็นเห็นตามปกติธรรมดา แต่สติรู้ลักษณะของสภาพที่กำลังเห็นว่า ไม่ใช่เย็น ไม่ใช่ร้อน ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ แต่ว่าเป็นสภาพรู้ชนิดหนึ่งซึ่งเกิดเพราะมีตา หรือว่าอาศัยตา จึงมีการเห็นเกิดขึ้นได้
เพราะฉะนั้น คนหนึ่งกำลังเจริญสติปัฏฐาน อีกคนหนึ่งไม่เจริญสติปัฏฐาน ในขณะที่คนซึ่งไม่ได้เจริญสติ เห็น แล้วก็ชอบ แล้วก็อยากได้ ผู้เจริญสติเห็น อาจจะชอบ แต่มีสติ ระลึกรู้ลักษณะที่เห็นก็ได้ ระลึกรู้ลักษณะความพอใจที่กำลังปรากฏในขณะนั้นก็ได้
สำหรับเรื่องขับรถยนต์ ขอให้พิจารณาเหตุผลตามความเป็นจริงว่า ผู้ที่กำลังขับรถยนต์กันอยู่ในท้องถนนขณะนี้นั้น เจริญสติปัฏฐานหรือเปล่า กำลังรับประทานอาหาร กำลังนั่ง นอน ยืน เดิน เคลื่อนไหว เหยียดคู้ พูด นิ่ง คิด ตามปกติ เจริญสติปัฏฐานหรือเปล่า
บางท่านก็เข้าใจผิดว่า ถ้าเจริญสติปัฏฐานแล้ว จะขับรถยนต์ชน แต่ขอให้คิดถึงปกติธรรมดาในชีวิตประจำวันว่า ที่ขับรถยนต์ทุกๆ วัน มีโลภะไหม มีโทสะไหม มีโมหะไหม ถ้าท่านเจริญสติปัฏฐาน ไม่ใช่เจริญสมาธิ ไม่ใช่บังคับ เพราะเหตุว่าการเจริญสติปัฏฐานนั้นเป็นอนุสติ ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่ต้องสร้างอะไรขึ้นมาเลย เย็นมีไหม ร้อนมีไหม เห็นมีไหม ได้ยินมีไหม รู้ว่าเป็นคน เป็นผู้หญิง เป็นผู้ชาย ได้ยินเสียงรู้ความหมายต่างๆ ตามปกติ ผู้ที่เจริญสติ แทนที่โลภะจะเกิด โทสะจะเกิด โมหะจะเกิด สติก็เกิดรู้ลักษณะของสิ่งนั้นตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น การเจริญสติไม่เป็นโทษ ไม่เป็นภัย ไม่ค้านกับพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ว่า ให้พุทธบริษัทเจริญสติปัฏฐานเนืองๆ บ่อยๆ เลย แต่ที่ท่านเข้าใจผิด เพราะไม่เข้าใจการเจริญสติปัฏฐานอย่างถูกต้อง และข้อสำคัญที่สุดที่จะทำให้คลาดเคลื่อนก็คือไม่เข้าใจจุดประสงค์ของการเจริญสติปัฏฐาน ท่านได้ยินคำว่า วิปัสสนา เป็นการเจริญกุศลขั้นสูงในพระพุทธศาสนา เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคตรัสรู้หนทางที่เป็นทางสายเอก เป็นทางสายเดียวที่จะทำให้สัตว์โลกเจริญปัญญา สามารถดับกิเลส ดับทุกข์ได้สิ้นเชิงเป็นสมุจเฉท
เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องการเจริญวิปัสสนา โดยที่ยังไม่เข้าใจการเจริญสติปัฏฐาน เท่าที่สอบถาม โดยมากต้องการความสงบ ต้องการพักผ่อนจิตใจ ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่จุดประสงค์ของการเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งจุดประสงค์คือ การเจริญปัญญารู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง มีสัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ ถูกต้องตามลักษณะของสิ่งนั้น
การละความไม่รู้ จะปราศจากปัญญาไม่ได้ เพราะเหตุว่าทางตาก็ไม่รู้ ทางหูก็ไม่รู้ ทางจมูกก็ไม่รู้ ทางลิ้นก็ไม่รู้ ทางกายก็ไม่รู้ ทางใจก็ไม่รู้ เมื่อไม่รู้อยู่ทุกวันๆ ตั้งแต่ก่อนเจริญสติปัฏฐาน รวมทั้งในอดีตอนันตชาติด้วย ถ้าไม่เจริญปัญญาให้เกิดความรู้ขึ้นแล้ว จะละความไม่รู้นั้นได้อย่างไร
บางท่านก็ถามว่า โลกุตตรจิต โสดาปัตติมัคคจิตก็ดี สกทาคามิมัคคจิตก็ดี อนาคามิมัคคจิตก็ดี อรหัตตมัคคจิตก็ดี เกิดขึ้นเพียงขณะเดียวเท่านั้น เหตุใดจึงละกิเลสได้เป็นสมุจเฉท แต่ก่อนที่โสดาปัตติมัคคจิตจะเกิดนั้น ผู้นั้นต้องอบรมเจริญปัญญาเนืองๆ บ่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งรู้ชัด ละคลายความไม่รู้ ความเห็นผิด บุคคลในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพานนั้น ถึงท่านจะเป็นพระภิกษุ ละอาคารบ้านเรือนแล้ว เจริญสติปัฏฐานอยู่เนืองนิจ บางท่านเจริญ ๓๐ ปี ๕๐ ปี ก็ยังไม่บรรลุมรรคผล
เพราะฉะนั้น บุคคลในครั้งนี้ต้องการบรรลุมรรคผลโดยไม่รู้อะไร โดยที่หวังจะไปเจริญความสงบเพียงแค่ ๑๐ วัน ๑๕ วัน เดือน ๑ บ้าง ๒ เดือนบ้าง แล้วจะเป็นไปได้ไหมในสมัยนี้ ซึ่งหาบุคคลที่เป็นอุคฆฏิตัญญู วิปัญจิตัญญู นั้นยากนัก ถ้าจะเป็นได้ ก็เป็นเนยยบุคคล คือผู้ที่ฟัง ศึกษา ตรวจสอบ ใคร่ครวญ พิจารณาเจริญเหตุอย่างมากทีเดียว ผลที่สมควรจึงจะเกิดขึ้นได้
เพราะฉะนั้น ก็ขอให้เข้าใจสติปัฏฐานว่า ไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดสถานที่ และการเจริญสติปัฏฐานไม่เคยเกิดอันตรายเลย เพราะเหตุว่ารู้สภาพของนามและรูปถูกต้องตามความเป็นจริงตามปกติ เคยเห็นอย่างไร ก็เห็นอย่างนั้น ได้ยินอย่างไร ก็ได้ยินอย่างนั้น แต่สติระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้น มากขึ้น ถ้าขณะใดที่ท่านไม่รู้กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ยังไม่เป็นพระอริยเจ้าแน่นอน
ถ้าขณะที่กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ ไม่มีสติ ไม่รู้ว่า เป็นสภาพที่ปรากฏทางหู หรือว่าเป็นสภาพรู้ชนิดหนึ่งทางหู ถ้าไม่รู้อย่างนี้ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ท่านก็ไม่มีโอกาสเป็นพระอริยเจ้า เพราะว่าผู้ที่เป็นพระอริยเจ้านั้นรู้ชัดในโลก ๖ โลก ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ว่าจะเป็นในโลกมนุษย์ หรือบนสวรรค์ ก็เจริญสติปัฏฐานได้ เพราะเหตุว่ามีโลก ๖ โลกนี้ ไม่ว่าอารมณ์นั้นจะประณีต หรือไม่ประณีตก็ตาม ถ้ามีสติ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพนั้นแล้ว ปัญญาก็รู้ชัดตามความเป็นจริงได้
ถ้าไม่ใช่เฉพาะขับรถยนต์ ไปที่พระจันทร์ เจริญสติปัฏฐานได้ไหม เดี๋ยวจะมีเครื่องกั้นอีก ที่โน่นไม่ได้ ที่นี่ไม่ได้ อยู่ในโลกนี้ได้ ที่อื่นไม่ได้แล้ว จะไม่ได้อย่างไรในเมื่อเห็นก็มี ได้ยินก็มี ได้กลิ่นก็มี คิดนึกก็มี ก็เป็นของจริงทุกๆ ขณะ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าผู้นั้นเจริญสติปัฏฐานแล้วหรือยัง ถ้าผู้นั้นเจริญสติปัฏฐานเนืองๆ บ่อยๆ จะไม่มีอะไรกั้นเลย สติเป็นอนัตตาย่อมเจริญขึ้น แต่โดยมากมีตัวตนที่ไปกั้นสติ ไม่ให้สติเกิด เพราะคิดว่าสติเกิดไม่ได้ โลภะก็ยังเกิดได้ โทสะก็ยังเกิดได้ เพราะมีเหตุปัจจัย ถ้ามีเหตุปัจจัย คือ การฟังเรื่องการเจริญสติเข้าใจแล้ว ทำไมสติจะไม่เกิด
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...