ไม่พึงกล่าววาจากระทบใคร
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 428
ได้ยินมาว่า ครั้งพระปทุมุตตรพุทธเจ้า พระเถระนี้ เกิด
ในครอบครัวของผู้ที่มีโภคสมบัติมากในกรุงหงสวดี ฟังธรรมเทศนา
ของพระศาสดา โดยนัยมีในก่อนนั่นแล เห็นพระศาสดาทรงสถาปนา
ภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของเทวดาทั้งหลาย
ปรารถนาตำแหน่งนั้น กระทำกุศลจนตลอดชีพ เวียนว่ายอยู่ใน
เทวดาและมนุษย์ ในพุทธุปบาทกาลนี้มาบังเกิดในครอบครัวพราหมณ์
ในกรุงสาวัตถี ญาติทั้งหลายขนานนามท่านว่า ปิลินทวัจฉะ สมัย
อื่นต่อมา ท่านฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาได้ศรัทธา บรรพชา
อุปสมบทแล้วเจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัตแล้ว ท่านเมื่อพูด
กับคฤหัสถ์ก็ดี ภิกษุก็ดี ใช้โวหารว่าถ่อย ทุกคำว่า "มาซิเจ้าถ่อย,
ไปซิเจ้าถ่อย, นำไปซิเจ้าถ่อย, ถือเอาซิเจ้าถ่อย" ภิกษุทั้งหลาย
ฟังเรื่องนั้นแล้วก็นำไปทูลถามพระตถาคตว่า ข้าแต่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ธรรมดาพระอริยะ ย่อมไม่กล่าวคำหยาบ พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาว่า พระอริยะทั้งหลาย
ไม่กล่าวผรุสวาจา ข่มผู้อื่น ก็แต่ว่า ผรุสวาจานั้นพึงมีได้โดยที่เคย
ตัวในภพอื่น" ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า พระเจ้าข้า พระปิลินทวัจฉ-
เถระพยายามแล้วพยายามเล่าเมื่อกล่าวกับคฤหัสถ์ก็ดี กับภิกษุ
ทั้งหลายก็ดี ก็พูดว่า "เจ้าถ่อย เจ้าถ่อย" ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ในเรื่องนี้มีเหตุเป็นอย่างไร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย การกล่าวเช่นนั้น แห่งบุตรของเราประพฤติจน
เคยชินในปัจจุบันเท่านั้นก็หามิได้ แต่ในอดีตกาล บุตรของเรานี้
บังเกิดในครอบครัวแห่งพราหมณ์ผู้มักกล่าวว่า ถ่อย ถึง ๕๐๐ ชาติ
ดังนั้นบุตรของเรานี้จึงกล่าวเพราะความเคยชินมิได้กล่าวด้วย
เจตนาหยาบ จริงอยู่โวหารแห่งพระอริยะทั้งหลายแม้จะหยาบ
อยู่บ้าง ก็ชื่อว่าบริสุทธิ์แท้เพราะเจตนาไม่หยาบไม่เป็นบาปแม้มี
ประมาณเล็กน้อยในเพราะการกล่าวนี้. ดังนี้แล้ว จึงตรัสคาถานี้
ในพระธรรมบทว่า
พึงกล่าวแต่ถ้อยคำที่ไม่หยาบ ที่เข้าใจกันได้ ที่
ควรกล่าว ที่เป็นคำจริง ซึ่งไม่กระทบใครๆ เรา
เรียกผู้นั้นว่า พราหมณ์.
ผู้มีกิเลสย่อมไม่ปรารถนาในเสียงที่ไม่น่าพอใจ ผู้ดับกิเลสสิ้นแล้วไซร้ไม่มีพืชเชื้อในกิเลสนั้นๆ เลย
ขออนุโมทนา
พระอรหันต์ท่านดับกิเลสได้โดยไม่เหลือ เว้นแต่วาสนา ท่านจึงมียังกายวาจาที่ไม่งาม