ผู้เจริญสติจะให้มีกฎเกณฑ์ไม่ได้ เพราะเป็นอนัตตา
ถ. (ไม่ได้ยิน)
สุ. จะให้มีกฎเกณฑ์ไม่ได้ เพราะเป็นอนัตตา ฟังแล้วก็ทราบว่าสภาพที่กำลังเห็นนี้ไม่ใช่สภาพเดียวกับนามธรรมที่คิด คิดมีจริงไหม คิดไม่ใช่เห็น ท่านผู้ฟังกล่าวว่า เวลาเห็น เวลาได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส สัมผัส ทั้ง ๕ ทางนี้ อดคิดไม่ได้
ทุกท่านรับรองว่า จริง เห็นมีจริง สีมีจริง ได้ยินมีจริง เสียงมีจริง รู้กลิ่นมีจริง กลิ่นมีจริง รู้รสมีจริง รสมีจริง รู้เย็น รู้ร้อน รู้อ่อน รู้แข็งมีจริง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เคร่ง ตึง ไหวมีจริง คิดนึกมีจริง ของจริงทั้งนั้น
ใครรู้ว่า เป็นของจริง ใครรู้ว่า คิดไม่ใช่เห็น คิดไม่ใช่ได้ยิน คิดไม่ใช่รู้กลิ่น คิดไม่ใช่รู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัส ใครรู้
ผู้เจริญสติรู้ลักษณะที่ต่างกันของนามและรูปแต่ละทาง ไม่อย่างนั้นไม่ชื่อว่าเจริญปัญญา ไม่ชื่อว่าเจริญสติ เพราะเหตุว่าถ้าเจริญสติก็ต้องมีสิ่งที่สติกำลังระลึกรู้ เป็นของจริง แล้วแต่ว่าสภาพนั้นเป็นรูป สติก็รู้ลักษณะนั้น ปัญญาก็พิจารณา ไม่ไปปนกับนามธรรม
เห็นไม่ปนกับสี ได้ยินไม่ปนกับเสียง รู้กลิ่นไม่ปนกับกลิ่น ทั้งหมดนามและรูปทุกชนิด เจริญปัญญาเพื่อรู้ชัดในลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ใช่บังคับ ไม่ใช่ห้าม ไม่ใช่บอกให้คิดอย่างนั้นให้คิดอย่างนี้ ใครบังคับบัญชาแม้ความคิดนึกของตัวเองได้บ้าง แต่เจริญสติได้ รู้ลักษณะที่ต่างกันของนามและรูปได้ ไม่ใช่บังคับ ไม่ใช่ให้มีแบบที่ตามไปเหมือนกันหมด นั่นไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน ไม่ใช่การละ แต่เป็นการไม่รู้จึงได้สร้างแบบ จึงได้สร้างกฎเกณฑ์ขึ้นด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่ด้วยความรู้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...