พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญการให้ทาน

 
สารธรรม
วันที่  13 ก.ย. 2565
หมายเลข  43825
อ่าน  231

(ญาติปลิโพธ)

เรื่องของธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดสุขุมจริงๆ ถ้าท่านผู้ใดฟังแล้วไม่พิจารณา จะเข้าใจธรรมของพระผู้มีพระภาคผิดได้ ขอยกตัวอย่าง อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ชัปปสูตร มีข้อความว่า

ปริพาชกผู้วัจฉโคตร ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ กราบทูลถามว่า

ได้สดับมาว่า พระสมณโคดมตรัสว่า พึงให้ทานแก่เราคนเดียว ไม่ควรให้แก่คนอื่นๆ พึงให้ทานแก่สาวกของเรานี้แหละ ไม่ควรให้ทานแก่สาวกของคนอื่นๆ ทานที่ให้แก่เราเท่านั้นมีผลมาก ที่ให้แก่คนอื่นๆ หามีผลมากไม่ ทานที่ให้แก่สาวกของเราเท่านั้นมีผลมาก ที่ให้แก่สาวกของคนอื่นๆ หามีผลมากไม่

ปริพาชกผู้วัจฉโคตรกราบทูลว่า

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ชนเหล่าใดได้กล่าวไว้เช่นนี้ ชนเหล่านั้นได้ชื่อว่าพูดตามพระโคดมตรัส ไม่พูดตู่ท่านพระโคดมด้วยคำไม่จริง และชื่อว่าพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม

อนึ่ง การคล้อยตามคำพูดที่ชอบธรรมไรๆ ย่อมไม่มาถึงฐานะที่น่าติเตียนแหละหรือ เพราะข้าพระองค์ไม่ประสงค์ที่จะพูดตู่ท่านพระโคดม

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

ดูกร วัจฉะ ผู้ใดพูดว่าพระสมณโคดมตรัสว่า พึงให้ทานแก่เราคนเดียว ไม่ควรให้แก่คนอื่นๆ พึงให้ทานแก่สาวกของเรานี้แหละ ไม่ควรให้ทานแก่สาวกของคนอื่นๆ ทานที่ให้แก่เราเท่านั้นมีผลมาก ที่ให้แก่คนอื่นๆ หามีผลมากไม่ ทานที่ให้แก่สาวกของเราเท่านั้นมีผลมาก ทานที่ให้แก่สาวกของคนอื่นๆ หามีผลมากไม่

ผู้นั้นชื่อว่า ไม่พูดตามที่เราพูด ทั้งกล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่ดี ไม่เป็นจริง

ดูกร วัจฉะ ผู้ใดแล ห้ามผู้อื่นซึ่งให้ทานอยู่ ผู้นั้นชื่อว่า ย่อมกระทำอันตรายแก่วัตถุทั้งหลาย ๓ อย่าง เป็นโจรดักปล้นวัตถุ ๓ อย่าง

วัตถุ ๓ อย่างเป็นไฉน คือ

ย่อมทำอันตรายแก่บุญของทายก ๑

ย่อมทำอันตรายแก่ลาภของปฏิคาหก ๑

ตนของบุคคลนั้นย่อมเป็นอันถูกกำจัด และถูกทำลายก่อนทีเดียวแล ๑

คือ จิตของผู้นั้นเองเป็นอกุศล ในขณะนั้นที่ไม่อนุโมทนาในการบริจาคของผู้อื่น

พระผู้มีพระภาคตรัสต่อต่อไปว่า

ดูกร วัจฉะ ก็เราพูดเช่นนี้ว่า ผู้ใดสาดน้ำล้างภาชนะ หรือน้ำล้างขันไป แม้ที่สัตว์ซึ่งอาศัยอยู่ที่บ่อน้ำครำ หรือบ่อโสโครกข้างประตูบ้าน ด้วยตั้งใจว่าสัตว์ที่อาศัยอยู่ในที่นี้ จงยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยสิ่งนั้นเถิด ดังนี้

ดูกร วัจฉะ เรากล่าวกรรมซึ่งมีการสาดน้ำล้างภาชนะนั้นเป็นเหตุว่าเป็นที่มาแห่งบุญ จะป่วยกล่าวไปใย ถึงสัตว์มนุษย์เล่า

ดูกร วัจฉะ อีกประการหนึ่ง เราย่อมกล่าวว่า ทานที่ให้แก่ท่านผู้มีศีล มีผลมาก ที่ให้ในคนทุศีล หาเหมือนเช่นนั้นไม่ ทั้งท่านผู้มีศีลนั้น เป็นผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว ประกอบด้วยองค์ ๕

ละองค์ ๕ เหล่าไหนได้ คือ ละกามฉันทะ ๑ พยาปาทะ ๑ ถีนมิทธะ ๑ อุทัจจกุกกุจจะ ๑ วิจิกิจฉา ๑ ท่านผู้ใดมีศีล ละองค์ ๕ นี้ได้แล้ว

ประกอบด้วยองค์ ๕ เป็นไฉน คือ

ประกอบด้วยศีลขันธ์ที่เป็นของพระอเสขะ ๑

ประกอบด้วยสมาธิขันธ์ที่เป็นของพระอเสขะ ๑

ประกอบด้วยปัญญาขันธ์ที่เป็นของพระอเสขะ ๑

ประกอบด้วยวิมุตติขันธ์ที่เป็นของพระอเสขะ ๑

ประกอบด้วยวิมุตติญาณทัสสนขันธ์ที่เป็นของพระอเสขะ ๑

ท่านผู้มีศีลประกอบด้วยองค์ ๕ นี้ เรากล่าวว่า ทานที่ให้ในท่านที่ละองค์ ๕ ได้ ประกอบด้วยองค์ ๕ ดังกล่าวมา มีผลมาก

พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

โคอุสุภะที่เขาฝึกแล้ว นำธุระไป สมบูรณ์ด้วยกำลัง ประกอบด้วยเชาว์อันดี จะเกิดในสีสันชนิดใดๆ คือ สีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว สีด่าง สีตามธรรมชาติของตน สีเหมือนโคธรรมดา หรือสีเหมือนนกพิราบก็ดี ชนทั้งหลายย่อมเทียมเข้าในแอก ไม่ต้องใฝ่คำนึงถึงสีสันของโคนั้นฉันใด ในหมู่มนุษย์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน

ผู้ที่ฝึกตนดีแล้ว มีวัตรเรียบร้อย ตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล พูดแต่คำสัตย์ มีใจประกอบด้วยหิริ ละชาติและมรณะได้ มีพรหมจรรย์บริบูรณ์ ปลงภาระลงแล้ว พ้นกิเลส ทำกิจเสร็จแล้ว หมดอาสวะ รู้จบธรรมทุกอย่าง ดับสนิทแล้ว เพราะไม่ถือมั่น ย่อมจะเกิดได้ในสัญชาติอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาสัญชาติเหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล และคนเทขยะมูลฝอยในเขตที่ปราศจากธุลีนั้นแล ทักษิณาย่อมมีผลมาก

ส่วนคนพาลไม่รู้แจ้ง ทรามปัญญา มิได้สดับตรับฟัง ย่อมพากันให้ทานในภายนอก ไม่เข้าไปหาสัตบุรุษ ก็สัทธาของผู้ที่เข้าไปหาสัตบุรุษ ผู้มีปัญญายกย่องกันว่าเป็นปราชญ์ หยั่งรากลงตั้งมั่นในพระสุคตแล้ว เขาเหล่านั้นย่อมพากันไปเทวโลก หรือมิฉะนั้นก็เกิดในสกุลในโลกนี้ บัณฑิตย่อมบรรลุนิพพานได้โดยลำดับ

นี่ก็เป็นเรื่องของการฟัง ถ้าฟังไม่เข้าใจชัดเจน ก็อาจจะตู่พระผู้มีพระภาคได้ เป็นต้นว่า เข้าใจว่าพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ควรให้ทานแต่เฉพาะพระองค์ หรือว่าสาวกของพระองค์ ทานที่ให้แก่พระองค์มีผลมาก ที่ให้แก่คนอื่นหามีผลมากไม่ หรือว่าทานที่ให้แก่สาวกของพระองค์เท่านั้นมีผลมาก ที่ให้แก่สาวกของคนอื่นหามีผลมากไม่ ไม่ว่าท่านจะได้รับฟังพระธรรมข้อใดประการใด ก็ควรที่จะได้พิจารณาให้ถูกต้อง

พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญการให้ทาน ถ้าบุคคลใดกำลังให้ทาน แล้วผู้อื่นห้ามการให้ทานของบุคคลนั้น ย่อมชื่อว่ากระทำอันตรายแก่วัตถุ ๓ อย่าง หรือว่าเป็นโจรดักปล้นวัตถุ ๓ อย่าง เพราะว่าจิตใจในขณะนั้นไม่เป็นกุศล และไม่อนุโมทนา

นอกจากนั้นพระผู้มีพระภาคยังตรัสว่า

ดูกร วัจฉะ อีกประการหนึ่ง เราย่อมกล่าวว่า ทานที่ให้แก่ท่านผู้มีศีลมีผลมาก ที่ให้ในคนทุศีลหาเหมือนเช่นนั้นไม่ การให้เป็นบุญ แต่ทานที่ให้กับคนมีศีล หาเหมือนกับทานที่ให้กับคนทุศีลไม่

ต้องพิจารณาให้ถูกต้องด้วย ข้อประพฤติปฏิบัติของผู้ไตร่ตรองธรรม ก็ย่อมตรง ถูกต้อง และได้รับประโยชน์มากขึ้น


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา 60


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ