เข้าใจชัดถึงความลึกซึ้งในฐานะ อฐานะ

 
สารธรรม
วันที่  14 ก.ย. 2565
หมายเลข  43839
อ่าน  282

เข้าใจชัดถึงความลึกซึ้งในฐานะ อฐานะ

เพื่อให้ได้เข้าใจชัดถึงความลึกซึ้งในฐานะ อฐานะ ขอกล่าวถึง สังยุตตนิกาย นิทานวรรค กฬารขัตติยวรรค ที่ ๔ ซึ่งมีข้อความว่า

ดูกร สารีบุตร อชิตมาณพได้กล่าวปัญหานี้ไว้ ในอชิตปัญหา ในปรายนวรรคว่า

ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ บุคคลที่ได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว และบุคคลที่ยังเป็นเสขบุคคลอยู่เหล่าใด มีอยู่มากในศาสนานี้ พระองค์ผู้มีปัญญาอันข้าพเจ้าถามแล้ว ขอได้โปรดตรัสบอกความประพฤติของบุคคลทั้งสองพวกนั้นแก่ข้าพเจ้าดังนี้

พระผู้มีพระภาค ตรัสถามท่านพระสารีบุตรว่า

ดูกร สารีบุตร เธอจะพึงเห็นเนื้อความของคาถาที่กล่าวโดยย่อนี้ โดยพิสดารได้อย่างไร

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้วท่านพระสารีบุตรได้นิ่งอยู่ พระผู้มีพระภาค จึงตรัสกับท่านพระสารีบุตรเป็นครั้งที่ ๒ แม้ในครั้งที่ ๒ ท่านพระสารีบุตรก็ได้นิ่งอยู่ แม้ในครั้งที่ ๓ ท่านพระสารีบุตรก็ยังนิ่งอยู่

ข้อความที่พระผู้มีพระภาคตรัสกับท่านพระสารีบุตรที่ว่า บุคคลที่ได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว และบุคคลที่ยังเป็นเสขบุคคลอยู่ บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมแล้วนั้นหมายถึงเฉพาะพระอรหันต์พวกเดียว และบุคคลที่ยังเป็นพระเสขบุคคลอยู่ก็หมายถึงพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี

ซึ่งอชิตมาณพได้กราบทูลถามว่า ขอได้โปรดตรัสบอกความประพฤติของบุคคล ทั้งสองพวกนั้นแก่ข้าพเจ้า ซึ่งเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้นิ่งอยู่ แม้พระผู้มีพระภาคตรัสถึง ๓ ครั้ง ท่านพระสารีบุตรก็ยังนิ่งอยู่

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า

ดูกร สารีบุตร เธอเห็นไหมว่า นี่คือ ขันธปัญจกที่เกิดแล้ว

ขณะนี้มีอะไรเกิดแล้วบ้าง มากมาย ทางตาก็เกิดแล้ว ทางหูที่กำลังได้ยินก็เกิดแล้ว ถ้าไม่เกิด ปรากฏไม่ได้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลหรือผู้เจริญหนทางปฏิบัติ เพื่อรู้แจ้งอริยสัจธรรมจึงรู้สิ่งที่เกิดแล้ว พิจารณาสิ่งที่เกิดแล้ว ไม่ใช่ให้ไปพิจารณารู้สิ่งที่ยังไม่เกิด เพราะฉะนั้น การเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติธรรมดาที่สุด

ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า

พระพุทธเจ้าข้า บุคคลเห็นด้วยปัญญาโดยชอบตามความเป็นจริงว่า นี้คือขันธปัญจกที่เกิดแล้ว ครั้นเห็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับแห่งขันธปัญจกที่เกิดแล้ว ย่อมเห็นด้วยปัญญาโดยชอบตามความเป็นจริงว่า ขันธปัจกนี้เกิดเพราะอาหารนั้น

หมายความว่า ต้องมีเหตุปัจจัยจึงได้เกิดขึ้น เป็นการรู้นามรูปละเอียดขึ้นจึงจะละได้ ถ้าไม่รู้ละเอียดก็ละไม่ได้เหมือนกัน เพียงแต่รู้ว่าเป็นนามเป็นรูปเท่านั้นก็ยังไม่ละ

ครั้นเห็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับแห่งขันธปัญจกที่เกิดเพราะอาหาร ย่อมเห็นด้วยปัญญาโดยชอบตามความจริงว่า สิ่งใดเกิดแล้ว สิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดา

ที่จะปรากฏให้เห็นว่าดับ ต้องพิจารณาตามปกติที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้จึงจะรู้ว่า สิ่งที่เกิดแล้วเดี๋ยวนี้ตามปกตินั้นดับเป็นธรรมดา เห็นที่ปรากฏแล้วในขณะนี้ก็ดับเป็นธรรมดา ได้ยินที่กำลังปรากฏเกิดแล้วก็ดับเป็นธรรมดา เป็นของธรรมดาจริงๆ อริยสัจเป็นสิ่งที่ปรากฏตามปกติ แต่ปัญญารู้ชัดสิ่งที่เกิดแล้ว ปรากฏแล้ว ดับเป็นธรรมดา อย่าไปทำอะไร สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ไปทำให้เกิด ก็เป็นความต้องการที่จะไม่ให้รู้สภาพของสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ แล้วก็ดับไปในขณะนี้ เป็นธรรมดา

ท่านพระสารีบุตรกราบทูลต่อไปว่า

ครั้นเห็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับแห่งขันธปัญจก ซึ่งมีความดับเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าข้า บุคคลย่อมเป็นเสขะได้ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้

กิเลสเหนียวแน่นมากเหลือเกิน ถ้าท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณเป็นลำดับขั้นก็จะทราบว่า เพียงการประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามและรูปนั้น เป็นอุทยัพพยญาณ แต่ยังไม่ใช่นิพพิทาญาณ เห็นแล้วก็ยังไม่หน่าย เพราะฉะนั้น ก็พิจารณา ปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ แห่งขันธปัญจกซึ่งมีความดับเป็นธรรมดา

แล้วท่านพระสารีบุตรก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคต่อไปถึงข้อปฏิบัติอันจะทำให้ถึงความตรัสรู้ธรรมแล้ว ซึ่งหมายความถึงพระอรหันต์

ท่านพระสารีบุตรกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

พระพุทธเจ้าข้า บุคคลได้ชื่อว่าตรัสรู้ธรรมเป็นไฉน บุคคลเห็นด้วยปัญญาโดยชอบตามความเป็นจริงว่า นี่คือขันธปัญจกที่เกิดแล้ว ครั้นเห็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้นเพราะความหน่าย เพราะความคลายกำหนัด เพราะความดับ เพราะไม่ถือมั่นซึ่งขันธปัญจกที่เกิดแล้ว

แล้วท่านพระสารีบุตรก็ได้กราบทูลว่า

บุคคลชื่อว่าได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว ด้วยอาการอย่างนี้แล คำที่ อชิตมาณพกล่าวไว้ในอชิตปัญหา ในปรายนวรรคว่า

ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ บุคคลที่ได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว และบุคคลที่ยังเป็นเสขบุคคลอยู่เหล่าใด มีอยู่มากในศาสนานี้ พระองค์ผู้มีปัญญาอันข้าพเจ้าถามแล้ว ขอได้โปรดตรัสบอกความประพฤติของบุคคลทั้งสองพวกนั้นแก่ข้าพเจ้า ดังนี้

พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ทราบเนื้อความของคำที่กล่าวไว้โดยย่อนี้ โดยพิสดารอย่างนี้แล

นี่คือข้อปฏิบัติของผู้ที่จะเป็นพระเสขบุคคลและเป็นพระอเสขบุคคล ต้องตรงต้องถูกกับเหตุผลตามความเป็นจริง

นี่เป็นเหตุที่ว่าเวลาที่ท่านผู้หนึ่งผู้ใดบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน พระสกคามี พระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ บุคคลอื่นไม่รู้เลยว่าในขณะใด เพราะไม่ผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าขณะนี้มีการเห็น ยังไม่รู้ ก็ยังไม่เป็นพระอริยบุคคล และสำหรับท่านที่เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ควรที่จะฟังอีกสูตรหนึ่ง


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 64


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ