ท่านที่เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ควรที่จะฟัง คิลานสูตร
(อาพาธปลิโพธ)
สำหรับท่านที่เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ควรที่จะฟังอีกสูตรหนึ่ง
อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต คิลานสูตร มีข้อความว่า
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้เมือง เวสาลี ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่หลีกเร้นในเวลาเย็น เสด็จเข้าไปที่ศาลาภิกษุไข้ ได้ทรงเห็นภิกษุรูปหนึ่งที่ทุรพลเป็นไข้ แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่เขาตบแต่งไว้ ครั้นแล้วได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการ ย่อมไม่ละภิกษุบางรูปที่ทุรพลเป็นไข้ เธอนั้นพึงหวังผลนี้ คือ จักทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ต่อกาลไม่นานเลย ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นว่า ไม่งามในกาย ๑ มีความสำคัญว่า เป็นของปฏิกูลในอาหาร ๑ มีความสำคัญว่า ไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง ๑
ซึ่งโลกทั้งปวงก็ได้แก่ขันธ์ ๕
พิจารณาเห็นว่า ไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง ๑ มีมรณสัญญาปรากฏขึ้นด้วยดี ณ ภายใน ๑
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้ ย่อมไม่ละภิกษุบางรูปที่ทุรพลเป็นไข้ เธอนั้นพึงหวังผลนี้ คือ จักทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ต่อกาลไม่นานเลย
การมีสติระลึกรู้เห็นว่าไม่งามในกาย หรือเห็นว่าเป็นปฏิกูลในอาหาร หรือเห็นว่า สังขารหรือขันธ์ ๕ โลกทั้งปวงไม่น่ายินดี พิจารณาเห็นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง มีมรณสัญญาปรากฏขึ้นด้วยดี ณ ภายใน ธรรมทั้ง ๕ นี้เป็นอุปการะ ที่เมื่อน้อมนำหรือระลึกได้ ก็ย่อมทำให้อาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน
ขณะนี้มีการเห็น มีการได้ยิน มีสีที่กำลังปรากฏ มีเสียงที่กำลังปรากฏ แล้วก็มีการคิดนึก มีความสุข ความทุกข์ มีเวทนาต่างๆ เป็นปกติ สติสามารถที่จะระลึกได้ รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ จะเป็นทางตา หรือหู หรือจมูก หรือลิ้น หรือกาย หรือใจก็ได้
แต่ผู้ที่เริ่มเจริญสติเคยสังเกตบ้างไหมว่า พอสติระลึกรู้ที่สิ่งที่กำลังปรากฏต่อจากนั้นเป็นอะไร ถ้าเพิ่งเริ่มเจริญสติแล้ว ก็เป็นความสงสัย ไม่แน่ใจในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏว่า เป็นนามหรือว่าเป็นรูป หรือว่าสภาพของนามธรรมมีลักษณะอย่างไร สภาพของรูปธรรมต่างกับนามธรรมอย่างไร นี่แน่นอนที่สุด เพราะเหตุว่าที่จะให้ปัญญาคมกล้ารู้ชัดในลักษณะที่ต่างกันของนามและรูปทางหนึ่งทางใด ในขณะที่สติเพิ่งเริ่มเกิด เพิ่งเริ่มเจริญนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ที่จะให้ปัญญาคมกล้ารู้ชัดในลักษณะที่ต่างกันของนามและรูปทางหนึ่งทางใดในขณะที่สติเพิ่งเริ่มเกิด เพิ่งเริ่มเจริญนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น ผู้เจริญสติจะรู้สึกตัวว่า เมื่อระลึกรู้ลักษณะของนามหรือรูปทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายหรือทางใจแล้ว ต่อจากนั้นเป็นความสงสัย สตินิดเดียว และต่อจากนั้นก็สงสัยแล้วว่า นี่อะไร นามหรือรูป แล้วรู้ชัดจริงๆ ว่า เป็นสภาพที่รู้ทางตา กับสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นเพียงสีสันวัณณะที่ปรากฏชั่วขณะที่ตาเห็นเท่านั้น ซึ่งเมื่อสงสัยอย่างนี้แล้ว จะทำอย่างไรต่อไป นี่เป็นเรื่องที่เป็นปกติธรรมดาจริงๆ
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง ...